รัฐสภา 31 พ.ค. – “สุทิน” ชมรัฐบาลตีโจทย์แตก จัดงบฯ 69 โต้ฝ่ายค้านงบกองทัพไม่สามารถใช้ฐานเดิมพิจารณาได้ ต้องดูเหตุตึงเครียดรอบด้าน ฉะฝ่ายค้านอย่าดิสเครดิตประเทศตัวเองเป็น “รัฐล้มเหลว” ระบุรับได้รัฐบาลจัดงบประมาณ
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระแรก ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวปิดการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ในฝั่งของรัฐบาล ว่าการที่จะบอกว่างบประมาณแผ่นดินชอบหรือไม่ชอบ และควรที่จะยกมืออนุมัติหรือไม่นั้น มี 4 กรอบ คือ 1.ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ซึ่งการทำงบประมาณมีกฎหมายเกี่ยวข้อง รัฐบาลไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้ 2.มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศที่ตั้งไว้หรือไม่ 3.สามารถตอบโจทย์ประเทศได้หรือไม่ และ 4. ตรงใจ สส. ตรงใจสภาฯ หรือไม่ เพราะเป็นตัวแทนประชาชน และเชื่อว่าเป็นคนที่รู้ปัญหาของประชาชนมากที่สุด
สำหรับหน้าตาของงบประมาณฉบับนี้มียอดเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ซึ่งมีการเพิ่มขึ้นตามปัจจัย แต่ส่วนตัวตนไม่พอใจกับงบนี้ เพราะอยากได้เยอะกว่านี้ แต่ติดที่สถานะการเงินของประเทศ และประมาณการรายรับ ซึ่งจะไปชนกรอบวินัยการเงินการคลัง ส่วนหากมีการตั้งงบน้อยกว่านี้จะไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจพัฒนาได้ ดังนั้น การตั้งงบประมาณจำนวนนี้อยู่บนความจำเป็นและข้อจำกัด
นายสุทิน กล่าวต่อว่า รัฐบาลที่ผ่านมาไม่มีใครอยากกู้เงิน แต่มันมีความจำเป็นตามปัจจัยที่เกิดขึ้น ซึ่งการกู้เงินไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับการจัดทำงบประมาณ เพื่อมาฟื้นฟูเศรษฐกิจและมีความคุ้มค่าในการดำเนินการหรือไม่ และการกู้เงินไม่ใช่ครั้งแรก ในประเทศไทยไม่มีการกู้เงินมีแค่ 2 ปี คือปี 48-49 ในสมัยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ทำงบประมาณแบบสมดุล และที่ผ่านมาได้เห็นการทำงบประมาณของภาครัฐที่ลดลง โดยค่อนข้างเป็นทุกข์กับรายจ่ายประจำที่ค่อนข้างสูง และไม่มีผลไปถึงชาวบ้านและการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งปีนี้รายจ่ายประจำลดลงแม้จะไม่มาก เป็นการเริ่มที่ดีและปีต่อๆ ไปต้องลดลงเรื่อยๆ
ส่วนเรื่องของงบการลงทุนพบว่าลดลง ซึ่งความเป็นจริงต้องเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเกิดความเสียหายหากไม่รู้ว่าลดลงแล้วไปอยู่ไหน จากข้อมูลคือการไปชดใช้หนี้เงินคงคลัง ที่จะทำให้สถานะทางการคลังของเราดีขึ้น ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในส่วนนี้ ซึ่งหน้าตาโดยรวมของงบประมาณฉบับนี้ ถือว่าสอดคล้องกับสถานะของประเทศปัจจุบันแลปีต่อไป ซึ่งถือว่ารับได้ ส่วนงบประมาณนี้จะสอดคล้องกับกฎหมายหรือไม่นั้น ที่ผ่านมามีหลายรัฐบาลที่ตกม้าตายเพราะไปทำผิดกฎหมาย ที่สำคัญคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ จากการตรวจสอบดูหลายประเด็นมีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและระเบียบวินัยการเงินการคลัง รวมไปถึงการใช้วิธี พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณเพื่อคำนวณรายรับรายจ่าย รวมถึง พ.ร.บ.การจัดการหนี้ภาครัฐ
