“พิพัฒน์” โต้ฝ่ายค้าน จัดงบกรมพัฒนาแรงงานเพิ่ม

รัฐสภา 31 พ.ค.-“พิพัฒน์” แจงงบกรมพัฒนาแรงงานที่เพิ่มขึ้น เพราะต้องพัฒนาทักษะแรงงานทั้งในไทยและส่งออก ขณะงบประกันสังคมลดลง ของบกลางปี 68 ใช้หนี้ เตรียมแก้กฎหมายช่วยแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง ได้รับเงินเยียวยาจากนายจ้าง เผย กำลังศึกษาปล่อยกู้ให้ ผู้ใช้แรงงาน มาตรา 33 39 40 สร้างอาชีพอิสระหารายได้เสริมให้กับครอบครัว

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชี้แจงกรณีที่มีการอภิปรายงบประมาณของกระทรวงแรงงาน 68,169 ล้านบาท ซึ่งบางหน่วยงานของกระทรวงแรงงานก็มีการถูกปรับลดงบประมาณลง แต่มีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานที่ได้งบประมาณเพิ่มขึ้น เพราะยุคนี้แรงงานต้องเพิ่มทักษะ รีสกิล อัพสกิล และในการจัดอบรมเรื่องของ AI หรือ semi connector ทางสำนักงบประมาณ จึงจัดงบประมาณให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพิ่มขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เพิ่มขึ้น 500 กว่าล้านซึ่งเป็นกรมเดียว ที่ได้งบประมาณเพิ่มขึ้นมากที่สุด ขณะที่ประกันสังคม มีการปรับลดงบประมาณลงเยอะที่สุด เพราะมีเงินสนับสนุนจากกองทุนในแต่ละปีได้รับการจัดสรร ให้ประมาณ 10% สามารถนำไปใช้จ่ายได้ แต่ประกันสังคมไม่เคยใช้ถึง 10% จะใช้อยู่ที่ประมาณ 2% กว่า นี่คือส่วนหนึ่งที่ผู้บริหารประกันสังคมและบอร์ดประกันสังคมที่มาจากการเลือกตั้ง พยายามดูเรื่องของงบประมาณที่จะเอามาใช้จ่ายในประกันสังคม เพราะฉะนั้นก่อนที่จะใช้จ่ายอะไรต้องผ่านอนุกรรมการ 16 คณะ ที่ตั้งโดยบอร์ดประกันสังคม


ทั้งนี้ การพัฒนาทักษะแรงงาน ไม่ได้ทำเฉพาะแรงงานที่อยู่ในประเทศแต่จะทำให้กับแรงงานที่ได้ส่งออกไปต่างประเทศด้วย โดยได้มีการลงไปสำรวจในแต่ละประเทศว่าต้องการแรงงานเท่าไหร่เพื่อที่จะได้มีการเตรียมการในการป้อนแรงงานของไทยไปสู่ต่างประเทศ ซึ่งในแต่ละปีเรามีรายได้จากแรงงานที่อยู่ต่างประเทศ ปีละไม่น้อยกว่า 250,000 ล้านบาท ซึ่งนี่ถือเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกส่วนหนึ่ง

