รัฐสภา 6 พ.ค -สว.อำนาจเจริญ บุกร้อง ปธ.กมธ.องค์กรอิสระ สว. หลังอดีตผู้สมัคร สว.อำนาจ ถูก “ดีเอสไอ” สอบไม่เป็นธรรม ข่มขู่ บังคับสารภาพ ตั้งธงสอบ มุ่งแต่ภูมิใจไทย ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมาย ลั่นไม่หนีปมฮั้วเลือก สว. จ่อส่งหลักฐานเพิ่ม ศาล รธน.-ป.ป.ช. สอบอำนาจหน้าที่
พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ และการเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา แถลงสืบเนื่องจากการที่ สว.จังหวัดอำนาจเจริญ ร้องขอความเป็นธรรมต่อประธานวุฒิสภา และ กมธ.กิจการองค์กรอิสระฯ กรณีการสอบสวนคดีฮั้วเลือก สว. ในเขตจังหวัดอำนาจเจริญ มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติ และไม่เป็นกลาง ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทำให้ผู้ถูกสอบ รู้สึกถึงความไม่ถูกต้อง และเป็นธรรม ว่า ดีเอสไอสามารถสอบสวนอดีตที่เกี่ยวกับการฟอกเงิน รวมถึงคดีอาญาที่เกี่ยวข้อง
แต่ปรากฏว่า การดำเนินการของดีเอสไอที่ตั้งเป็นคดีอาญานั้น พนักงานสอบสวนที่ทำการสอบสวน เท่าที่ทราบจากผู้ที่ถูกสอบสวนในกรณีจังหวัดอำนาจเจริญนี้ ยกตัวอย่าง พนักงานสอบสวนของดีเอสไอได้มีหนังสือราชการด่วนที่สุด เพื่อขอใช้อาคารเป็นที่สอบปากคำ และให้กำนันติดตามบุคคลมาให้ถ้อยคำต่อคณะพนักงานสอบสวน ซึ่งหนังสือนี้ ระบุจำนวน 10 รายชื่อ ในวันที่ 10 เม.ย. โดยมีดำเนินการไม่เป็นกลาง เพราะไม่ได้ส่งหนังสือในช่องทางปกติตามระเบียบราชการ แต่ส่งผ่านไลน์ และตั้งข้อสงสัยว่า เอกสารดังกล่าว ไม่มีลายมือชื่อ ตราครุฑ จึงเกรงว่า จะถูกนำไปใช้โดยมิชอบ และเป็นการละเลยการปฏิบัติตามขั้นตอนปกติในการประสานงานของรัฐ และส่งหนังสือทางช่องทางที่ไม่ได้เป็นไปตามระเบียบราชการ
ทั้งยังไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากไม่ออกหมายเรียก หรือประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างหน่วยงานท้องและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ใช่ประสานงานกับกำนัน และการเรียกล่วงหน้าเพียงหนึ่งวันนั้น ทำให้ผู้ถูกสอบสวนไม่ได้รับเวลาเพียงพอ จะเตรียมข้อมูล หรือเอกสาร เพื่อแก้ข้อกล่าวหา ในการให้ถ้อยคำ และยังถูกสอบปากคำเป็นเวลานานผิดปกติ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิ์ ทรมานจิตใจ เพื่อให้ข้อมูล หรือรับสารภาพบางอย่าง จึงอาจเข้าข่ายตามความผิดของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย
และยังมีการสอบสวนในลักษณะข่มขู่คุกคาม เพราะจากข้อมูลที่ได้รับ มีการแสดงตนและปฏิบัติอย่างเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีอาญาร้ายแรง ซึ่งไม่มีการรับร้องอย่างเป็นทางการ มีการเดินทางไปยังบ้านของผู้ถูกสอบสวน โดยพลการ ไม่แต่งเครื่องแบบ ไม่แสดงบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ ไม่มีหมายค้น ทั้งยังไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าบ้าน ลักษณะดังกล่าว คือการบุกรุกเคหสถาน และเมื่อผู้ถูกสอบสวน ต้องการเรียกบุคคลอื่นเข้ามาเป็นพยาน กลุ่มบุคคลดังกล่าว ก็หลบหนีออกไป แสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์ที่ไม่โปร่งใสตรงไปตรงมา ของผู้ที่อ้างว่าเป็นบุคคลของรัฐ และเมื่อผู้ถูกสอบสวนโทรกลับไป ก็ถูกปฏิเสธว่าโทรผิด เป็นการพยายามบ่ายเบี่ยง ไม่เปิดเผยตัวตนแท้จริง
สำหรับการบังคับขู่เข็นให้รับสารภาพ มีการให้ถอดกล้องวงจรปิด เพื่อไม่ได้มีการบันทึกภาพ และใช้กลอุบายกล่าวอ้างว่า บุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง รับสารภาพกันหมดแล้ว เพื่อกดดันให้เกิดความกลัว และยอมรับสภาพตามที่ต้องการ เข้าข่ายทรมานจิตใจ และยังมีการซักถามที่เป็นการชี้นำให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้าร่วมฟังการสอบสวน และการถามนั้น เป็นการถามนำแบบมีธงในใจ และโน้มน้าวให้ยอมรับว่า การฮั้วเลือกตั้ง สว.มีพรรคการเมืองหนึ่งสนับสนุน ซึ่งคงเป็นที่เข้าใจกันดีว่า น่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย
ยิ่งกว่านั้น มีบุคคลภายนอกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี และเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง สามารถเข้าออกบริเวณที่มีการสอบสวนได้อย่างอิสระ คล้ายกลับได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษ ผิดวิสัยของการสอบสวนปกติ ที่จะต้องทำเฉพาะผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น เชื่อได้ว่า เจ้าหน้าที่นัดหมายให้บุคคลดังกล่าว มาแทรกแซงการสอบสวนล่วงหน้า ขาดความเป็นกลางอย่างร้ายแรงในการแสวงหาข้อเท็จจริง
ในเห็นภาพรวมกระบวนการสอบสวนมีลักษณะผิดปกติหลายประการ ตนข้อสังเกตว่า มีการมุ่งเป้าสอบสวนไปยังบุคคลบางกลุ่มโดยไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่เชื่อมโยงกับพรรคการเมือง หรือนักการเมือง รวมถึงการที่ใช้บุคคลฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการสอบสวน ทั้งยังมีการตั้งสมมติฐานล่วงหน้าที่มีความผิดเชื่อมโยงกับพรรคการเมือง ขาดความโปร่งใสในการดำเนินการ ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกตรวจสอบมีเวลาเตรียมตัว หรือชี้แจงเต็มที่ เร่งรัดเวลาไม่เหมาะสม และยังมีพยานหลายคนในพื้นที่ถูกข่มขู่
ดังนั้น จึงยืนยันได้ว่า สิ่งที่ชัดเจนคือการทำงานของดีเอสไอในช่วงเวลาดังกล่าวถูกตั้งคำถามเรื่องความไม่เป็นกลาง เราจึงจำเป็นต้องปกป้องความถูกต้องและเป็นธรรม เพราะเจ้าหน้าที่ดีเอสไอควรปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด
สำหรับกรณีที่ดีเอสไอไม่มีอำนาจสอบสวนเต็มรูปแบบ ตนพร้อม สว.อีก 92 คนได้มีมติร่วมว่า การที่ดีเอสไอให้เป็นคดีพิเศษนั้น เป็นเจตนาพิเศษ จงใจกล่าวหาให้ สว.ได้รับโทษทางอาญา ซึ่ง ป.ป.ช.ได้มีมติและรับไว้พิจารณาแล้ว ควรเป็นข้อสังเกตให้ดีเอสไอ หรืออธิบดีดีเอสไอ ระงับยับยั้งการสอบสวนไว้ก่อน เพื่อให้ ป.ป.ช.พิจารณาวินิจฉัยว่า มีอำนาจหรือไม่ แต่กลับเร่งรีบดำเนินการภายใต้การกำกับควบคุมดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทั้งยังมีการให้ข่าว ในลักษณะที่ขาดพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นการข่มขู่ทำให้ สว.เกิดความอ่อนไหว ไม่สบายใจต่อการปฏิบัติหน้าที่
ทั้งนี้ จะส่งหลักฐานเพิ่มเติมจากคำร้องเดิม ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. ดำเนินการต่อไป ส่วนจะมีคำนิจฉัยอย่างไร ก็ต้องขึ้นอยู่กับสององค์กรข้างต้น
“หากไม่แถลงข่าว ก็เหมือนเราถูกมัดให้ยอมรับในการดำเนินการของดีเอสไอ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผมในฐานะที่ได้รับการร้องเรียน เพื่อให้ สว.อีกหลายจังหวัด หากพบการกระทำเช่นนี้ ให้ทุกคนรวมพยานหลักฐานมาเสนอต่อประธานวุฒิสภา”
พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ ทิ้งท้ายว่า “ผมไม่หนี คุณจะร้อง คุณจะสอบอะไร ก็ทำเรื่องมา เราพร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง เราก็โดนเรียกกันไปหลายคนแล้ว เราให้ความร่วมมือกับผู้ที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง”
ส่วนกรณีมีการพุ่งเป้าถึงพรรคภูมิใจไทยในนั้น การสอบสวนของตำรวจไม่มีการล็อกเป้า ต้องสอบจากพยานหลักฐานขึ้นไป แล้วจึงไล่ลงมาว่าใครเกี่ยวข้องบ้าง แต่การสอบสวนของดีเอสไอตนจึงยังติดใจ ที่บอกว่ามีสมมติฐาน 300 ล้านบาทนั้น เอาของจริงมาดีกว่า อย่าสมมติฐาน ส่วนการสอบสวน ก็ต้องรับผิดชอบการกระทำที่เกินอำนาจหน้าที่ด้วย.-312.-สำนักข่าวไทย