ขณะที่ยุทธศาสตร์ของประเทศและแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูประเทศระยะที่ 2 ซึ่งมีการขยายจาก 6 ยุทธศาสตร์เป็น 9 ยุทธศาสตร์ สิ่งที่ตนสนใจและเห็นด้วยในยุทธศาสตร์การเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์พัฒนาคนไทยให้มีศักยภาพ จากที่มีการวิเคราะห์ศักยภาพในเวทีโลกเด็กไทยน่าห่วง หากวัดด้วยการศึกษาวันนี้แพ้ประเทศเพื่อนบ้าน และดูสภาพสังคมด้านยาเสพติดก็รุมถล่ม ทำให้คนหมดคุณภาพ ซึ่งสามารถทำนายอนาคตประเทศได้ การจัดงบในจุดนี้มีการเพิ่มขึ้น รวมถึงยังมีการเพิ่มด้านความเป็นธรรมในสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ วันนี้คนไทยเจอปัญหา 2 เรื่องคือ ความจน และความเหลื่อมล้ำ
ส่วนกรอบที่ 3 งบประมาณฉบับนี้ตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาประเทศได้หรือไม่นั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งการจัดงบเปรียบเสมือนการให้ยากับประเทศ เมื่อ 7 เดือนที่แล้วรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศได้มีการแถลงนโยบาย ซึ่งตนอยากรู้ว่าจะตีโจทย์ประเทศแตกหรือไม่ หากเปรียบประเทศไทยเป็นคนเขาจะรู้ไหมป่วยเป็นโรคอะไร หากวิเคราะห์โรคผิด จ่ายยาผิด ก็จะทำให้ตาย แต่หากหมอวิเคราะห์โลกถูก จ่ายยาถูก ก็จะทำให้ฟื้น จากการแถลงนโยบายที่ผ่านมา ต้องชมว่ารัฐบาลตีโจทย์แตก วินิจฉัยถูก ส่วนการจ่ายยาก็ต้องดูในวันนี้ว่าจัดงบประมาณเป็นอย่างไร หากบอกว่าเป็นโรคไตแต่ไปจ่ายยาเบาหวาน จะทำให้ตายเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงต้องดูว่ารัฐบาลจัดงบประมาณถูกทิศถูกทางหรือไม่
วันนี้ปัญหาของประเทศชาติและประชาชนค่อนข้างมองตรงกันว่าเรื่องใหญ่สุดคือ เรื่องเศรษฐกิจและปากท้อง การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังต่ำ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง 80% ของจีดีพี สิ่งนี้เป็นตัวกัดกร่อนและเป็นแรงเสียดทานทางเศรษฐกิจ ซิ่งสิ่งที่เห็นในการจัดงบครั้งนี้คือรัฐบาลทุ่มไปกับเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจจำนวนมาก แต่หลายคนมองว่างบประมาณที่จัดอาจจะไม่เพียงพอ ยายังไม่แรง แต่เราต้องเข้าใจว่าการกระตุ้นไม่สามารถใช้งบประมาณรัฐอย่างเดียว ต้องมีมาตรการอื่นๆ เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งรัฐบาลมีการตั้งรับกับการผันผวนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งวันนี้มีความขัดแย้งกันหลายประเทศ อาจจะมีการเกิดสงคราม ทำให้เศรษฐกิจโลกหด รวมถึงภาษีทรัมป์ ส่วนในเชิงรุก รัฐบาลพยายามหารายได้ใหม่ การลงแรงซอฟต์พาวเวอร์ที่จะทำให้เกิดรายได้ใหม่เราไม่งอมืองอเท้ากับรายได้เก่า และงบประมาณที่ได้รับจัดสรร ทั้งยังได้มีการส่งเสริมเอกชนทั้งในเรื่องการลงทุน การท่องเที่ยว การส่งออก โดยงบประมาณ 3.78 ล้านล้านบาท จะใช้ไปเพื่อหมุนฟันเฟืองในด้านต่างๆ ทั้งการส่งออก อุตสาหกรรม เอกชน
ส่วนจะเป็นการจัดงบประมาณที่ถูกจุดหรือไม่นั้น สำหรับการจัดงบกลางมีคำถามว่าสามารถรองรับความผันผวนได้จริงหรือไม่ ทั้งเรื่องน้ำแล้ง น้ำท่วม และภาษี อย่างไรก็ตาม เมื่อปีที่แล้วมีการตำหนิว่าจัดงบกลางมากเกินไป เป็นแบงก์เช็คเพื่อให้รัฐบาลจ่ายได้แต่ตรวจสอบไม่ได้ แต่เมื่อปีนี้งบกลางลดลงก็ถูกตำหนิอีก สำหรับงบกลาง 6 แสนล้านบาท ตนอาจไม่พอใจ แต่สามารถเข้าใจได้ว่าการจัดทำงบประมาณแผ่นดินไม่ได้จบเท่านี้ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้นจริงๆ สามารถทำงบประมาณกลางปีได้ ขณะที่หลายคนสนใจเรื่องรายได้เกษตรกร เอสเอ็มอี ตกต่ำ ต้องยอมรับว่าเป็นจริง พบว่ารัฐบาลมี 2 แผนในการแก้ไข คือการใช้งบประมาณแผ่นดินและงบประมาณนอกแผ่นดิน เช่น งบประกันรายได้การเกษตร ข้าว ยาง และส่งเสริมเอสเอ็มอีอย่างเป็นระบบ แต่ยังมีรายได้นอกงบประมาณ การจัดทำซอฟต์โลน ร่วมกับธนาคารเพื่อหาสินเชื่อให้กับทางเอสเอ็มอี ทั้งการป้องกันเอสเอ็มอีต่างชาติที่เป็นคู่แข่งของคนในประเทศ