ส่วนประเด็นที่นายเซียร์ จำปาทอง สส.พรรคประชาชนอภิปราย กรณีการเยียวยาลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง ขณะนี้ตนได้ดำเนินการไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับ รอการเวียนของแต่ละกระทรวงอยู่ ทางกระทรวงแรงงานปัจจุบัน ได้หาทางออกแล้วคือการตั้งคณะกรรมการ โดยการศึกษาร่วมระหว่างปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองผู้ แรงงานและประกันสังคม ซึ่งก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีได้มีการอนุมัติเงิน สงเคราะห์ลูกจ้าง ซึ่งจะมีการเก็บในวันที่ 1 ตุลาคม จ่ายโดยนายจ้าง 0.25% ซึ่งส่วนนี้ก็มีความกังวลว่าจะเป็นการผลักภาระให้กับนายจ้างหรือไม่ กระทรวงแรงงานจะมีการหารือกัน จนในข้อสรุปว่าอาจจะยกเลิกเงินส่วนนี้ แต่จะขอความร่วมมือนายจ้างให้ช่วยสมทบ 0.05% และเอาไปฝากไว้ที่กองทุนเงินทดแทน ดังนั้นเมื่อไหร่ที่มีปัญหาเรื่องของการเลิกจ้าง หรือสถานประกอบการปิดกิจการ ก็จะเอาเงินจากส่วนนี้ มาชดเชยให้กับลูกจ้าง และหากมีการต่อสู้คดีจนมีการฟ้องร้องกันก็จะให้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นเจ้าภาพ ในการที่จะฟ้องร้องฝ่ายนายจ้าง เพราะเรามีความเห็นที่ตรงกันได้ว่าถ้าตราบใดปล่อยให้ลูกจ้างไปต่อสู้กับนายจ้าง คิดว่าโอกาสที่จะชนะนายจ้างคงเป็นไปได้ยาก ฉะนั้น จึงจำเป็นจะต้องมีกองทุนในส่วนนี้ แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องมีการปรับแก้กฎหมาย โดยขอความร่วมมือจากสส.ฝ่ายรัฐบาล และ พรรคฝ่ายค้านต้องมาร่วมกันโหวตดีที่สุดคือ การพิจารณา 3 วาระรวด ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ ลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อน ก็จะได้รับเงินจากประกันสังคมที่จะนำเงินส่วนนี้มาชำระให้ก่อน แต่นั่นหมายความว่าพ.ร.บ.ต้องได้รับการแก้ไขแล้ว มีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นข้อมูลที่ลูกจ้างทุกคนอยากจะได้ยิน แต่เบื้องต้นประกันสังคมก็เยียวยาไปแล้ว 50% ในระยะเวลา 6 เดือน และของกรมสวัสดิการ ก็จะแบ่งเป็น 30% 50% และ 70% แต่ยังเหลือก้อนสุดท้าย คือเงินเยียวยาที่นายจ้างจะต้องชำระให้กับบุคคลที่ถูกเลิกจ้าง ซึ่งถ้าหากแก้กฎหมายในส่วนนี้ได้ก็จะเป็นการแก้ปัญหาโดยถาวร จึงอยากฝากผู้ใช้แรงงานทุกคนหากมีปัญหาอะไรให้มาที่กระทรวงแรงงานไม่ต้องไปถามใคร


ส่วนงบกลาง 157,000 ล้าน ที่นายกรัฐมนตรี ได้โยกมา ให้ปรับโครงสร้างพื้นฐานซึ่งทาง ประกันสังคมได้เงินมา 10,000 ล้าน แต่ไม่ได้มาในลักษณะการช่วยเหลือ เป็นการใช้หนี้คืนให้กับประกันสังคม ซึ่งมีการติดหนี้อยู่ประมาณ 5 หมื่นกว่าล้าน แต่ในเงิน 10,000 ล้านนี้ประกันสังคมก็ได้เอามารวม กับอีกก้อนหนึ่ง 20,000 ล้าน ซึ่งประกันสังคมได้มีการเซ็น MOU ไปเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม กับ 6 ธนาคาร ในการปล่อยเงิน 30,000 กว่าล้านบาทเพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่อง กับสถานประกอบการ โดยจะแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนคือสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง น้อยกว่า 200 คน สามารถกู้ได้ 15 ล้านบาท ถ้ามีลูกจ้างถึง 500 คนได้ 30 ล้านบาท เกินกว่า 500 คน ได้ 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยเบื้องต้น 3 ปีแรก สำหรับคนที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ดอกเบี้ย 2.35% แต่สำหรับคนที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ดอกเบี้ย 4.75% นี่คือส่วนต่างๆ ที่กระทรวงแรงงาน พยายามหยิบเงินส่วนนี้ขึ้นมาเพื่อจะกระตุ้น ให้กับนายจ้างหรือสถานประกอบการ เพื่อรักษาการจ้าง ไม่น้อยกว่า 80%

