“ชูศักดิ์” รับปัจจัยทำให้วัดมีปัญหาคือเงิน-ผู้หญิง บอกต้องทำบัญชีให้ชัดเจน

รัฐสภา 31 พ.ค. – สส.พรรคประชาชน แนะสำนักพุทธฯ ให้วัดทำบันทึกบัญชีรายรับ-รายจ่ายแบบมาตรฐานเดียวกัน-ชัดเจน-ตรวจสอบได้ ด้าน “ชูศักดิ์” รับปัจจัยทำให้วัดมีปัญหาคือเงิน-ผู้หญิง บอกต้องทำบัญชีให้ชัดเจน ชี้สำนักพุทธฯ มีอำนาจแค่กำกับดูแลความเรียบร้อย เหตุมี กม.สงฆ์ ดูแลอยู่


นายฉัตร สุภัทรวณิชย์ สส.นครราชสีมา พรรคประชาชน อภิปรายเกี่ยวกับงบประมาณของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่าวัดกลายเป็นแหล่งกระทำความผิดเกี่ยวกับเงิน เพราะไม่มีการตรวจสอบที่ดี รวมถึงมีกิจกรรมหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับเงินสด เงินบริจาค การเช่าวัตถุมงคลต่างๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่มีการกำกับดูแลดีพอในเรื่องบัญชี

จากการไปพูดคุยจากเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ ตนได้ข้อมูลว่าเจ้าอาวาส พระ กรรมการวัดทั้งหลาย ไม่ได้ถนัดที่จะทำบัญชี ซึ่งในทางปฏิบัติการจัดทำรายรับ-รายจ่ายของวัดนั้น เป็นเพียงบัญชีที่บันทึกเอาไว้เท่านั้น และไม่มีความซับซ้อนใดๆ เป็นไปตามมาตรฐานทางบัญชี บางครั้งวัดจะบอกแค่ยอดรวมๆ ซึ่งการกำกับการดูแลเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีรับจ่ายของวัดยังไม่ได้ระบุชัดเจน เพราะกำหนดไว้เพียงให้จัดทำบัญชีวัด 2 เล่ม ได้แก่ สมุดเงินสด และบัญชีแยกประเภท เมื่อจัดทำบัญชีทั้ง 2 เล่มแล้วให้เก็บรักษาไว้ที่วัด เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบในการขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ขอเป็นวัดพัฒนา และเผื่อมีชาวบ้านร้องเรียนเท่านั้น ซึ่งไม่ได้มีการกำหนดให้เผยแพร่ให้รับรู้ รับทราบ หรือตรวจสอบได้โดยทั่วไป และถือเป็นจุดเสี่ยงที่วัดจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดได้ และหากสำนักพุทธฯ ปล่อยวัดเป็นเช่นนี้ ชาวพุทธที่มีปัญญาคงไม่มีใครทำบุญกับวัดอีกแล้ว ไปทำบุญกับคนที่ควรได้หรือองค์กรที่โปร่งใสจะดีกว่า


นายฉัตร กล่าวต่อว่า ตนขอเสนอ 3 ข้อเพิ่มเติมแนวทางการทำบัญชีเงินวัดคือ 1.กำหนดให้สำนักพุทธฯ จัดทำแบบบันทึกบัญชีรายรับ-รายจ่ายทุกวัดให้มีมาตรฐาน และมาตรฐานเดียวกันทุกวัด 2.วัดต้องนำส่งบัญชีให้สำนักพุทธฯ จังหวัดทุกรอบ 1 เดือน และวัดต้องติดประกาศเผยแพร่ให้สาธุชนสามารถตรวจสอบได้ และ 3.กำหนดให้สำนักพุทธฯ แต่ละจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจนจะได้ไปตรวจสอบการทำบัญชีของทุกวันในเขตพื้นที่และให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ รวมถึงต้องเปลี่ยนแนวคิดทำนุบำรุงทางกายภาพ เช่น เอาภาษีมาสนับสนุนเงินสร้างวัดปฏิสังขรณ์เสนาสนะ ซึ่งเป็นปัญหาไม่รู้ว่าหลักเกณฑ์หลักเลือกวัดที่ได้รับงบประมาณเป็นอย่างไร เปลี่ยนมาเป็นการตั้งงบเพื่อช่วยเหลือและตรวจสอบบัญชีของวัดดีกว่า

