สส.ปชน.ชี้รัฐบาลต้องกู้วิกฤติประกันสังคม-จัดทำระบบตรวจสอบให้โปร่งใส

รัฐสภา 31 พ.ค. – “สหัสวัต” ชี้รัฐบาลต้องกู้วิกฤติสำนักงานประกันสังคม เริ่มจากการใช้หนี้คืนกองทุน-แก้กฎหมายปรับโครงสร้างบอร์ดกองทุนประกันสังคม ให้ยึดโยงกับผู้ประกันตน และจัดทำระบบตรวจสอบให้โปร่งใส ปิดช่องไม่ให้พวกปรสิตสูบโกงกินเงิน


การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานในที่ประชุม ในวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 โดยนายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน อภิปรายงบสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ที่ได้รับการจัดสรรงบในกระทรวง 68,069 ล้านบาท และเป็นงบประมาณของสำนักงานประกันสังคม 61,666 ล้านบาท หรือ 90% แม้จะเป็นงบประมาณจำนวนมาก แต่ยังไม่สามารถจ่ายดูแลผู้ประกันตนได้อย่างเพียงพอในอนาคต และการวิพากษ์ว่ากองทุนประกันสังคมวิกฤติเสี่ยงร่มในช่วง 25-30 ปี ที่หมายถึงบุคคลที่ส่งประกันสังคมไป แต่อาจไม่ได้รับสิทธิในการรักษาในช่วงวัยเกษียณ

“เราอยู่ในวิกฤติที่อีก 30 ปี ประชาชนคนไทยจะเจ็บป่วยไม่ได้ ตกงานไม่ได้ หยุดทำงานไม่ได้ เพราะหยุดเมื่อไรจะลบทันทีแบบไม่มีโอกาสลุก แม้แต่รัฐมนตรีพิพัฒน์ได้พูดว่ากองทุนประกันสังคมเสี่ยงล้มละลายภายใน 30 ปี จนมีการสรุปว่ารายรับไม่สัมพันธ์กับรายจ่ายในอนาคต และมีการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา 4 ข้อ ขยายอายุการเกษียณ กำหนดเพิ่มอัตราสมทบระยะสั้น ขยายเพดานค่าจ้าง ร่วมมือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง”


นายสหัสวัต ชี้ว่าหากรัฐบาลต้องการกู้วิกฤติประกันสังคม ต้องเริ่มจากตัวเอง จากการใช้หนี้กองทุนประกันสังคม หนี้ที่ติดผู้ประกันตนทั้งประเทศ ซึ่งจากข้อมูลที่มีรัฐบาลติดหนี้ตั้งแต่ปี 2534-2539 ค้างชำระกว่า 1 แสนล้านบาท เนื่องจากในอดีตมีงบประมาณก้อนหนึ่ง หรืองบประมาณพัฒนาจังหวัด หรืองบ สส. ที่จะเห็นป้ายตามศาลาพักร้อนหรือสะพานว่าจัดสรรโดย สส.คนนั้นคนนี้ เงินผู้ประกันตนของคนทั้งประเทศโดนล้วงเอาไปใช้เอาหน้า โดยที่ผู้ที่ส่งเงินสมทบเป็นผู้เสียประโยชน์ เพียงพอต้องตัดเอาไปให้ สส. ที่อยากมีหน้ามีตาเอาเงินไปสร้างถนนสร้างสะพาน แต่ความซวยตกอยู่กับผู้ประกันตน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลค้างจ่ายเงินเงินประกันสังคมอยู่ที่ 56,000 ล้านบาท และทุกปีที่รัฐเบี้ยวหนี้คือการขโมยเงินในอนาคตของผู้ประกันตน เสียโอกาสในการลงทุนออกดอกผลให้มาเป็นสิทธิประโยชน์ประชาชน

พร้อมกันนี้ได้คำนวณเงินค้างจ่ายของรัฐบาลต่อประกันสังคม ในเรทอัตราดอกเบี้ยเดียวกันกับการเก็บผู้ประกอบการ จะทำให้มีค่าปรับและค่าเสียโอกาสจากการค้างจ่ายสมทบของรัฐบาลอยู่ที่ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งสามารถยืดอายุกองทุนได้อย่างน้อย 4 ปี ก่อนจะเรียกร้องให้รัฐบาลกลางใช้หนี้อย่างจริงจัง เพราะขณะนี้ประชาชนไม่เชื่อมั่นในกองทุน เนื่องจากปัญหาความโปร่งใส

“จะใช้ให้หมดภายในกี่ปี จ่ายดอกปีละเท่าไร ทำจริงจังออกมา หยุดเอาเปรียบลูกจ้างนายจ้าง หวังว่าจะได้เห็นแผนใช้หนี้นี้ในปีหน้า ยังนับว่าเริ่มแรกหลักประกันสังคมคือการสมทบ 3 ฝ่าย ผู้ประกันตน นายจ้าง จ่ายคนละ 5% แต่รัฐจ่ายเพียง 2.75% แบบนี้จ่ายน้อยที่สุด เอาเปรียบตั้งแต่ต้นไม่พอยังค้างจ่าย แบบไม่มีค่าปรับดอกเบี้ยอะไร นี่เอาเปรียบทั้งคนทำงานและนายจ้าง แบบนี้ก็เจ๊งสิ”


