พรรคประชาชน 6 มิ.ย.- “ภัณฑิล” เดินหน้ายื่นศาล รธน.ถอดถอน “พิเชษฐ์” พ้นรองประธานสภาฯ เปิดหลักฐานส่อทุจริต ตั้งงบไปใช้ในเขตตัวเอง จัด 3 โครงการสัมมนาเกือบ 3 พันครั้งต่อปี แล้วโยกงบมาซ่อมสภา เจตนาใช้ภาษีประชาชนส่อขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 แถมปี 69 ยังของบซ้ำแบบเดิมอีกเกือบ 600 ล้าน
นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน แถลงข่าวกรณียื่นเรื่องถอดถอน นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ออกจากตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 สืบเนื่องจากการอภิปรายร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 โดยระบุว่านายพิเชษฐ์ มีพฤติกรรมลักษณะ ตั้งใจเอางบประมาณแผ่นดินไปแจกจ่ายกลุ่มเป้าหมายฐานเสียงของตนเองและพวกพ้องในรูปแบบการแจกทุนหรือเงินสนับสนุนโครงการ ให้ประชาชนโดยตรง โดยได้มอบหมายให้ที่ปรึกษาคณะทำงาน ยกร่าง 4 โครงการ เมื่อเดือนตุลาคม 2566 คือ โครงการสภาผู้แทนบรรเทาทุกข์และความจำเป็นเร่งด่วน โครงการ พัฒนาศักยภาพประชาชนในระบอบประชาธิปไตย โครงการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น และโครงการส่งเสริมความมั่นคงอาชีพสตรี มูลค่ารวม 443 ล้านบาท ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรก็ได้เห็นชอบ แต่สร้างความหนักใจ ให้ฝ่ายข้าราชการสำนักนโยบายและแผนจึงได้ขอความเห็น สำนักกฎหมายและสำนักการคลังของสภา ซึ่งเห็นว่าโครงการดังกล่าวไม่สามารถทำได้เพราะขัดต่อข้อกฎหมายหลายข้อ อาทิ ไม่ มีรายละเอียด การใช้งบประมาณ และการกำหนดกิจกรรมโครงการหรือตัวชี้วัด ไม่เป็นไปตามระเบียบ การเบิกจ่าย ฝ่ายข้าราชการ จึงกลัวและเขียนดักคอไว้ ขณะที่สำนักกฎหมายของสภาพิจารณาว่าไม่ได้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของสภา ขัดต่อพ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง2561 และขัดพ.ร.บ. วิธีงบประมาณ 2561รวมทั้งสุ่มเสี่ยงขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 และ 185 ที่มี เจตนารมณ์ ไม่อยากให้สส.เข้าไปมีส่วนร่วมในการเสนอแปรญัตติหรือกระทำการใดๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมกัยการใช้งบประมาณรายจ่าย และได้มีการแจ้งให้นายพิเชษฐ์รับทราบ ว่าหากยืนยันจะเสนอ จะต้องปรับแก้ไขรายละเอียดโครงการให้อยู่ภายใต้ขอบเขตหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปลี่ยนเป็นโครงการอบรมสัมมนา นายพิเชษฐ์จึงสั่งให้คณะทำงานปรับ เป็นรูปแบบโครงการสัมมนา 3 โครงการคือโครงการ พัฒนาศักยภาพเยาวชน มี 7 โครงการย่อย จัดสัมมนาประมาณ 800 ครั้งเป้าหมาย 80,000 คน โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน มี 2 โครงการย่อย ประมาณ 600 ครั้ง โครงการส่งเสริมบทบาทสตรีทางการเมือง กว่า 800 ครั้งมีผู้เข้าร่วมกว่า 40,000 คน และในโครงการมีความแปลกประหลาด หลายอย่าง ซึ่งเป็นการตั้งเป้าให้สูงจนเป็นไปไม่ได้ 2,294 ครั้ง ในเวลา 1 ปี ถ่ายใต้งบประมาณ 350 ล้านบาท แต่สุดท้ายคณะรัฐมนตรี ตัดงบ เหลือ 83 ล้านบาทแต่นายพิเชษฐ์ยังขอแปรงบเพิ่มสุดท้ายได้มา 178 ล้านบาท
