รัฐสภา 2 พ.ค.-“ชุติพงศ์” เผยอนุฯ ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ถก “กฤษฎีกา” หาเเนวทางการใช้ พ.ร.ก.ไซเบอร์ ข้องใจรัฐบาลไม่เร่งปราบฝั่งกัมพูชา ทั้งที่มีความสัมพันธ์ระดับพ่อผู้นำประเทศ ชี้ปีงบฯ 68 เสียหายหมื่นล้านแล้ว ลั่นตราบใดที่โจรยังอยู่ในมือถือของเราทุกคนไม่มีความปลอดภัย จี้จัดการที่ต้นตอ
นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน ในฐานะประธานอนุคณะกรรมาธิการ(กมธ.)พิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกัน ปราบปรามแก้ไขปัญหาขบวนการค้ามนุษย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และบัญชีม้า ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมถึง กรณีแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์กลับมาระบาดใหม่อีกครั้ง ว่า การแก้ไขปัญหายังไม่มีความคืบหน้าจากหน่วยงานภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม แม้รัฐจะออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มาบังคับใช้แล้วก็ตาม ดังนั้นในที่ประชุมกมธ.ฯวันนี้(2 พ.ค.) จึงจะมีการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการบังคับใช้พ.ร.ก.ฯ รวมถึงการคาดการณ์ปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้ โดยได้เชิญคณะกรรมการกฤษฎีกา มาให้ข้อมูลว่าในการออกกฏหมายฉบับนี้ มีข้อกังวลอย่างไรบ้างหรือไม่เพื่อให้ทางอนุกมธ.ฯ จะได้ทำความเข้าใจในเรื่องการบังคับใช้ หรือการแก้ไขในอนาคตว่าจะต้องเป็นไปในรูปแบบใด ซึ่งการทำงานของอนุกมธ.ฯใกล้แล้วเสร็จแล้วจึงต้องการทำให้สมบูรณ์มากที่สุด
นายชุติพงศ์ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องของแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ที่มีการดำเนินการส่งชาวจีนกลับประเทศจีน โดยรัฐได้ทำการตัดไฟและตัดน้ำมัน ที่จะส่งไปยังประเทศเมียนมา ซึ่งถือว่าได้ผลในระดับหนึ่ง แต่เราก็ยังไม่เห็นความคืบหน้าเท่าที่ควร ในหลายจุดโดยเฉพาะชายแดนประเทศกัมพูชา ซึ่งเราทราบข้อมูลมาว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้นมีการหลอกคนไทยจำนวนมากที่สุด เพราะถ้าพูดกันตรงๆ ความสัมพันธ์ไทยและกัมพูชา ระหว่างผู้นำประเทศ หรือระดับบุคคลที่เป็นรุ่นพ่อของผู้นำประเทศ ก็มีความสนิทสนมกันเป็นอย่างดี เหตุใดจึงไม่เจรจาเพื่อแก้ไขปัญหา และล่าสุดที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเยือนประเทศกัมพูชา เราก็รอติดตามว่านายกฯได้มีการพูดคุยเรื่องการแก้ไขปัญหาเเก๊งค์คอลเซ็นเตอร์บริเวณชายแดนบ้างหรือไม่
เมื่อถามว่าล่าสุดแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ที่มีเคสหลอกคนไทยที่เป็นด็อกเตอร์มองว่าการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลไม่ได้ผลหรือไม่ นายชุติพงศ์กล่าวว่า ตราบใดที่โจรยังอยู่ในมือถือของเราทุกคนไม่มีความปลอดภัย เพราะนายกฯก็เคยให้สัมภาษณ์ว่าเกือบโดนหลอกมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครปลอดภัย และอย่าคิดว่าเหยื่อของแก๊งค์มิจฉาชีพจะเป็นคนแก่เพียงอย่างเดียว เพราะหลายคนเป็นผู้ใหญ่ เป็นอาจารย์ วิศวกร เป็นคนที่มีความรู้ แต่เรื่องปฏิบัติการจิตวิทยาที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ จะสร้างความหวาดกลัว สร้างความรัก และมีการใช้แอพพลิเคชั่นที่แฝงเข้ามาในโทรศัพท์เพื่อหลอกให้ดาวน์โหลด จึงมีโอกาสที่ทุกคนสามารถพลาดได้ทั้งนั้น ถ้าเรายังไม่จัดการปัญหาที่ต้นตอต่อ คือปราบปราม ต้นตอที่ชายแดนอย่างจริงจัง เพราะตราบใดที่ไม่ทำอย่างนั้นเขาก็ยังอยู่ในโทรศัพท์ของเราทุกคน
นายชุติพงศ์ กล่าวต่อว่า แม้รัฐจะตัดไฟตัดน้ำมัน แต่ก็ทราบมาว่ามีเครื่องปั่นไฟอยู่ในพื้นที่ทำให้ฝั่งเมียนมายังมีแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ ในขณะที่ฝั่งกัมพูชา ซึ่งเราได้ข้อมูลจากการประชุมอนุกมธ.ฯว่า มีเครื่องปั่นไฟขนาดกลางถูกตั้งไว้หน้าบ้านที่สร้างใหม่จำนวนมาก ซึ่งเป็นทาวน์เฮาส์ขนาดเล็กไม่ใช่แค่ตึกสูงเหมือนที่เราทราบกัน คำถามคือถ้าเราเห็นว่าการตัดไฟตัดน้ำมันในฝั่งเมียนมาได้ผล แล้วทำไมไม่ทะลายแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่ฝั่งกัมพูชา ทำไมเราถึงทำอะไรไม่ได้ ซึ่งทราบมาว่าไฟฟ้าฝั่งปอยเปต ไฟฟ้าหลักมาจากประเทศเรา ทั้งๆ ที่ความสัมพันธ์รัฐบาลต่อรัฐบาลก็สามารถดำเนินการได้ จึงต้องถามไปยังรัฐบาลว่าจะรอถึงเมื่อไหร่ จะให้โจรอยู่ในมือถือของประชาชนอีกนานแค่ไหน
“ทุกวันนี้ยังไม่มีการขยับหรือออกมาตรการในการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ คือทุกวันที่เงินอยู่ในกระเป๋าพี่น้องประชาชนอาจจะเป็นเงินก้อนสุดท้ายในชีวิตของเขา ถูกเอาไปอยู่ในมือของมิจฉาชีพ ดังนั้นรัฐบาลควรจะดำเนินการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นแม้แต่วันเดียว เพราะเปิดปีงบประมาณ 68 มาความเสียหายที่AOC แสดงอยู่ในเว็บไซต์มูลค่าหมื่นล้านบาทแล้ว ทำให้ประเทศชาติและประชาชนเสียเงินขนาดนี้ในระยะสั้นๆแค่นี้ แล้วจะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร เราถึงจะทำให้ประชาชนมีกินมีใช้ และเฉพาะเคสที่แจ้งความในปีงบประมาณนี้มีจำนวนกว่า 90,000 ราย ซึ่งจำนวนผู้ถูกหลอกยังคงสูงอยู่ ทั้งที่เราคาดหวังว่าควรจะลดลง” ชุติพงศ์ กล่าว.-319.-สำนักข่าวไทย