ส่วนเงิน 24,000 ล้านบาทในก้อนแรกเราจะใช้สนับสนุน ผู้ใช้แรงงานในมาตรา 33,39,40 สำหรับการไปสร้างอาชีพอิสระ สร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัวตัวเอง ซึ่งขณะนี้ปลัดกระทรวงแรงงาน ได้หารือกับธนาคาร และมีการตอบรับมาแล้ว2 แห่ง ที่ผู้ใช้แรงงานสามารถไปขอยื่นกู้เพื่อสร้างรายได้เสริม และตนมั่นใจว่าสิ่งที่รัฐบาลทุกรัฐบาล ต้องการมากที่สุดคือ ทำอย่างไรให้ฐานรากหรือรากหญ้ามีความเข้มแข็ง ที่สุด ถ้ามีความเข้มแข็งที่สุดแล้วกับการที่รัฐบาลจะไปอัดฉีด โครงสร้างใหญ่ๆ เพื่อทำให้เกิดการกระตุ้น GDP แต่ถ้าหากว่ารากหญ้ายังไม่แข็งแรง การพะวักหน้าพะวงหลัง ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้รัฐบาล ก้าวได้ยาก ฉะนั้นกระทรวงแรงงานโดยประกันสังคมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้การสนับสนุนรัฐบาลก้าวหน้าต่อไปให้ได้ แต่ทั้งหมดนี้ต้องผ่านบอร์ดของประกันสังคมก่อน

ส่วนในเรื่องของการดูแลความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งกระทรวงแรงงานและกรมสวัสดิการแรงงานได้มีการตั้งคณะกรรมการ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ในการก่อสร้าง และชุดเฉพาะกิจตรวจสอบและดูแลคุณภาพชีวิตแรงงาน กรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือประสบอันตรายจากการทำงาน กรณีร้ายแรง ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 30 หน่วยงาน รวมถึงบริษัทที่เป็นผู้รับเหมา ในกรุงเทพฯด้วย มีการประชุมไปแล้ว 1 ครั้งและมีการลงพื้นที่จริง 3 ครั้ง ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ตั้งก่อนที่จะมีการถล่มของตึกสตง.เพียงเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้ออกตรวจก็เกิดเหตุการณ์ตึกถล่มแต่ก่อน นี่เป็นสิ่งที่ห่างกระทรวงแรงงานค่อนข้างเสียใจมาก เหตุเกิดไปแล้วฉะนั้นจะบอกว่าจะรับผิดชอบหรือไม่รับผิดชอบไม่ได้เพราะ อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน เพราะฉะนั้นจากที่มีผู้อภิปราย ก็ขอให้ทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการ มาเพื่อรณรงค์ ในการป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการทำงาน และในปี 2570 จะต้องลดอุบัติเหตุ ให้ได้เหลือ 1 ต่อ 1,000 คน และลดการเสียชีวิต 3 ต่อ 100,000 คน


นายพิพัฒน์ ยังกล่าวต่อว่า ได้มีการขอชี้แจงในห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้วแต่เนื่องจากเวลาไม่เพียงพอ จึงต้องมาแถลงข่าวชี้แจงแทน ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เพื่อนสมาชิกได้อภิปรายในสภาพวกเราได้ดำเนินการ และพวกเราก็ได้ทำล่วงหน้าไปแล้วบางส่วน และในบางส่วนที่ยังไม่ได้รับงบประมาณ ก็รองบประมาณมาเพื่อที่จะขับเคลื่อนต่อไป แต่อย่างไรก็ตามในงบประมาณปี 2568 ที่ได้มีการอภิปรายกันมาขณะนี้พวกเราได้ดำเนินการอยู่.-312.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]