ป.ป.ช. 23 เม.ย.- “สนธิญา” ยื่น ป.ป.ช. สอบ “พีระพันธุ์” อ้าง “ดีเอ็นเอลุงตู่” ขัดรัฐธรรมนูญ พร้อมขอให้ตรวจสอบ ยังถือหุ้น 3 บริษัท หลังรับตำแหน่งรัฐมนตรีพลังงาน ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง
นายสนธิญา สวัสดี เดินทางไปยื่นคำร้องกรณีการกระทำของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้แก่ กรณีการอ้างถึง DNA ลุงตู่ หรือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ซึ่งไม่สามารถมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 12 เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และประเด็นการถือหุ้นอยู่ใน 3 บริษัท หลังจากที่รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2566
นายสนธิญา เปิดเผยว่า ไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ตนได้รับเอกสารจากประชาชนขอให้ตรวจสอบหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งมีเอกสารทั้งหมด 2 ชุด จึงมายื่นให้กับ ป.ป.ช.พิจารณาและวินิจฉัย ไต่สวน ตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้ง 2 ประเด็น
นายสนธิญา กล่าวว่า กรณีที่นายพีระพันธุ์กล่าวถึง DNA ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ในหลายโอกาส รวมทั้งเพจของพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือบุคคลอื่นบุคคลใดก็ตามที่กล่าวถึงองคมนตรี ขณะนี้สถานะขององคมนตรีเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ (รธน.) มาตรา 12 ดังนั้น องคมนตรีไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรือพรรคการเมืองได้ แม้จะรัก เคารพ หรือนับถือกันมากเท่าใด แต่เราไม่สามารถดึงองคมนตรีเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้ หากยังกระทำต่อไป ตนถือว่าการกระทำเหล่านั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ส่วนประเด็นที่ 2 ยื่นเอกสารขอให้ตรวจสอบกรณีที่นายพีระพันธุ์ ถูกกล่าวหาว่าเป็นกรรมการบริหาร และมีส่วนการพิจารณาหรือตัดสินใจ มีหุ้นส่วน ตั้งแต่ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ 77 เปอร์เซ็นต์ และ 10 เปอร์เซ็นต์ ของ 3 บริษัท หากเป็นเช่นนี้ กระบวนการจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 170(4) มาตรา 160(5) และมาตรา 179(9) เพราะกรณีการเป็นกรรมการบริหารในบริษัทเอกชนหรือถือหุ้น ผู้ที่ดำรงตำแหน่งฝ่ายบริหารต้องลาออกก่อนดำรงตำแหน่งนั้นๆ ซึ่งหลังจากที่ตรวจสอบ ขณะนี้บางบริษัทยังมีชื่อนายพีระพันธุ์ดำรงตำแหน่งอยู่
ทั้งนี้ หาก ป.ป.ช.ตรวจสอบและวินิจฉัยอย่างชัดเจน ว่านายพีระพันธุ์ยังไม่ได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารบริษัทเอกชนต่างเหล่านั้น ก็จะเข้าสู่กระบวนการการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ที่เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 219
314.-สำนักข่าวไทย