นายฉัตร กล่าวว่า งบเงินอุดหนุนการตรวจการคณะสงฆ์และตรวจตราพระสงฆ์ที่มีอาจจะไม่สมควรแก่สมณวิสัยและส่งเสริมการปฏิบัติงานของพระวินยาธิการ โดยในปี 62 มีงบประมาณเกือบ 13 ล้านบาท และเริ่มลดน้อยลงในปีถัดๆ ไป อาจจะเป็นเพราะภาวะโควิด-19 ซึ่งงบพระวินยาธิการ เป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้พระมือปราบที่มีจิตอาสาได้รับมอบหมายจากพระเถระให้เป็นผู้ตรวจตราสอดส่องคณะสงฆ์ และตั้งข้อสังเกตว่าหากเราสนับสนุนส่งเสริมการทำงานของพระวินยาธิการจะดีขึ้นหรือไม่ ซึ่งมีความแตกต่างหากเปรียบเทียบกับตำรวจชั้นผู้น้อย ทางตำรวจมือปราบจะมีเงินเดือน มีสินบนนำจับ แต่พระมือปราบไม่มี

“ทำบัญชีวัดโดยกำหนดมาตรฐานชัดเจน ทำระบบให้โปร่งใสตรวจสอบได้ สนับสนุนให้การทำงานของพระวินยาธิการมีประสิทธิภาพเข้มแข็ง จึงเป็นการใช้ภาษีอย่างมีประโยชน์ ตรงวัตถุประสงค์ไม่ต้องอุดหนุนสร้างบูรณะวัดให้มากมาย ประชาชนชาวพุทธที่เลื่อมใสศรัทธาในวัด จะทำบุญกับวัดทำนุบำรุงพระศาสนามากขึ้นเอง” นายฉัตร กล่าว


จากนั้นนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงกรณีมีการอภิปรายเกี่ยวกับงบประมาณสำนักพระพุทธศาสนา ว่าเรื่องวัดไร่ขิง ที่เป็นที่สนใจของประชาชน เบื้องต้นหากดูพื้นฐานเงินที่เกี่ยวกับวัดจะมีทรัพย์สินที่เกี่ยวกับเงินที่นำไปบริจาคและทรัพย์สินที่เกิดจากการจัดกิจกรรม ซึ่งปัญหาที่เกิดจากวัดไร่ขิง จะพบว่ามีที่ดินจำนวนมาก แต่ละปีวัดจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ มีการให้เช่าที่ ซึ่งตนทราบว่าราคาเช่าค่อยข้างแพงและรายได้จากการทำกิจกรรมประเภทนี้ค่อนข้างมาก แต่กลับไม่มีการทำบัญชีอย่างเป็นทางการ เพื่อให้เกิดการตรวจสอบ แม้จะมีกฎกระทรวงที่ต้องส่งบัญชีให้กับมหาเถรสมาคม หรือสำนักพุทธฯ ได้ดู ซึ่งตนได้ดูว่าเรื่องนี้ไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง

อย่างไรก็ตาม หากดูในอดีตวัดที่เกิดปัญหาจะมีการจัดกิจกรรมในลักษณะนี้จึงทำให้มีทรัพย์สินมากขึ้น จนในที่สุดเกิดการทะเลาะกันของฝ่ายต่างๆ

“ตนได้เข้าไปคุยกับพระผู้ใหญ่หลายรูป พบว่าพระเองก็ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง และจะมีปัญหาและจะทำให้เสียผู้เสียคน หากมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีการบริหารจัดการที่ดี รวมถึงเรื่องผู้หญิง ทั้งนี้ ตนได้ไปค้นในรัฐธรรมนูญ พบว่าสิ่งไม่เคยมีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ คือต้องมีกลไกและมาตรการในป้องกันไม่ให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินมาตรการและกลไกดังกล่าวด้วย” นายชูศักดิ์ กล่าว

นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า อำนาจสำนักพุทธฯ ไม่ได้มีอำนาจไปบังคับบัญชาได้โดยตรง เพราะมีกฎระเบียบ กฎหมายคณะสงฆ์กำกับดูแลอยู่ ซึ่งหน้าที่ของเรามีแค่เข้าไปประสานให้กิจการของพระพุทธศาสนาเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีอำนาจในการตั้งงบประมาณ ซึ่งงบประมาณในปีนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย และมีการให้นโยบายไปด้วยว่าจะต้องมีการออกระเบียบให้ชัดเจนสำหรับการนำเงินงบประมาณนี้ไปช่วยวัดต่างๆ ว่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้พบว่ามีการประสานงบประมาณในการจัดทำเมรุเผาศพจำนวนมาก ขณะนี้ยังไม่รู้จะดำเนินการอย่างไร จึงต้องมีการออกระเบียบกฎเกณฑ์ ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาเกิดขึ้นเหมือนในอดีต.-315-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

“ลุงพล” นอนคุกยาว ศาลไม่ให้ประกันตัว เกรงหลบหนี

14 ส.ค. – ศาลฎีกายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ ชี้เป็นคดีร้ายแรง เกรงจะหลบหนี ส่งผลให้ลุงพลต้องนอนคุกระหว่างฎีกา นายประยุทธ เพชรคุณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 4 กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ “ลุงพล” ในคดีฆ่าเด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี รวมเป็น 26 ปี เมื่อวานนี้ ลุงพลยื่นประกันตัวและศาลจังหวัดมุกดาหารส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา เรื่องการปล่อยชั่วคราว โดยวันนี้ศาลฎีกา ได้มีคำสั่งออกมาว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อสังคมเป็นการลงโทษสถานหนัก ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษให้จำคุก 26 ปี และเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ยกคำร้องการประกันตัว ส่งผลให้จำเลยต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างฎีกา ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) เจ้าหน้าที่จะนำตัวลุงพลไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดนครพนม เนื่องจากโทษจำคุกสูง.-สำนักข่าวไทย

บุกชิงทอง

ควงปืนชิงทองกลางห้างดังย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท ขี่ จยย.หนี

สมุทรปราการ 14 ส.ค. – คนร้ายสวมชุดไรเดอร์ควงปืนจี้ชิงทอง ร้านทองกลางห้าง ย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ก่อนขี่จักรยานยนต์หลบหนี ตำรวจเร่งล่าตัว เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ เกิดเหตุอุกอาจภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดไรเดอร์ ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทองพร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวมราว 163 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เอ็นแม็ก ที่จอดอยู่ด้านหน้า ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง ให้ข้อมูลว่า เห็นคนร้ายเดินเข้ามา จึงบอกให้ถอดหมวกกันน็อก แต่คนร้ายไม่สนใจ ก่อนบุกเข้าไปก่อเหตุในร้านทอง พนักงานชายร้านทอง เล่าว่า ผู้ก่อเหตุปีนเข้ามาแล้วพูดว่า ‘หยิบทองมา’ จึงสั่งให้น้องพนักงานหมอบลงเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธปืน และไม่เคยเห็นหน้าของคนร้ายมาก่อน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจ สภ.บางบ่อ พร้อมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ เร่งไล่ล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป. – […]

เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด

กทม.14 ส.ค.- เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด อ้างอิงเหตุการณ์คลิปเสียง และพฤติการณ์ที่นิ่งเฉย ไม่กำหนดมาตรการหรือความชัดเจนตอบโต้กัมพูชาในช่วงปะทะ ไล่เลียงตั้งแต่กัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย 200 เมตร จนถึงวันปล่อยคลิปเสียง 18 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องของ 36 สว. ต่อกรณีคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลนัดวินิจฉัยคำร้องในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งในคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5) ในเนื้อหาคำร้องอ้างอิงถึงคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหาข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้ โดยสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ประการสำคัญ […]

“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ชายแดนสันติ

จีน 15 ส.ค.-“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ปัญหาชายแดนอย่างสันติ พร้อมขอบคุณที่เห็นความจำเป็นในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เห็นพ้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบรับคำเชิญของ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ในการเข้าร่วมจิบน้ำชาและหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ไทย และกัมพูชา ในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong – Lancang Cooperation) หรือ MLC ครั้งที่ 10 ณ เมืองอันหนิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายมาริษ ได้แสดงความขอบคุณต่อบทบาทที่สร้างสรรค์ของจีน ในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีต่างๆ และการบังคับใช้ให้เกิดการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยได้รับการสนับสนุนของอาเซียน พร้อมยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วน ที่ไทย-กัมพูชา ต้องร่วมมือกันในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันถึงความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล เนื่องจากเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียด และฟื้นฟูความเป็นปกติสุขในพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้ นายมาริษ ยังได้กล่าวขอขอบคุณ นายหวัง อี้ […]