รัฐสภา 31 พ.ค.-“พิพัฒน์” แจงงบกรมพัฒนาแรงงานที่เพิ่มขึ้น เพราะต้องพัฒนาทักษะแรงงานทั้งในไทยและส่งออก ขณะงบประกันสังคมลดลง ของบกลางปี 68 ใช้หนี้ เตรียมแก้กฎหมายช่วยแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง ได้รับเงินเยียวยาจากนายจ้าง เผย กำลังศึกษาปล่อยกู้ให้ ผู้ใช้แรงงาน มาตรา 33 39 40 สร้างอาชีพอิสระหารายได้เสริมให้กับครอบครัว
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชี้แจงกรณีที่มีการอภิปรายงบประมาณของกระทรวงแรงงาน 68,169 ล้านบาท ซึ่งบางหน่วยงานของกระทรวงแรงงานก็มีการถูกปรับลดงบประมาณลง แต่มีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานที่ได้งบประมาณเพิ่มขึ้น เพราะยุคนี้แรงงานต้องเพิ่มทักษะ รีสกิล อัพสกิล และในการจัดอบรมเรื่องของ AI หรือ semi connector ทางสำนักงบประมาณ จึงจัดงบประมาณให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพิ่มขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เพิ่มขึ้น 500 กว่าล้านซึ่งเป็นกรมเดียว ที่ได้งบประมาณเพิ่มขึ้นมากที่สุด ขณะที่ประกันสังคม มีการปรับลดงบประมาณลงเยอะที่สุด เพราะมีเงินสนับสนุนจากกองทุนในแต่ละปีได้รับการจัดสรร ให้ประมาณ 10% สามารถนำไปใช้จ่ายได้ แต่ประกันสังคมไม่เคยใช้ถึง 10% จะใช้อยู่ที่ประมาณ 2% กว่า นี่คือส่วนหนึ่งที่ผู้บริหารประกันสังคมและบอร์ดประกันสังคมที่มาจากการเลือกตั้ง พยายามดูเรื่องของงบประมาณที่จะเอามาใช้จ่ายในประกันสังคม เพราะฉะนั้นก่อนที่จะใช้จ่ายอะไรต้องผ่านอนุกรรมการ 16 คณะ ที่ตั้งโดยบอร์ดประกันสังคม
ทั้งนี้ การพัฒนาทักษะแรงงาน ไม่ได้ทำเฉพาะแรงงานที่อยู่ในประเทศแต่จะทำให้กับแรงงานที่ได้ส่งออกไปต่างประเทศด้วย โดยได้มีการลงไปสำรวจในแต่ละประเทศว่าต้องการแรงงานเท่าไหร่เพื่อที่จะได้มีการเตรียมการในการป้อนแรงงานของไทยไปสู่ต่างประเทศ ซึ่งในแต่ละปีเรามีรายได้จากแรงงานที่อยู่ต่างประเทศ ปีละไม่น้อยกว่า 250,000 ล้านบาท ซึ่งนี่ถือเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกส่วนหนึ่ง
ส่วนประเด็นที่นายเซียร์ จำปาทอง สส.พรรคประชาชนอภิปราย กรณีการเยียวยาลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง ขณะนี้ตนได้ดำเนินการไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับ รอการเวียนของแต่ละกระทรวงอยู่ ทางกระทรวงแรงงานปัจจุบัน ได้หาทางออกแล้วคือการตั้งคณะกรรมการ โดยการศึกษาร่วมระหว่างปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองผู้ แรงงานและประกันสังคม ซึ่งก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีได้มีการอนุมัติเงิน สงเคราะห์ลูกจ้าง ซึ่งจะมีการเก็บในวันที่ 1 ตุลาคม จ่ายโดยนายจ้าง 0.25% ซึ่งส่วนนี้ก็มีความกังวลว่าจะเป็นการผลักภาระให้กับนายจ้างหรือไม่ กระทรวงแรงงานจะมีการหารือกัน จนในข้อสรุปว่าอาจจะยกเลิกเงินส่วนนี้ แต่จะขอความร่วมมือนายจ้างให้ช่วยสมทบ 0.05% และเอาไปฝากไว้ที่กองทุนเงินทดแทน ดังนั้นเมื่อไหร่ที่มีปัญหาเรื่องของการเลิกจ้าง หรือสถานประกอบการปิดกิจการ ก็จะเอาเงินจากส่วนนี้ มาชดเชยให้กับลูกจ้าง และหากมีการต่อสู้คดีจนมีการฟ้องร้องกันก็จะให้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นเจ้าภาพ ในการที่จะฟ้องร้องฝ่ายนายจ้าง เพราะเรามีความเห็นที่ตรงกันได้ว่าถ้าตราบใดปล่อยให้ลูกจ้างไปต่อสู้กับนายจ้าง คิดว่าโอกาสที่จะชนะนายจ้างคงเป็นไปได้ยาก ฉะนั้น จึงจำเป็นจะต้องมีกองทุนในส่วนนี้ แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องมีการปรับแก้กฎหมาย โดยขอความร่วมมือจากสส.ฝ่ายรัฐบาล และ พรรคฝ่ายค้านต้องมาร่วมกันโหวตดีที่สุดคือ การพิจารณา 3 วาระรวด ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ ลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อน ก็จะได้รับเงินจากประกันสังคมที่จะนำเงินส่วนนี้มาชำระให้ก่อน แต่นั่นหมายความว่าพ.ร.บ.ต้องได้รับการแก้ไขแล้ว มีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นข้อมูลที่ลูกจ้างทุกคนอยากจะได้ยิน แต่เบื้องต้นประกันสังคมก็เยียวยาไปแล้ว 50% ในระยะเวลา 6 เดือน และของกรมสวัสดิการ ก็จะแบ่งเป็น 30% 50% และ 70% แต่ยังเหลือก้อนสุดท้าย คือเงินเยียวยาที่นายจ้างจะต้องชำระให้กับบุคคลที่ถูกเลิกจ้าง ซึ่งถ้าหากแก้กฎหมายในส่วนนี้ได้ก็จะเป็นการแก้ปัญหาโดยถาวร จึงอยากฝากผู้ใช้แรงงานทุกคนหากมีปัญหาอะไรให้มาที่กระทรวงแรงงานไม่ต้องไปถามใคร
ส่วนงบกลาง 157,000 ล้าน ที่นายกรัฐมนตรี ได้โยกมา ให้ปรับโครงสร้างพื้นฐานซึ่งทาง ประกันสังคมได้เงินมา 10,000 ล้าน แต่ไม่ได้มาในลักษณะการช่วยเหลือ เป็นการใช้หนี้คืนให้กับประกันสังคม ซึ่งมีการติดหนี้อยู่ประมาณ 5 หมื่นกว่าล้าน แต่ในเงิน 10,000 ล้านนี้ประกันสังคมก็ได้เอามารวม กับอีกก้อนหนึ่ง 20,000 ล้าน ซึ่งประกันสังคมได้มีการเซ็น MOU ไปเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม กับ 6 ธนาคาร ในการปล่อยเงิน 30,000 กว่าล้านบาทเพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่อง กับสถานประกอบการ โดยจะแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนคือสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง น้อยกว่า 200 คน สามารถกู้ได้ 15 ล้านบาท ถ้ามีลูกจ้างถึง 500 คนได้ 30 ล้านบาท เกินกว่า 500 คน ได้ 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยเบื้องต้น 3 ปีแรก สำหรับคนที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ดอกเบี้ย 2.35% แต่สำหรับคนที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ดอกเบี้ย 4.75% นี่คือส่วนต่างๆ ที่กระทรวงแรงงาน พยายามหยิบเงินส่วนนี้ขึ้นมาเพื่อจะกระตุ้น ให้กับนายจ้างหรือสถานประกอบการ เพื่อรักษาการจ้าง ไม่น้อยกว่า 80%