ส่วนงบกองทัพตนก็พอรู้เรื่อง ซึ่งมีการทวงถามถึงการปรับลดขนาดกองทัพ มองว่าการจัดงบยังเยอะอยู่ ในอดีตสมัยตนเป็น รมว.กลาโหม เคยพูดว่าการจัดงบความมั่นคง การจัดงบกองทัพ จะแตกต่างจากการจัดงบกระทรวงอื่น เนื่องจากกระทรวงอื่นมีการนำฐานเดิมมาตั้งแล้วบวกเงินเฟ้อเข้าไป แต่เรื่องความมั่นคงและกองทัพจะใช้ฐานเดิมไม่ได้ ซึ่งจะต้องดูถึงฐานคู่แข่งและบริบทโลก ว่าสถานการณ์โลกนั้นไปอย่างไร เข้าสู่โหมดตึงเครียดหรือไม่ จะมีการสู้รบหรือไม่ และจะขยายตัวมาถึงเราหรือไม่ เพื่อนบ้านกับเราเอากัน ซัดกันหรือยัง ย้ำว่าฐานความมั่นคงไม่ใช่ฐานตัวเลขเดิม แต่เป็นฐานสถานการณ์ หากมีความตึงเครียดต้องจัดงบประมาณเยอะ หากผ่อนคลายก็จัดงบน้อย และยิ่งมีการส่งสัญญาณว่าจะมีเหตุจะนิ่งนอนใจและจัดงบประมาณ ต้องขอกับทางกรรมาธิการ และต้องทำความเข้าใจกัน ดังนั้น งบส่วนนี้จึงไม่ได้มีความบกพร่อง หากงบส่วนไหนไม่เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศ สามารถตัดได้ แต่อันไหนเกี่ยวกับยุทธการต้องมีความเห็นใจ
“สุดท้ายกรอบการตอบโจทย์ประเทศตนมองว่าทุกรัฐบาล ไม่มีใครจะจัดงบประมาณละเลยประชาชน ทุกรัฐบาลอยากจัดงบให้ประชาชนชื่นชม อยากเห็นเศรษฐกิจขยายตัว ให้ประชาชนหน้าชื่นตาบาน กินอิ่ม นอนอุ่น ดังนั้น กรอบงบประมาณนี้จะขอให้ความเห็นชอบและให้กำลังใจ ส่วนงบประมาณปีนี้จะถูกใจเพื่อนสมาชิกหรือไม่ จากที่มีการประเมินมา 4 วัน เพื่อนสมาชิกส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่เราเห็นใจข้อจำกัดของรัฐบาล แต่อาจจะไม่ตรงใจบ้างก็เป็นเหตุที่ทุกคนจะต้องเข้าใจและยอมรับให้ได้ ส่วนที่ไม่ตรงใจอาจจะเป็นเพื่อนสมาชิกฝ่ายค้าน ซึ่งก็สามารถเข้าใจได้ เพราะหากรัฐบาลจัดงบแล้วฝ่ายค้านขึ้นมาชื่นชมจะผิดปกติ แต่หากขึ้นมาตำหนิและรายละเอียดบางอย่างมันเลยเถิด ไม่ถูกกาลเทศะ รัฐบาลต้องแยกแยะและเก็บไปคิด เช่น การบอกว่าประเทศไทยเข้าสู่รัฐล้มเหลว ซึ่งควรที่จะต้องพูดอย่างระมัดระวัง เพราะการดิสเครดิตประเทศของตัวเองเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และการทุจริตในหลายเรื่องบางครั้งยังไม่เกิดขึ้นในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ แต่อาจเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งสามารถเตือนสติกันได้” นายสุทินกล่าว
ทั้งนี้ หากอภิปรายงบประมาณแผ่นดินแล้วพูดเรื่องการทุจริต สิ่งที่ควรพูดคือการตั้งงบในลักษณะนี้อาจไม่สามารถตรวจสอบได้ หรือมีการหมกเม็ด ซึ่งจะสามารถป้องกันการทุจริต ฝ่ายค้านควรมีมุมมองที่วิตกจริตให้น้อยลง และตั้งอยู่บนโลกของความเป็นจริง ขณะที่รัฐบาลเองก็ต้องรับฟัง ท้ายที่สุดความแตกต่างทางความคิดในสภา แต่จะมีสิ่งที่เหมือนกันคือการเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและมาจากประชาชน ซึ่งเราอาจมองไม่ต่างกัน แต่มีวิธีแก้ปัญหาที่ต่างกัน ด้วยประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพที่ต่างกัน ซึ่งคนเป็นมืออาชีพและไม่เป็นมืออาชีพหรือเป็นมือสมัครเล่น เรื่องเดียวกันก็จะอาจจะมีการแก้ปัญหากันคนละแบบ แต่หวังว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้จะถูกนำไปพิจารณาในวาระที่สองอย่างรอบคอบ และเข้าสู่วาระที่สามก่อนที่จะถูกอนุมัตินำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งตนเห็นชอบให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ผ่านความเห็นชอบของสภา เพื่อไปพิจารณาในวาระต่อไป .-319-สำนักข่าวไทย