“วันนอร์” ยังงง “ศาลาแก้ว” สร้างไว้ทำไม

รัฐสภา ​6 พ.ค.- “วันนอร์” ยังงง “ศาลาแก้ว” สร้างไว้ทำไม ทำแล้วไม่ได้ใช้งาน เผยสำนักงบฯ ไม่ได้ให้ตามขอ ตัดงบสร้างที่จอดรถ-งบไม่จำเป็น ยันต้องปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ให้สมบูรณ์

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของบประมาณในการปรับปรุงต่อเติมรัฐสภา ทั้งที่เพิ่งเปิดการใช้งานเพียง 5 ปี ว่า ความจริงไม่ได้เป็นการต่อเติมอาคารัฐสภาแต่อย่างใด เพราะอาคารรัฐสภาสร้างเสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ มีการตรวจรับแล้ว แต่สิ่งที่เป็นข่าว จากที่ตนติดตามดูนั้น เป็นการเติมสิ่งที่มีอยู่แล้วให้สมบูรณ์ เช่น ห้องประชุมชั้น B2 ซึ่งสร้างเสร็จแล้วสามารถบรรจุได้ 1,500 คน แต่ไม่มีโต๊ะ เก้าอี้ เวทีการประชุม จอ เครื่องเสียง ไฟก็ไม่สว่าง คณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการสภาฯ ตลอดจนผู้บริหารของสภาฯเห็นว่าควรจะทำให้สมบูรณ์ เพื่อใช้ประโยชน์เต็มที่ เราทำงานมา 5-6 ปี แต่ไม่มีใครกล้าไปทำเพราะยังไม่ได้รับมอบ นอกจากนั้นยังมีห้องประชุมชั้น B1 ลักษณะเช่นเดียวกัน เราจึงต้องทำให้สมบูรณ์


นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ส่วนศาลาแก้วที่มีการพูดถึงกัน ขณะนี้ก็ยังไม่สามารถใช้การได้ จึงอยากทำให้สมบูรณ์ ซึ่งขั้นตอนของการของบประมาณ เป็นการเสนอไปสู่สำนักงบประมาณ ซึ่งทางสำนักงบฯ ต้องตัดทอนออกไปอีก หลายอย่างอาจไม่ได้เลยก็ได้ ถ้าไม่มีความจำเป็น บางอย่างจำเป็นแต่ราคาไม่ตรง กับที่ทางสำนักงบฯมีมาตรฐานเรื่องราคาอยู่ เขาก็ต้องตัดออก และเมื่อผ่านสำนักงบฯแล้ว รัฐบาลก็ต้องส่งมาให้ กมธ.งบฯ ก็สามารถตัดได้อีกรอบหนึ่ง ซึ่งในทุกขั้นตอนนั้น ตนเห็นว่าเป็นการดีที่มีการตรวจสอบ ตนอยากให้งบประมาณของสภาฯมีความโปร่งใสมากที่สุด เพราะเราเป็นหน่วยงานของนิติบัญญัติในการที่ควบคุมดูแลทุกฝ่าย รวมทั้งฝ่ายบริหารด้วย ฉะนั้น การที่สมาชิกสภาฯไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้านหรือรัฐบาลช่วยตรวจสอบให้เกิดความโปร่งใส ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี และในขั้นตอนของการใช้งบประมาณเมื่อได้รับงบประมาณแล้ว ถ้าต้องดำเนินการ เช่น ต้องประมูล ประกวดราคา ไม่โปร่งใส ตนก็อยากให้สมาชิกสภาฯมีการตรวจสอบ รวมทั้งเมื่อใช้แล้วมีประโยชน์อย่างไร

“ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นคำของบประมาณ ซึ่งตนได้เชิญเลขาธิการสภาฯ​มาคุยแล้ว บางอย่างเขาแจ้งมาว่าไม่ได้ เช่น งบประมาณออกแบบที่จอดรถไม่ได้ทั้งหมด เขาบอกว่ายังจำเป็นน้อย ส่วนบางอย่างที่มีความจำเป็น เขาก็ให้ไปบางส่วน แต่ผมเชื่อว่าเมื่อเข้า กมธ.งบฯ ก็ต้องมีการตัดออกอีกและ สส.ไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้านหรือรัฐบาลก็สามารถจะสงวนคำแปรญัตติเพื่อมาอภิปรายตัดงบในสภาฯ ได้อีกรอบหนึ่ง ฉะนั้น สำหรับสภาฯไม่มีปัญหา และอยากให้ทุกฝ่ายได้ตรวจสอบให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากสภาฯเป็นสถาบันของชาติ ผมอยากให้เห็นว่าทำอะไรด้วยความโปร่งใส มีความถูกต้องและขณะเดียวกันมีความสมบูรณ์ มีศักดิ์ศรี เมื่อประชาชนเข้ามา จะได้เห็นว่านี่คือสถาบันของเขา สภาฯของเขาดูแล้วสง่างาม และสภาฯนี้ไม่ใช่ใช้เฉพาะสมาชิกเท่านั้น ประชาชนก็มาใช้ได้ เมื่อเปิดสมัยประชุมจะเห็นว่ามีคนเข้ามาใช้บริหารทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ จึงอยากทำให้เป็นเกณฑ์มาตรฐานเกิดความภาคภูมิใจในตัวของสถาบันนิติบัญญัติของชาติ ไม่ใช่ทำอะไรพอเสร็จๆเท่านั้น” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว


เมื่อถามว่า แบบนี้เป็นการของบเผื่อตัดใช่หรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ทุกอย่างเมื่อของบ เขามีมาตรฐานแต่สำนักงบฯเขาจะดูความจำเป็น และดูว่างบฯ ก้อนใหญ่มีเท่าไหร่ ฝ่ายรัฐบาลบริหาร กระทรวง เอาไปเท่าไหร่ ฝ่ายตุลาการเท่าไหร่ ฝ่ายสภาฯขอเท่าไหร่ เขาไม่ได้ให้ทุกอย่าง เขาให้ตามความจำเป็นและสมมติว่าราคาจะถูกจะแพงก็อยู่ที่การกำหนดของราคากลาง โดยมีกฎระเบียบอยู่แล้ว ซึ่งของสภาฯ ตนได้ถามเลขาธิการสภาฯแล้ว เขาระบุว่ามีการประชุมกรรมการ โดยเฉพาะมีสำนักนายกรัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง กรมบัญชีกลาง กรมโยธาธิการ และบางอย่างซึ่งเป็นเรื่องต่อเนื่องกับศิลปวัฒนธรรมไทย ก็ต้องให้กรมศิลปากรมาช่วยกำหนด บางอย่างตนดูแล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแพงเกินไป แต่เมื่อเขามาอธิบายแล้ว ก็ต้องเห็นด้วยในหลักวิชา แต่ทุกอย่างต้องโปร่งใส และเห็นด้วยที่สมาชิกมีการตรวจสอบ เพราะเราตรวจสอบคนอื่น ดังนั้น ตัวเราต้องได้รับการตรวจสอบให้โปร่งใสด้วยและไม่จำเป็นต้องได้ทุกอย่าง

เมื่อถามถึงศาลาแก้วที่มีคนวิจารณ์ว่ายังไม่ได้ใช้งานแต่กลับของบมาปรับปรุง นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ศาลาแก้ว ยังไม่ได้ใช้งานก็ยังไม่ทราบว่าตอนที่สร้าง สร้างไว้ทำไม เพราะดูอาคารรัฐสภากับศาลาแก้วไม่รู้ว่าสัมพันธ์กันอย่างไร ตนไม่ทราบ แต่เมื่อสร้างเสร็จและตรงนั้นก็เป็นลานสำหรับที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 ส่วนศาลาแก้วอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ 2 ข้าง เมื่อมีพิธีต่างๆอาจต้องใช้ศาลาแก้ว ฉะนั้น ที่มีงบเข้าไปเป็นการปรับปรุงให้ใช้งานได้

“ทำแล้วไม่ได้ใช้งาน กลายเป็นอนุสาวรีย์เปล่าๆอย่างนั้น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และสภาฯในยุคที่ผมและเลขาธิการสภาฯ เข้ามาบริหาร เราไม่ได้เป็นคนจัดสร้าง แต่เราจะเอาสิ่งที่มีอยู่แล้ว มาทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ใช่ใช้ประโยชน์กับเจ้าหน้าที่ของสภาฯและรัฐสภา แต่จะใช้กับประชาชนด้วย” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว


เมื่อถามว่า เลขาธิการสภาฯระบุว่าก่อนที่จะเข้าว่าการของบครั้งนี้ได้ผ่าน ประธานและรองประธานแล้ว แสดงว่าประธานได้เห็นชอบแล้วใช่หรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่าต้องผ่านตั้งแต่เจ้าหน้าที่ ผอ.สำนักต่างๆ จนกระทั่ง ผู้ที่ได้รับจากประธานคือรองประธานสภาฯ แต่ทั้งหมดเป็นไปตามระบบของการบริหาร ไม่ได้หมายความว่าคนใดคนหนึ่งจะมีสิทธิ์ และเมื่อผ่านงบฯแล้ว ตอนที่จะจัดงบก็ต้องมีการประมูลจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ประจำเท่านั้น ฝ่ายการเมืองที่เข้ามาไม่มีส่วนที่จะกำหนดได้.-319​.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