ส่วนเงิน 24,000 ล้านบาทในก้อนแรกเราจะใช้สนับสนุน ผู้ใช้แรงงานในมาตรา 33,39,40 สำหรับการไปสร้างอาชีพอิสระ สร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัวตัวเอง ซึ่งขณะนี้ปลัดกระทรวงแรงงาน ได้หารือกับธนาคาร และมีการตอบรับมาแล้ว2 แห่ง ที่ผู้ใช้แรงงานสามารถไปขอยื่นกู้เพื่อสร้างรายได้เสริม และตนมั่นใจว่าสิ่งที่รัฐบาลทุกรัฐบาล ต้องการมากที่สุดคือ ทำอย่างไรให้ฐานรากหรือรากหญ้ามีความเข้มแข็ง ที่สุด ถ้ามีความเข้มแข็งที่สุดแล้วกับการที่รัฐบาลจะไปอัดฉีด โครงสร้างใหญ่ๆ เพื่อทำให้เกิดการกระตุ้น GDP แต่ถ้าหากว่ารากหญ้ายังไม่แข็งแรง การพะวักหน้าพะวงหลัง ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้รัฐบาล ก้าวได้ยาก ฉะนั้นกระทรวงแรงงานโดยประกันสังคมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้การสนับสนุนรัฐบาลก้าวหน้าต่อไปให้ได้ แต่ทั้งหมดนี้ต้องผ่านบอร์ดของประกันสังคมก่อน
ส่วนในเรื่องของการดูแลความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งกระทรวงแรงงานและกรมสวัสดิการแรงงานได้มีการตั้งคณะกรรมการ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ในการก่อสร้าง และชุดเฉพาะกิจตรวจสอบและดูแลคุณภาพชีวิตแรงงาน กรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือประสบอันตรายจากการทำงาน กรณีร้ายแรง ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 30 หน่วยงาน รวมถึงบริษัทที่เป็นผู้รับเหมา ในกรุงเทพฯด้วย มีการประชุมไปแล้ว 1 ครั้งและมีการลงพื้นที่จริง 3 ครั้ง ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ตั้งก่อนที่จะมีการถล่มของตึกสตง.เพียงเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้ออกตรวจก็เกิดเหตุการณ์ตึกถล่มแต่ก่อน นี่เป็นสิ่งที่ห่างกระทรวงแรงงานค่อนข้างเสียใจมาก เหตุเกิดไปแล้วฉะนั้นจะบอกว่าจะรับผิดชอบหรือไม่รับผิดชอบไม่ได้เพราะ อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน เพราะฉะนั้นจากที่มีผู้อภิปราย ก็ขอให้ทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการ มาเพื่อรณรงค์ ในการป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการทำงาน และในปี 2570 จะต้องลดอุบัติเหตุ ให้ได้เหลือ 1 ต่อ 1,000 คน และลดการเสียชีวิต 3 ต่อ 100,000 คน
นายพิพัฒน์ ยังกล่าวต่อว่า ได้มีการขอชี้แจงในห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้วแต่เนื่องจากเวลาไม่เพียงพอ จึงต้องมาแถลงข่าวชี้แจงแทน ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เพื่อนสมาชิกได้อภิปรายในสภาพวกเราได้ดำเนินการ และพวกเราก็ได้ทำล่วงหน้าไปแล้วบางส่วน และในบางส่วนที่ยังไม่ได้รับงบประมาณ ก็รองบประมาณมาเพื่อที่จะขับเคลื่อนต่อไป แต่อย่างไรก็ตามในงบประมาณปี 2568 ที่ได้มีการอภิปรายกันมาขณะนี้พวกเราได้ดำเนินการอยู่.-312.-สำนักข่าวไทย