นายสหัสวัต กล่าวต่อว่า แม้แต่ตึก Skyy9 บอร์ดประกันสังคมยังไม่เคยรู้ว่าเป็นการลงทุน เพราะกฎระเบียบเปิดช่องว่างให้มีการแต่งตั้งอนุฯ ชงให้กองทุนซื้อของมูลค่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งความไม่โปร่งใส ส่งผลต่อความไม่มีประสิทธิภาพ ผ่านผลตอบแทนการลงทุน ซึ่งกองทุนประกันสังคมในช่วง 10 ปี เติบโตปีละ 3% หากเปรียบเทียบกับกองทุนในประเทศอื่น โต 5% ซึ่งแม้จะห่าง 2% แต่คือเงินนับ 100,000 ล้านบาท

พร้อมกันนี้กล่าวถึงการใช้งบประมาณในสำนักงานประกันสังคม ที่รับการจัดสรรงบ 937 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ 880 ล้านบาท คือเงินใช้จ่ายบุคลากรและอีก 54 ล้านเป็นงบที่ใช้ดำเนินงาน โดยยังมีเงินนอกงบประมาณ ใช้เงินสมทบของผู้ ประกันตน ซึ่งตามกฎหมายสามารถใช้ได้ 10% ของเงินสมทบ แม้สำนักงานจะบอกว่าใช้เพียง 3% แต่สูงถึงปีละ 6000 ล้านบาท ที่ไม่ต้องผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรและตรวจสอบไม่ได้ เมื่อย้อนไปดูใช้เงินของสำนักงานประกันสังคม จะเห็นว่ามีการตั้งคำถามว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกันตนอย่างไร

“ไม่ว่าจะเป็นการทำปฏิทินปีละกว่า 50 ล้านบาท ที่ผู้ประกันตนส่วนใหญ่ไม่มีใครเคยได้ ไม่รู้แต่ไปทำไมหรือกรณีที่ผมเพิ่งเปิดเผยไม่นานมานี้คือการซื้อรถของประกันสังคม ซึ่งไม่ได้มีความจำเป็น แต่มันคือการเอาเงินสี่ล้านบาทของผู้ประกันตนไปซื้อรถหรู เขียนโครงการด้วยความสวยหรือว่ารถสนับสนุนภารกิจของกระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคม แต่ที่จริงคือเอารถไปใช้ประจำตำแหน่ง”

นายสหัสวัต กล่าวว่า ให้ตัดการใช้จ่ายที่สุรุ่ยสุร่ายออกไปและขยายสิทธิให้ผู้ประกันตนสามารถไปถึงไหนต่อไหนแล้ว พร้อมทักท้วงเรื่องการให้บริการประชาชนเรื่องสายด่วน 1506 ที่ไม่สามารถติดต่อได้ เพราะสำนักงานมีการไปจ้างบริษัทนอกมาดำเนินการ ซึ่งไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเข้าใจข้อมูลของประกันสังคม ซึ่งใช้งบประมาณในส่วนนี้ปีละกว่า 100 ล้านบาท เป็นระยะ 10 ปีก็เป็นมูลค่า 1000 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังกล่าวถึงงบที่เกี่ยวกับระบบไอทีของสำนักงานสำนักงานประกันสังคม วงเงินปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และใช้มานานเป็นระยะ 10 ปี หมดไปนับ 10,000 ล้านบาท กับการทำแอปพลิเคชันที่ไม่สามารถบริการประชาชนได้อย่างเต็มประสิทธิ ก่อนที่จะเสนอแนะให้ปรับเปลี่ยนงบในส่วนนี้ไปสนับสนุนด้านบุคลากรเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน

พร้อมกันนี้กล่าวถึงการปฏิรูปโครงสร้างสำนักงานประกันสังคมทั้งหมด โดยผู้มีอำนาจในการตัดสินใจมีไม่กี่คน ที่ทำงานภายใต้อำนาจของนักการเมือง ซึ่งข้าราชการในกระทรวงไม่เคยจ่ายเงินสมทบ แต่ไปคิดแทนผู้ประกันตน เป็นการเปิดช่องโหว่ให้นักการเมืองฉ้อฉล และข้าราชการน้ำเสียรวมหัวคอร์รัปชันสูบกินเงินของผู้ประกันตน อย่าว่าเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะยกเครื่องพระราชบัญญัติประกันสังคม

“โดยแก้หลักการว่ากองทุนประกันสังคมต้องยึดโยงกับนายจ้างและผู้ประกันตนให้มากที่สุดผ่านการเลือกตั้ง คนบริหารต้องมาจาก 3 ฝ่ายอย่างแท้จริง ไม่ใช่รัฐที่จ่ายน้อยที่สุดแต่มีอำนาจสูงสุด และต้องมีกลไกตรวจสอบได้ตลอดเวลา ปิดโอกาสปิดช่องไม่ให้พวกปรสิตมาสูบโกงกินเงินของพวกเราที่ทำงานอย่างหนัก ส่งเงินเข้ากองทุนนี้เพื่อหวังจะมีเบาะรองในชีวิต”

ทั้งนี้ นายสหัสวัต ได้เสนอกู้วิกฤติประกันสังคม คือการใช้หนี้ ทำให้โปร่งใส ปฏิรูปโครงสร้าง.-319-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย