“วิโรจน์” ยก งบกรมทางหลวง-กรมทางหลวงชนบท เอื้อ “ผู้รับเหมาชั้นพิเศษ”

รัฐสภา 28 พ.ค.-“วิโรจน์” ยก งบกรมทางหลวง-กรมทางหลวงชนบท ประกาศโครงการเอื้อ “ผู้รับเหมาชั้นพิเศษ” เพื่อหวังเงินทอน ยันต้องแก้หลักเกณฑ์ จะประหยัดได้หลายพันล้าน ลั่นหากเห็นด้วย พ.ร.บ. เหมือนทรยศประชาชนผู้เสียภาษี มาร่วมกันทุจริต

เนายวิโรจน์ ลักคณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายโดยลงรายละเอียดงบประมาณ 2569 ของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ว่า ตั้งแต่งบประมาณปี 2560 ถึง 2566 มีโครงการก่อสร้างทางที่มีราคากลางตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป กว่า 95 โครงการมูลค่า 73,000 ล้านบาท โดยตลอด 7 ปี ประหยัดงบไปได้แค่ 175 ล้านบาท


นายวิโรจน์ ยกตัวอย่าง โครงการก่อสร้างหมายเลข 4140 สายอำเภอท่าศาลา ถึงอำเภอนบพิตำ ราคากลาง 799,993,456 บาท ราคาชนะประมูล 799,900,000 ล้านบาท ประหยัดงบไปเพียงแค่ 0.01% โดยมองว่าเป็นการประมูลแม่นเหมือนจับวางเหมือนมีผีเปรตมาดลจิตดลใจ ส่วนกรมทางหลวงชนบทถนนสาย ชบ.3023 แยก ทล.315 หนองปลาไหลอำเภอพานทอง อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ที่ประหยัดงบไปได้เพียง 0.01%

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ 2560 – 2566 มีโครงการ 450 ถึง 500 ล้านบาท 10 โครงการ ประหยัดไปได้ 15.21% ของราคากลางซึ่งเรื่องชวนหลอน จะเกิดขึ้นกับโครงการที่มีงบประมาณ 500 ล้านบาทขึ้นไปเท่านั้น โดยเรื่องเหล่านี้ สาเหตุมาจากประกาศหลักเกณฑ์จัดชั้นผู้รับเหมา


”ผู้รับเหมาชั้นพิเศษที่ประเทศนี้มีอยู่แค่ 79 ราย จึงอยู่ในสภาพผูกขาดเป็นเสือนอนกิน รอสัมภเวสีประจำกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท มาจัดฮั้วประมูล แล้วส่งเงินทอนให้โดยไม่ต้องดิ้นรนแข่งขันอะไรเลย“ นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ ระบุว่า ตนเองเคยตั้งคำถามในสมัยรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะมีการแก้ไขปัญหาโดยการเพิ่มผู้รับเหมาชั้น 1ก โดยตนเองก็ได้แจ้งไปว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาการฮั้วประมูลได้ ซึ่งต่อมาตนเองได้นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมาธิการอีกครั้ง โดยผู้แทนจากกรมบัญชีกลางได้มีมติให้ขยับเพดานการประกวดชั้นผู้รับเหมา 1ก ไปแล้ว แต่ถูกกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทคัดค้านจึงต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมา โดยผู้แทนกรมทางหลวงได้อ้างในที่ประชุมว่าการที่ต้องสงวนงานไว้ให้กับผู้รับเหมาชั้นพิเศษเป็นเพราะการจัดการจราจรระหว่างก่อสร้าง ซึ่งมองว่าเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะไม่ว่าผู้รับเหมาชั้นไหนก็ต้องทำได้ เนื่องจากเป็นเรื่องพื้นฐาน

นายวิโรจน์ ระบุว่า ตนเองยังได้ตั้งกระทู้ถามอีก 5 กระทู้ โดยถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อตามเรื่องว่าจากการแก้ไขประกาศจากชั้นผู้รับเหมาทำงบ ปี 68 หรือไม่ เพื่อเปิดการแข่งขันด้านราคาให้กับผู้รับเหมาชั้น 1ก ร่วมประมูลหรือไม่ และป้องกันไม่ให้เกิดการฮั้วประมูลเกิดขึ้น ซึ่งจนมาถึงตอนนี้ตนเองก็ยังไม่ได้คำตอบเลย โดยตนเองได้รับคำตอบทางอ้อมผ่านการใช้งบประมาณ ปี 68 ว่าทั้งทางกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบทได้ทำโครงการที่มีงบประมาณที่ผู้รับเหมาชั้น 1ก ร่วมประกวดเพื่อเลื่อนชั้นซึ่งมีเพียงแค่หนึ่งโครงการ


นายวิโรจน์ ยกตัวอย่าง โครงการทางหลวงหมายเลข 118 สายเชียงใหม่ – เชียงราย ซึ่งมีโครงการรวมมีราคากลางเกือบ 1,500 ล้านบาท จึงมีคำถามว่าในเมื่อจะแบ่งซื้อแบ่งจ้าง ทำไมไม่แบ่งออกเป็น 3 ตอน ที่จะทำให้ราคากลางของแต่ละตอนอยู่ที่ 500 ล้านบาท เพื่อให้ผู้รับเหมาชั้น 1ก ร่วมแข่งขันได้และจะประหยัดงบประมาณประเทศ

นายวิโรจน์ กล่าวถึงรายงานการประชุมที่ตนเองได้ไปติดตามมาเกี่ยวกับกรมบัญชีกลางซึ่งยืนยันข้อมูลว่าในปี 2516 การประกวดราคาของผู้รับเหมาชั้นพิเศษประหยัดงบได้เพียง 0.40% ในขณะที่ผู้รับเหมาชั้นหนึ่งประหยัดงบได้ถึง 17.10% โดยส่วนต่างนี้คือเงินทอน และเมื่อพิจารณาจากโครงการทั้งหมด มีจำนวนโครงการต่อจำนวนผู้รับเหมาไม่สอดคล้องกัน โดยผู้รับเหมาชั้นพิเศษสามารถลงมาประมูล โครงการของผู้รับเหมาชั้นธรรมดาได้ โดยคณะกรรมการชุดนี้มีความเห็นตรงกันว่าการจัดชั้นผู้รับเหมาเป็นเพียงการคัดกรองเบื้องต้นการแก้ไขปัญหาผู้รับเหมาทิ้งงานต้องที่การบริหารสัญญาและในกรณีที่เป็นงานที่ต้องใช้เทคนิคเฉพาะก็สามารถกำหนดใน TOR ได้

นายวิโรจน์ ชี้ว่า ปัญหาการทิ้งงานของผู้รับเหมา จากข้อมูลสถิติก็ไม่พบว่ามีปัญหา และการใช้งานก็ไม่ได้มาจากการประกวดราคา แต่มาจากการที่ผู้รับเหมาชั้นพิเศษรับงานมากมาย จนเกิดการขาดสภาพคล่อง โดยคณะทำงานมีมติให้ปรับเพดานการประกวดราคาของผู้รับเหมาชั้น 1ก จาก 600 ล้านบาท ให้เป็น 900 ล้านบาท แต่กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทคัดค้านไม่เห็นด้วยกับมติ ซึ่งจากงบ ปี 67 มีโครงการ 400 – 600 ล้านบาทที่ผู้รับเหมาชั้น 1ก ประมูลได้ 8 โครงการ โดยเป็นเพราะงบปี 67 ประกาศใช้แล้วและแก้ไขไม่ทันแล้ว

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า การที่กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทไม่ยอมรับมติของคณะทำงานคณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณได้ทำหนังสือแจ้งข้อสังเกตไปยังกรมบัญชีกลาง ป.ป.ช. และ สตง. เป็นที่เรียบร้อย ให้เร่งแก้ไขหลักเกณฑ์การจัดชั้นผู้รับเหมาเพื่อป้องกันการทุจริตการก่อสร้างทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายหลักพันล้านบาทต่อปี

”ถ้าการประกวดราคาของโครงการก่อสร้างทาง มีการประกวดที่เป็นธรรม ไม่มีการซุกซ่อนเงินทอนเอาไว้ ประเทศชาติของเราจะสามารถประหยัดเม็ดเงินได้มหาศาล“ นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ ยังระบุถึงการประเมินเงินทอนจากโครงการก่อสร้างทางในแต่ละปี อาจมีมูลค่าหลายพันล้านบาท โดยได้ยกตัวอย่างตั้งแต่ปี 2564 – 2568 โดยคาดว่าจะมีเงินทอนตั้งแต่ 300 – 8,000 ล้านบาท ถือเป็น 16.7% และเชื่อว่ากระบวนการซุปเงินทอนตั้งแต่หัวโต๊ะไปจนถึงท้ายโต๊ะอาจมีมูลค่าถึงหลายพันล้านบาทต่อปีก็เป็นได้

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ในปี 69 จากงบประมาณของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ทั้ง 2 กรมมีมูลค่า 62,450 ล้านบาท โดยมีโครงการก่อสร้างที่มีราคากลางตั้งแต่ 600 ล้านบาท ขึ้นไป 57 โครงการ

“ผมยืนยันว่า ตราบใดก็ตามที่ยังไม่มีการแก้ไขประกาศหลักเกณฑ์จัดชั้นผู้รับเหมา ก็ประเมินได้เลยว่าในปี 69 ทั้งสองกรม ต้องซุกซ่อนเงินทอนเอาไว้เผื่อการกินเหล็ก ปูน หิน ดิน ทราย ไม่ต่ำกว่า 8,161 ล้านบาท” นายวิโรจน์ กล่าว

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม เคยประเมินว่า ต้องใช้เงิน 7,000 – 8,000 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม จึงมองว่าหากมีการแก้ไขประกาศหลักเกณฑ์จากชั้นผู้รับเหมา จะสามารถนำเงินส่วนนี้ไปทำให้คนไทยใช้รถไฟฟ้าอย่างเสมอภาค ได้ในราคาที่ถูกลง ตนเองหาเงินเข้ากองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ซึ่งทำได้ทันทีหากมีการแก้ไขประกาศดังกล่าว

“การฮั้วประมูล และการรีดไถจากการก่อสร้างทางของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้รับเหมาทิ้งงาน ทำให้การก่อสร้างล่าช้า ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าการขายประชาชนผู้อยู่การอาศัย ต้องเผชิญกับฝุ่นควันการก่อสร้างไม่จบไม่สิ้น และยังต้องเสี่ยงอุบัติเหตุจากการจราจร และอุบัติเหตุจากการก่อสร้าง งบที่เผื่อเงินทอนเพื่อการประมูลแบบนี้ หากสภาผู้แทนราษฎรของพวกเรายอมรับ ก็เท่ากับร่วมกันทุจริต และทรยศต่อประชาชน ขาดสำนึกว่างบประมาณทุกบาท มาจากภาษี ที่เป็นหยาดเหงื่อแรงงานของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ผม และพรรคประชาชน ไม่สามารถปล่อยให้งบประมาณของกระทรวงคมนาคมในปี 2569 ที่มีพฤติกรรมเดิม ที่เผื่อสินบาทคาดสินบนแบบนี้ให้ผ่านไปได้” นายวิโรจน์ กล่าว.-312.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ชัยชนะ” บอกไม่ทราบ ข่าว สส.ดังนครศรีฯ ยกพวกรุมทำร้ายผู้รับเหมา

กทม. 30 พ.ค.-“ชัยชนะ” บอกไม่ทราบ-ไม่รู้ ข่าว สส.ดัง จ.นครศรีธรรมราช ยกพวกรุมทำร้ายผู้รับเหมากลางงานบวช ยืนยันไม่เป็นความจริง นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าว สส.ชื่อดัง จ.นครศรีธรรมราช ยกพวกรุมทำร้ายผู้รับเหมา กลางงานบวชลูกชายของนายก อบต. ต่อหน้าชาวบ้านนับร้อยคน โดยนายชัยชนะ ได้ปฏิเสธข่าวบอก ไม่รู้ ไม่ทราบข่าว พร้อมบอกผู้สื่อข่าวว่า ต้องไปถามที่มาของข่าว เมื่อถามว่า เป็นคนรู้จัก หรือคนใกล้ชิดหรือไม่ นายชัยชนะ ระบุว่า ตนไม่ทราบเหมือนกัน เพราะตอนนี้ยังไม่ทราบข่าวเลย ก่อนย้ำอีกครั้งว่า ต้องไปถามที่มาของข่าว เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่ นายชัยชนะ ตอบว่า “ครับผม” เมื่อถามว่า ไม่ได้เข้าไปในพื้นที่เลยใช่หรือไม่ นายชัยชนะ ระบุว่า ตนลงพื้นที่วันละหลายงาน และเมื่อถามทิ้งท้ายว่า ไม่มีเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทใช่หรือไม่ นายชัยชนะ ยืนยันว่า “ไม่มี“.-315.-สำนักข่าวไทย

รวบพระเอกลิเกทุบหัวลูกเลี้ยงออทิสติกดับ

นครราชสีมา 30 พ.ค. – รวบแล้ว พระเอกลิเกทุบหัวลูกเลี้ยงออทิสติกเสียชีวิต และล่วงละเมิดลูกเลี้ยงผู้หญิงคนเล็กอายุ 11 ขวบ เจ้าตัวยังปากแข็ง แต่จำนนด้วยหลักฐาน ตำรวจ สภ.เมืองนครราชสีมา บุกรวบตัว นายกิติทัช อายุ 48 ปี พระเอกลิเก “ลักยิ้มทับทิมสยาม” ได้คาบ้านพักแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ โดยขณะนี้คุมตัวอยู่ในห้องขัง สภ.เมืองนครราชสีมา ขณะจับกุมตัวผู้ต้องหากำลังเตรียมหลบหนีไปประเทศกัมพูชา เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา” และ “ข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี” ขณะนี้กำลังเค้นสอบปากคำ เนื่องจากผู้ต้องหายังปากแข็ง แต่จำนวนด้วยหลักฐาน ก่อนเตรียมนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ คาดว่าเป็นช่วงบ่ายวันนี้ คดีนี้สืบเนื่องจาก น.ส.หมิว อายุ 46 ปี นางเอกลิเก พาลูกสาวอายุ 11 ปี เข้าร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี หลังลูกชายคนโต อายุ 18 ปี ซึ่งป่วยออทิสติก […]

“สมศักดิ์” วีโต้แล้ว! มติแพทยสภาให้ลงโทษ 3 หมอ คดีชั้น 14

สธ. 29 พ.ค. – “สมศักดิ์” วีโต้แล้ว! ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เผย “สมศักดิ์” สภานายกพิเศษ ส่งคำตอบให้มติแพทยสภาให้ลงโทษ 3 แพทย์ กรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจเมื่อวานนี้ ขออย่าใช้คำว่า วีโต้ ให้ใช้คำว่าเห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย นายกองตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการเสนอความเห็นสภานายกพิเศษเพื่อพิจารณาตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ได้ยื่นรายงานความเห็นจากคณะกรรมการฯ ต่อมติแพทยสภาให้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ แพทยสภา เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อวานนี้ (28 พ.ค.) สภานายกพิเศษฯ ได้ทำหนังสือตอบกลับไปยังแพทยสภาแล้ว เมื่อเวลา 16.00 น. โดยที่ตนเองก็ยังไม่ทราบว่า มีเนื้อหาบ้าง แต่ขออย่าใช้คำว่า วีโต้ ขอให้ใช้คำว่ามีส่วนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เบื้องต้นเป็นความส่งความเห็นกลับต่อมติของแพทยสภา ซึ่งมีการพิจารณาเรื่องร้องเรียนแพทย์จำนวน 4 […]

จับแล้ว! “สามีภรรยา” คนสนิทอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง

29 พ.ค.- จับแล้ว! สองสามีภรรยา คนสนิทอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง มือคุมบัญชีประมูลร้านค้างานประจำปี – ร้านค้าสวัสดิการ หลังศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ออกหมายจับ วันนี้ ( 29 พ.ค.68) เวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปปป. สนธิกำลังร่วมเจ้าหน้าที่ กก.5 บก.ป. นำกำลังเข้าจับกุม สองสามีภรรยา คนสนิทนายแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง หลังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อนุมัติออกหมายจับ ในความผิดฐาน ข้อหาฟอกเงิน และ เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ซื้อหรือการรักษาทรัพย์ แต่กลับเบียดบังหรือทุจริตทรัพย์นั้นมาเป็นของตน, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบและเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” โดยสามารถจับกุมตัวทั้งสองได้ภายในค่ายลูกเสือพระพุทธศาสนา มูลนิธิหลวงพ่อวัดไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม ก่อนควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย มาสอบปากคำยัง กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ขณะเดียวมีรายงานว่า นอกเหนือจากผู้ต้องหาทั้งสองรายนี้ พนักงานสอบสวนยังได้ขออำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อนุมัติออกหมายจับอดีตพระลูกวัดคนสนิท ทิดแย้ม ซึ่งถูกจับกุมก่อนหน้านี้ และถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดย พนักงานสอบสวน เตรียมประสานไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ […]

ข่าวแนะนำ

สภาผ่านฉลุย รับหลักการงบฯ 69 นายกฯ เชื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย

รัฐสภา 31 พ.ค.-สภาผ่านฉลุย รับหลักการงบฯ 69 วาระแรก เสียงท่วม 322 เสียง ตั้ง กมธ. 73 คน พบ “อนุดิษฐ์” โผล่เป็น กมธ.โควตารัฐบาล ด้านนายกฯ ขอบคุณสภาฯ ยันรัฐบาลจัดลำดับความสำคัญงบฯ ตามสถานการณ์ เชื่องบประมาณที่เสนอไปจะยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนคนไทยทุกคน ตั้งใจใช้เป็นเครื่องมือสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันสุดท้ายของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม โดยหลังจากใช้เวลากว่า 3 วัน รวม 41 ชั่วโมง ที่ประชุมมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ด้วยคะแนน 322 ต่อ 158 เสียง ไม่ลงคะแนน 2 เสียง และตั้งคณะกรรมาธิการ จำนวน 73 คน ทั้งนี้ เป็นที่สังเกตว่า มีชื่อ […]

นายกฯ เข้าสภา ก่อนโหวตร่าง พ.ร.บ.งบฯ 69

รัฐสภา 31 พ.ค. – นายกฯ บอกเจ็บคอ หลังสื่อถามต้องเช็กเสียงก่อนโหวตร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2569 หรือไม่ เมื่อเวลา 14.50 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าอาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วันสุดท้าย ก่อนที่จะมีการลงมติรับหรือไม่รับในวาระแรก ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า จะต้องมีการเช็กเสียงก่อนลงมติหรือไม่ นายกรัฐมนตรีไม่ตอบ เพียงแต่หันมาแล้วใช้มือชี้ที่คอของตัวเอง ก่อนระบุว่า “เจ็บคอ” และเดินขึ้นห้องประชุมทันที.-316-สำนักข่าวไทย

กองปราบย้าย “สจ.กอล์ฟ-พวก” เข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

กทม. 31 พ.ค.- ตำรวจกองปราบฯ คุมตัว “สจ.กอล์ฟ” พร้อมพวกทั้ง 7 คน จากเรือนจำ จ.สงขลา ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้ว ด้าน ผอ.กกต.สงขลา แจ้งความดำเนินคดีอาญาเพิ่มอีก 1 คน รวมเป็น 10 คน คดีนายสิรดนัย พลายด้วง หรือ สจ.กอล์ฟ ที่สั่งลูกน้องไปรุมทำร้ายตำรวจ ตชด. ขณะปฏิบัติหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยหน่วยเลือกตั้งท้องถิ่นเทศบาลตำบลพะวง อ.เมืองสงขลา เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา และคดีนี้มีการโอนย้ายให้ทางตำรวจกองปราบดำเนินการ และทางตำรวจกองปราบได้ยื่นหนังสือคำร้องโอนย้ายการฝากขังจากศาลจังหวัดสงขลา มาเป็นศาลอาญารัชดา และทำหนังสือไปยังอธิบดีกรมราชทัณฑ์เพื่อขอโอนตัวผู้ต้องขังทั้ง 7 ราย จากเรือนจำจังหวัดสงขลา มาคุมขังต่อยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เพื่อความสะดวกในการดำเนินการทางคดี ล่าสุด เมื่อวานนี้ (30 พ.ค.68) ได้มีการส่งตัว สจ.กอล์ฟ พร้อมพวกทั้ง 7 รายจากเรือนจำจ.สงขลาไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯเรียบร้อยแล้ว โดยภารกิจนี้ถูกปิดเป็นความลับเพื่อความปลอดภัย โดยผู้ต้องขังทั้ง 7 รายประกอบด้วย นายสิรดนัย […]

ตำรวจเมากร่าง ถูกให้ออกจากราชการ

เชียงใหม่ 31 พ.ค.-ให้ออกจากราชการ ตำรวจเมากร่าง ทำร้ายร่างกายตำรวจจราจร สภ.สันกำแพง ขณะปฏิบัติหน้าที่ จากกรณีคลิปตำรวจนายหนึ่ง ได้ใช้คำพูดด่าทอหยาบคาย และถึงขั้นเข้าไปทำร้ายร่างกายตำรวจจราจรสถานีตำรวจภูธรสันกำแพง ขณะปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบริเวณแยกต้นเปาพัฒนา ตำบลต้นเปา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ โดยต้นเหตุเกิดจาการที่ตำรวจที่มีอาการมึนเมา ขับรถไปเฉี่ยวชนรถของผู้อื่นจนได้รับความเสียหาย และต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรมาดูแลความเรียบร้อย แต่กลับถูกด่าทอ และทำร้ายร่างกายกันเกิดขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจรายนี้ ที่เมาแล้วกร่าง ถูกดำเนินคดี 4 ข้อหา คือ 1.ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย 2.ขับรถในขณะเมาสุรา 3.ทำร้ายร่างกายผู้อื่น และ 4.ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน และล่าสุด วันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พลตำรวจตรี วรพงศ์ คำลือ ผู้บังคับการกองบังคับการ สืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 ได้มีคำสั่งที่ 204 / 2568 ให้สิบตำรวจเอก นายดังกล่าว ออกจากราชการไว้ก่อน […]