กกพ.จี้ MEA แจงปัญหาไฟดับ

กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จี้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) แจ้งปัญหาไฟดับเป็นบริเวณกว้าง ด้านประชาชนแห่คอมเมนต์ผลกระทบและต้องการเห็นการชดเชย จากปัญหาความเดือดร้อนคนกรุงเทพฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 ส.ค.) เวลา 22.12 น. เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ย่านสะพานควาย เขตพญาไท ถ.ประดิพัทธ์ และ ถ.พระรามที่ 6 และ MEA แก้ไขจนจ่ายครบเวลา 23.50 น. ทางสำนักงาน กกพ.แจ้งว่าได้ประสานให้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) รายงานข้อเท็จจริง และแนวทางการแก้ไขและป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ในขณะที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่างระบุเดือดร้อนจากเหตุไฟดับ ต้องการให้ MEA ชี้แจงสาเหตุที่ชัดเจน บางส่วนก็ชื่นชม แก้ปัญหาได้รวดเร็ว บางส่วนก็ต้องการเห็น การชดเชยจาก MEA เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยไฟดับทั้งอาคาร ดับทั้งไฟสาธารณะ ไฟจราจร สัญญาณอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ MEA ชี้แจงเบื้องต้นสาเหตุเกิดจากความขัดข้องทางเทคนิคของอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้าย่อย ในระหว่างการเตรียมการเพื่อปฏิบัติงานปรับปรุงระบบจ่ายไฟฟ้าตามปกติ, ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ สาเหตุที่แท้จริงของอุปกรณ์ขัดข้องจะชี้แจงต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า […]

ตำรวจเตรียมสอบเชิงลึกชาย BHQ หวั่นเป็นไส้ศึก

บุรีรัมย์ 6 ส.ค.-ตำรวจ สอบปากคำชายชาวกัมพูชา พบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ อ้างเคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับ กรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จังหวัดบุรีรัมย์ จับกุมชายชาวกัมพูชา ได้ที่บ้านพักภรรยาคนไทยและมีเครื่องแบบทหารพร้อมตราสัญลักษณ์ BHQ จากการสอบปากคำ เคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว มาทำงานอยู่ไทย แล้วถูกสวมชื่อ จากการตรวจสอบพบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อไม่ตรงกัน และอ้างว่าเมื่อก่อนเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่ล่าสุดมีการลักลอบเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติทาง จ.สระแก้ว โดยอ้างว่าจ่ายเงินบุคคลที่พาเข้า 4,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงว่าอาจจะแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับคอยส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงของไทย ไปให้ฝั่งกัมพูชา จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบมีรูปถ่ายกายแต่งกายทหารและถือปืน เบื้องต้นทางตำรวจจะดำเนินคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต.-สำนักข่าวไทย

GBC หารือใหม่เช้านี้ หลังเมื่อคืนถกถึงเที่ยงคืน

มาเลเซีย 6 ส.ค.-GBC ประชุมใหม่เช้านี้ หลังเมื่อคืน ฝ่ายกัมพูชา ไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ในบางหัวข้อและต้องส่งกลับไปให้พนมเปญพิจารณาต่อ การหารือภายใต้กรอบ GBC ณ เวลา 07.45 น. วันนี้ (ตามเวลาท้องถิ่น) เมื่อคืน คณะเลขานุการ GBC ของทั้งสองฝ่าย ได้เจรจากันถึงเวลา 00.15 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในบางประเด็นสุดท้าย เนื่องจากฝ่ายเลขานุการ GBC ของฝ่ายกัมพูชา ไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ในบางหัวข้อและต้องส่งกลับไปให้พนมเปญพิจารณาต่อ จึงได้นัดประชุมอีกครั้ง เวลา 08.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) วันนี้ เพื่อหาข้อสรุปสำหรับประเด็นดังกล่าว โดยเมื่อเวลา 07.40 น. รัฐมนตรีช่วยกลาโหม ได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับคณะเลขานุการ GBC ของฝ่ายไทยติดตามความคืบหน้าในการเจรจา ให้กำลังใจ และชื่นชมในการทำงานอย่างหนักถึงวินาทีสุดท้ายของทีมไทยแลนด์ ขอให้ประสบความสำเร็จในการเจรจา เพื่อบรรลุผลและปกป้องผลประโยชน์ของไทย.-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย