รัฐสภา 26 พ.ค.-อนุ กมธ.คลัง สว. กังวล คาดการณ์จัดเก็บรายได้ 3 กรมหลักปี 68 ต่ำกว่าเป้า หวั่นรัฐขาดดุล-กู้ลำบาก แนะรัฐบาลวางแผนเศรษฐกิจประเทศปี 69 รอบคอบ-รัดเข็มขัด เตรียมรับภาษีทรัมป์เต็มรูปแบบ
นางสาวชญาน์นันท์ ติยะตระการชัย สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านการคลัง ในคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา แถลงข่าวถึงร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ของรัฐบาล ที่สภาผู้แทนราษฎร จะเริ่มพิจารณาในวันที่ 28 – 31 พฤษภาคมนี้ว่า คณะอนุกรรมาธิการด้านการคลังฯ ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมสรรพากร ,สรรพสามิตร และศุลกากร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษี มาสอบถามถึงความห่วงกังวลต่อร่างงบปราะมาณฯ ฉบับนี้ ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ก่อนที่เหตุการณ์ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นมากมาย และหากงบประมาณกว่า 3,700,000 ล้านบาทรัฐบาลยังยืนยันตามเดิม ก็กังวลว่า จะเกิดความสุ่มเสี่ยงการจัดเก็บรายได้ของทั้ง 3 กรมหลักในการจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าแผนที่วางไว้ ซึ่งกรมสรรพากร แม้ช่วงครึ่งปีแรกจะสามารถจัดเก็บได้ตามเป้า แต่ในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะไม่เข้าเป้า เนื่องจากรายได้ตามตลาด และผู้ประกอบการมีความเงียบเหงา รายได้กำไรหายไป 20-30% ทำให้ภาษีเงินได้นิติบุคคล จะต่ำกว่าเป้าอย่างนัยยะสำคัญ และประชาชนมีเงินเหลือเก็บเพียง 1.5 เดือนกว่า 80-90% ทำให้ภาคครัวเรือนต้องรัดเข็มขัด และภาษีรัฐ ก็จะเก็บได้ลดลง
ส่วนกรมสรรพสามิตนั้น ประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านการคลัง ระบุว่า ในช่วงครึ่งปีแรก ปิดได้ต่ำกว่าเป้า และครึ่งปีหลัง ยิ่งจะปิดได้ต่ำกว่าเป้าราว 610,000 ล้านบาท แต่คาดว่า จะสามารถเก็บได้เพียง 538,000 ล้านบาท เพราะจากมาตรการของภาครัฐ และแนวโน้มการบริโภคของประชาชน และกรมศุลกากร ในช่วงครึ่งปีแรก ปิดได้ต่ำกว่าเป้า และครึ่งปีหลัง ยิ่งจะปิดได้ต่ำกว่าเป้าเช่นกัน ดังนั้น 3 กรมน่าจะสามารถจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าราว ๆ 100,000 ล้านบาท หรือ 3% ของ GDP ซึ่งเป็นสัญญาณอันตราย หากประเทศรายได้ลด จะส่งผลกระทบต่อการขาดดุลของประเทศ และหากในปีหน้าจะต้องใช้จ่ายเงินมากขึ้น ก็จะต้องมีการกู้เงินเพิ่มขึ้น ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นไปด้วย ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลเหลือช่องว่างเพดานที่จะกู้เพิ่มได้ไม่มาก
ประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านการคลัง ยังเห็นว่า ยังมีความเสี่ยงจาก GDP ของประเทศที่สภาพพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ได้ทบทวนตัวเลขเหลือเพียง 1.8% ซึ่งไม่ตรงกับสมมติฐานที่จะโตได้ถึง 2.8-3.3% และยังมีความเสี่ยงจากหนี้ครัวเรือน และสภาพคล่องของครัวเรือน หรือภาคบริโภคมีปัญหา ที่ทุกคนต้องรัดเข็มขัด และเศรษฐกิจภาคการเกษตร ก็ลดลงอย่างมีนัยยะ เพราะปกติประเทศไทยมี GDP จากภาคการเกษตรปีละกว่า 700,000 ล้านบาทต่อปี แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 500,000 ล้านบาท เพราะข้าวในราคาตลาดโลกมีปัญหาลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง รวมถึงยาง และปาล์ม ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของไทย และความเสี่ยงในมาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกา ดังนั้น ในปี 2568 ผลกระทบยังไม่เต็มปี แต่คาดว่า ในปี 2569 มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ จะเกิดผลกระทบเต็มปี โดยเฉพาะมาตรการการกีดกันทางการค้า ต่อ SMEs หรือผู้ประกอบการทั้งด้านเนื้อสัตว์ เนื้อวัว อาหารสัตว์ และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์
ประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านการคลัง ยังเรียกร้องให้รัฐบาลเตรียมการ และเตรียมความพร้อมเศรษฐกิจของประเทศอย่างรอบคอบ หรือรัดเข็มขัดงบประมาณประเทศ 3-4% เพื่อให้มีความมั่นคง และหากราคาพืชผลการเกษตรหลัก ที่รัฐบาลจะต้องช่วยเหลือ รัฐบาลก็ควรเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ เพื่อไม่เป็นการชะล่าใจ หรือประมาท พร้อมเห็นว่า การวางแผนแบบอนุรักษ์นิยมในสถานการณ์แบบนี้ ถือเป็นหลักการที่ทุกภาคส่วน หรือทุกคนต้องทำอยู่แล้ว ดังนั้น จึงขอให้ทุกหน่วยงานรัดเข็มขัด
ส่วนเนื้อหาภายในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 นั้น ประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านการคลัง ยอมรับว่า ยังไม่ได้มีการศึกษาอย่างละเอียด แต่หากพิจารณาตามโครงการต่าง ๆ ตนเอง ก็เห็นความคิดสร้างสรรค์ในโครงการใหม่ ๆ น้อยมาก ซึ่งตนเอง อยากเห็นการปฏิรูป เปลี่ยน กล้า ปรับ เพื่อให้พุ่งไปข้างหน้าอย่างสปริงบอร์ดให้เห็น BIG Change เพราะงบประมาณแต่ละปี 70-80% เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำ และมีเพียง 20% ที่เป็นงบโครงการ และงบลงทุน รวมถึงส่วนงบกลางของนายกรัฐมนตรี ก็ได้รับการจัดสรรมากที่สุดในลำดับแรก มากกว่ากระทรวงต่าง ๆ ที่ได้รับถึง 600,000 ล้านบาท จึงหวังว่า จะถูกนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจ.-312.-สำนักข่าวไทย