นายภัณฑิล กล่าวอีกว่าเมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้วนายพิเชษฐ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการเพื่อกำกับดูแลและเห็นชอบการจัดโครงการโดยให้มีตัวเองและเพื่อนสส.พรรคเดียวกันจังหวัดเดียวกันเขตติดกันเป็นกรรมการ และเริ่มให้ประชาชนส่งคำขอเพื่อเริ่มใช้งบ ตนจึงตั้งข้อสังเกตว่าแบบฟอร์มในการขอ พิมพ์ในลักษณะเดียวกัน แต่ละโครงการมาจากจังหวัดเชียงราย ลายมือคล้ายกัน และเมื่อนำงบประมาณมาหารเฉลี่ย พบว่ายังต้องจัดสัมมนามากกว่า 1,300 ครั้งต่อปี ซึ่งเป็นไปไม่ได้


นายภัณฑิล สรุปว่าการของบดังกล่าวเหมือนทราบอยู่แล้วว่าไม่สามารถดำเนินโครงการได้ จึงชี้ว่าเหมือนเป็นความตั้งใจโยกงบไปใช้ในโครงการอื่นตั้งแต่แรกเป็นเพียงการของบเผื่อไว้ก่อน โดยจะได้ไม่ต้องผ่านครม.ไม่ต้องผ่านขั้นตอนพ.ร.บ.งบประมาณปกติ และเปิดหลักฐานว่าจะทำโครงการ ปรับปรุงพื้นที่ ภูมิทัศน์ภายในและภายนอกอาคารรัฐสภา ทั้งทำน้ำพุสนามหญ้า ทางเดิน ไฟส่องสว่าง ห้องครัว โดยโยกงบโครงการอบรมสัมมนาที่มีอยู่ทั้ง 3 โครงการมาใช้แทน พร้อมมีข้อสังเกตว่า สำนักรักษาความปลอดภัยและสำนักอาคารสถานที่ซึ่งเป็นงานที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายพิเชษฐ์ที่ทำเรื่องขอโยกงบจากโครงการอบรมสัมมนามาใช้
นายภัณฑิล ยังระบุอีกว่า ในการจัดทำงบประมาณปี 2569 มีการขอมาในลักษณะดังกล่าว เพิ่มเป็น 594 ล้านบาทจากที่เคยขอ 350 ล้านบาทในงบประมาณปี 2568 ซึ่งจะต้องจัดสัมมนา 2,800 ครั้งใน 1 ปี และยังมีลักษณะเป้าหมายลงในพื้นที่ตัวเองและโยกงบไปทำอย่างอื่น เหมือนเช่นเดิม พรรคประชาชน จึงจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยถอดถอนนายพิเชษฐ์ออกจากตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร จากการกระทำดังกล่าว เข้าข่ายการกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง ที่ห้ามไม่ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อเข้าไปมีส่วนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายหรือไม่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดเรื่องจริยธรรม แต่เป็นเรื่องของการทุจริต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการเตรียมเอกสารคาดว่าจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ภายในสัปดาห์หน้า ส่วนที่เคยบอกพ่อจะยื่นต่อป.ป.ช. นั้นกระบวนการต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งเห็นว่ามีผู้ได้รับผลกระทบเยอะจึงต้องรีบจัดการ
“ ผมอยากรู้เหมือนกันว่าศาลรัฐธรรมนูญจัดวินิจฉัยอย่างไร เพราะขณะนี้สังคมตัดสินไปแล้ว การใช้งบประมาณแบบนี้ไม่ตอบโจทย์ประชาชน ทุจริตเอางบลงตัวเอง ฝ่ายนิติบัญญัติเรามีหน้าที่ในการออกกติกา ตรวจสอบงบประมาณ เราชงเองตบเองไม่ได้ เอาเงินเข้าเขตตัวเองแล้วก็มาแจกเงินจัดงาน เจตนาคือต้องการจะมีงบกลางของตัวเองเอาไว้ใช้ เงินภาษีจากประชาชนท่านจะเอาไปใช้แบบนี้ไม่ได้ ตั้งงบไว้แล้วเหลือติดก้นถุง” นายภัณฑิลกล่าว
นายภัณฑิล กล่าวว่า นายพิเชษฐ์พยายามจะนัดไปเดินสำรวจอาคารรัฐสภา แต่ไม่ได้ไป เราไม่เห็นถึงความจำเป็น และหลังการอภิปรายร่างกฎหมายงบประมาณปี 2569 นายพิเชษฐ์ ได้เดินมาหา พยายามที่จะมาพูดคุยด้วยแต่ก็มีเพื่อนส.สเยอะจึงไม่ได้คุยอะไรกันและไม่ได้มีความพยายามติดต่อหลังไมค์มาพูดคุยด้วยอีก.-319 -สำนักข่าวไทย