รัฐสภา 28 พ.ค.-“วิโรจน์” ยก งบกรมทางหลวง-กรมทางหลวงชนบท ประกาศโครงการเอื้อ “ผู้รับเหมาชั้นพิเศษ” เพื่อหวังเงินทอน ยันต้องแก้หลักเกณฑ์ จะประหยัดได้หลายพันล้าน ลั่นหากเห็นด้วย พ.ร.บ. เหมือนทรยศประชาชนผู้เสียภาษี มาร่วมกันทุจริต
เนายวิโรจน์ ลักคณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายโดยลงรายละเอียดงบประมาณ 2569 ของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ว่า ตั้งแต่งบประมาณปี 2560 ถึง 2566 มีโครงการก่อสร้างทางที่มีราคากลางตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป กว่า 95 โครงการมูลค่า 73,000 ล้านบาท โดยตลอด 7 ปี ประหยัดงบไปได้แค่ 175 ล้านบาท
นายวิโรจน์ ยกตัวอย่าง โครงการก่อสร้างหมายเลข 4140 สายอำเภอท่าศาลา ถึงอำเภอนบพิตำ ราคากลาง 799,993,456 บาท ราคาชนะประมูล 799,900,000 ล้านบาท ประหยัดงบไปเพียงแค่ 0.01% โดยมองว่าเป็นการประมูลแม่นเหมือนจับวางเหมือนมีผีเปรตมาดลจิตดลใจ ส่วนกรมทางหลวงชนบทถนนสาย ชบ.3023 แยก ทล.315 หนองปลาไหลอำเภอพานทอง อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ที่ประหยัดงบไปได้เพียง 0.01%
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ 2560 – 2566 มีโครงการ 450 ถึง 500 ล้านบาท 10 โครงการ ประหยัดไปได้ 15.21% ของราคากลางซึ่งเรื่องชวนหลอน จะเกิดขึ้นกับโครงการที่มีงบประมาณ 500 ล้านบาทขึ้นไปเท่านั้น โดยเรื่องเหล่านี้ สาเหตุมาจากประกาศหลักเกณฑ์จัดชั้นผู้รับเหมา
”ผู้รับเหมาชั้นพิเศษที่ประเทศนี้มีอยู่แค่ 79 ราย จึงอยู่ในสภาพผูกขาดเป็นเสือนอนกิน รอสัมภเวสีประจำกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท มาจัดฮั้วประมูล แล้วส่งเงินทอนให้โดยไม่ต้องดิ้นรนแข่งขันอะไรเลย“ นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ ระบุว่า ตนเองเคยตั้งคำถามในสมัยรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะมีการแก้ไขปัญหาโดยการเพิ่มผู้รับเหมาชั้น 1ก โดยตนเองก็ได้แจ้งไปว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาการฮั้วประมูลได้ ซึ่งต่อมาตนเองได้นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมาธิการอีกครั้ง โดยผู้แทนจากกรมบัญชีกลางได้มีมติให้ขยับเพดานการประกวดชั้นผู้รับเหมา 1ก ไปแล้ว แต่ถูกกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทคัดค้านจึงต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมา โดยผู้แทนกรมทางหลวงได้อ้างในที่ประชุมว่าการที่ต้องสงวนงานไว้ให้กับผู้รับเหมาชั้นพิเศษเป็นเพราะการจัดการจราจรระหว่างก่อสร้าง ซึ่งมองว่าเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะไม่ว่าผู้รับเหมาชั้นไหนก็ต้องทำได้ เนื่องจากเป็นเรื่องพื้นฐาน
นายวิโรจน์ ระบุว่า ตนเองยังได้ตั้งกระทู้ถามอีก 5 กระทู้ โดยถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อตามเรื่องว่าจากการแก้ไขประกาศจากชั้นผู้รับเหมาทำงบ ปี 68 หรือไม่ เพื่อเปิดการแข่งขันด้านราคาให้กับผู้รับเหมาชั้น 1ก ร่วมประมูลหรือไม่ และป้องกันไม่ให้เกิดการฮั้วประมูลเกิดขึ้น ซึ่งจนมาถึงตอนนี้ตนเองก็ยังไม่ได้คำตอบเลย โดยตนเองได้รับคำตอบทางอ้อมผ่านการใช้งบประมาณ ปี 68 ว่าทั้งทางกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบทได้ทำโครงการที่มีงบประมาณที่ผู้รับเหมาชั้น 1ก ร่วมประกวดเพื่อเลื่อนชั้นซึ่งมีเพียงแค่หนึ่งโครงการ
นายวิโรจน์ ยกตัวอย่าง โครงการทางหลวงหมายเลข 118 สายเชียงใหม่ – เชียงราย ซึ่งมีโครงการรวมมีราคากลางเกือบ 1,500 ล้านบาท จึงมีคำถามว่าในเมื่อจะแบ่งซื้อแบ่งจ้าง ทำไมไม่แบ่งออกเป็น 3 ตอน ที่จะทำให้ราคากลางของแต่ละตอนอยู่ที่ 500 ล้านบาท เพื่อให้ผู้รับเหมาชั้น 1ก ร่วมแข่งขันได้และจะประหยัดงบประมาณประเทศ
นายวิโรจน์ กล่าวถึงรายงานการประชุมที่ตนเองได้ไปติดตามมาเกี่ยวกับกรมบัญชีกลางซึ่งยืนยันข้อมูลว่าในปี 2516 การประกวดราคาของผู้รับเหมาชั้นพิเศษประหยัดงบได้เพียง 0.40% ในขณะที่ผู้รับเหมาชั้นหนึ่งประหยัดงบได้ถึง 17.10% โดยส่วนต่างนี้คือเงินทอน และเมื่อพิจารณาจากโครงการทั้งหมด มีจำนวนโครงการต่อจำนวนผู้รับเหมาไม่สอดคล้องกัน โดยผู้รับเหมาชั้นพิเศษสามารถลงมาประมูล โครงการของผู้รับเหมาชั้นธรรมดาได้ โดยคณะกรรมการชุดนี้มีความเห็นตรงกันว่าการจัดชั้นผู้รับเหมาเป็นเพียงการคัดกรองเบื้องต้นการแก้ไขปัญหาผู้รับเหมาทิ้งงานต้องที่การบริหารสัญญาและในกรณีที่เป็นงานที่ต้องใช้เทคนิคเฉพาะก็สามารถกำหนดใน TOR ได้
นายวิโรจน์ ชี้ว่า ปัญหาการทิ้งงานของผู้รับเหมา จากข้อมูลสถิติก็ไม่พบว่ามีปัญหา และการใช้งานก็ไม่ได้มาจากการประกวดราคา แต่มาจากการที่ผู้รับเหมาชั้นพิเศษรับงานมากมาย จนเกิดการขาดสภาพคล่อง โดยคณะทำงานมีมติให้ปรับเพดานการประกวดราคาของผู้รับเหมาชั้น 1ก จาก 600 ล้านบาท ให้เป็น 900 ล้านบาท แต่กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทคัดค้านไม่เห็นด้วยกับมติ ซึ่งจากงบ ปี 67 มีโครงการ 400 – 600 ล้านบาทที่ผู้รับเหมาชั้น 1ก ประมูลได้ 8 โครงการ โดยเป็นเพราะงบปี 67 ประกาศใช้แล้วและแก้ไขไม่ทันแล้ว
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า การที่กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทไม่ยอมรับมติของคณะทำงานคณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณได้ทำหนังสือแจ้งข้อสังเกตไปยังกรมบัญชีกลาง ป.ป.ช. และ สตง. เป็นที่เรียบร้อย ให้เร่งแก้ไขหลักเกณฑ์การจัดชั้นผู้รับเหมาเพื่อป้องกันการทุจริตการก่อสร้างทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายหลักพันล้านบาทต่อปี
”ถ้าการประกวดราคาของโครงการก่อสร้างทาง มีการประกวดที่เป็นธรรม ไม่มีการซุกซ่อนเงินทอนเอาไว้ ประเทศชาติของเราจะสามารถประหยัดเม็ดเงินได้มหาศาล“ นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ ยังระบุถึงการประเมินเงินทอนจากโครงการก่อสร้างทางในแต่ละปี อาจมีมูลค่าหลายพันล้านบาท โดยได้ยกตัวอย่างตั้งแต่ปี 2564 – 2568 โดยคาดว่าจะมีเงินทอนตั้งแต่ 300 – 8,000 ล้านบาท ถือเป็น 16.7% และเชื่อว่ากระบวนการซุปเงินทอนตั้งแต่หัวโต๊ะไปจนถึงท้ายโต๊ะอาจมีมูลค่าถึงหลายพันล้านบาทต่อปีก็เป็นได้
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ในปี 69 จากงบประมาณของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ทั้ง 2 กรมมีมูลค่า 62,450 ล้านบาท โดยมีโครงการก่อสร้างที่มีราคากลางตั้งแต่ 600 ล้านบาท ขึ้นไป 57 โครงการ
“ผมยืนยันว่า ตราบใดก็ตามที่ยังไม่มีการแก้ไขประกาศหลักเกณฑ์จัดชั้นผู้รับเหมา ก็ประเมินได้เลยว่าในปี 69 ทั้งสองกรม ต้องซุกซ่อนเงินทอนเอาไว้เผื่อการกินเหล็ก ปูน หิน ดิน ทราย ไม่ต่ำกว่า 8,161 ล้านบาท” นายวิโรจน์ กล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม เคยประเมินว่า ต้องใช้เงิน 7,000 – 8,000 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม จึงมองว่าหากมีการแก้ไขประกาศหลักเกณฑ์จากชั้นผู้รับเหมา จะสามารถนำเงินส่วนนี้ไปทำให้คนไทยใช้รถไฟฟ้าอย่างเสมอภาค ได้ในราคาที่ถูกลง ตนเองหาเงินเข้ากองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ซึ่งทำได้ทันทีหากมีการแก้ไขประกาศดังกล่าว
“การฮั้วประมูล และการรีดไถจากการก่อสร้างทางของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้รับเหมาทิ้งงาน ทำให้การก่อสร้างล่าช้า ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าการขายประชาชนผู้อยู่การอาศัย ต้องเผชิญกับฝุ่นควันการก่อสร้างไม่จบไม่สิ้น และยังต้องเสี่ยงอุบัติเหตุจากการจราจร และอุบัติเหตุจากการก่อสร้าง งบที่เผื่อเงินทอนเพื่อการประมูลแบบนี้ หากสภาผู้แทนราษฎรของพวกเรายอมรับ ก็เท่ากับร่วมกันทุจริต และทรยศต่อประชาชน ขาดสำนึกว่างบประมาณทุกบาท มาจากภาษี ที่เป็นหยาดเหงื่อแรงงานของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ผม และพรรคประชาชน ไม่สามารถปล่อยให้งบประมาณของกระทรวงคมนาคมในปี 2569 ที่มีพฤติกรรมเดิม ที่เผื่อสินบาทคาดสินบนแบบนี้ให้ผ่านไปได้” นายวิโรจน์ กล่าว.-312.-สำนักข่าวไทย