ขอตุลาการฯ ชุดใหม่ตัดประกาศคณะปฏิวัติออกจากกฎหมาย

โรงแรมอัศวิน 10 เม.ย.- อดีตตุลาการ ศาลรธน. ขอตุลาการฯ ชุดใหม่ตัดประกาศคณะปฏิวัติออกจากกฎหมาย พร้อมบอกฝ่ายการเมือง ถ้าไม่อยากให้ศาลรธน.ยุบพรรค ก็ควรแก้กฎหมาย ด้านนักวิชาการให้คะแนนเต็ม100 กับความอดทนต่อแรงเสียดทาน แต่ลดคะแนนการสื่อสารกับปชช. ขณะ “วรเจตน์” มองอนาคตสร้างความเชื่อมั่นเป็นองค์กรที่เป็นกลาง


สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จัดงานสัมมนาอภิปรายร่วมกัน หัวข้อ “ศาลรัฐธรรมนูญกับการก้าวสู่ทศวรษที่ 4 บทบาทและความคาดหวัง”
ประกอบด้วย ศาสตราจารย์ ดร.อุดม รัฐอมฤต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ, ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐรรมนูญ , ศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์, ศาสตราจารย์ ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมีนายบากบั่น บุญเลิศ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (เทอแลนต์) จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมกรรมการ บริษัท ฐานเศรษฐกิจ มัลติมีเดีย จำกัด เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งในช่วงแรกได้ให้วิทยากรแต่ละคนให้คะแนนการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ

โดยศาสตราจารย์พิเศษจรัญ กล่าวว่า ตนอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญมา 12 ปีเต็ม ทำงานเต็มที่ และพยายามศึกษาความเป็นมา เริ่มตั้งแต่คดีซุกหุ้น ศาลรัฐธรรมนูญถูกมองว่าไม่ใช่ศาลแต่เป็นองค์กรอิสระ และถูกตั้งฉายาว่าเป็นศาลการเมือง จึงต้องทำให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีสถานะเป็นศาลเป็นฝ่ายตุลาการของประเทศไม่ใช่เป็นเพียงการตรวจสอบการใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญ มีสถานะเป็นเพียงองค์กรอิสระ จะไม่มีความมั่นคงเข้มแข็งพอที่จะถ่วงดุลทางการใช้อำนาจอธิปไตย คือฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ซึ่งป.ป.ช. ก็ตรวจสอบเฉพาะด้าน ทุจริตและประพฤติมิชอบ กกต. ก็รับหน้าที่ดูแลด้านการจัดการเลือกตั้ง ดังนั้นถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีสถานะเป็นฝ่ายตุลาการ เหมือนศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ จะไม่สามารถคานอำนาจหน้าที่ฝ่ายบริหารและฝ่าย นิติบัญญัติได้ และเห็นว่านับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ถือว่าศาลรัฐธรรมนูญทำภารกิจนี้สำเร็จ โดยถ้าจะให้คะแนน ก็จะให้80%


ศาสตราจารย์ ดร.ไชยันต์ กล่าวว่า สำหรับตนให้คะแนนดีมากสำหรับวิทยานิพนธ์ ที่ศึกษาบทบาท อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2541-57 ซึ่งที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญ มีคดีความจำนวนมาก ทั้งยุบพรรค ตัดสิทธิ์ทางการเมือง หากให้คะแนนความอึดอดทน อุตสาหะกับอ่านกฎหมายและกระแสโจมตี ให้ 100% และยังมีเรื่องของการคุกคามที่หนักมาก ซึ่งตนเห็นด้วยว่ถ้าไม่อยากให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก็อย่าเขียนรัฐธรรมนูญให้มีบทบัญญัติ เรื่องการยุบพรรคแต่คะแนนการสื่อสาร ขอให้น้อย เพราะไม่ค่อยมีคำอธิบาย และสื่อสารกับประชาชน

ศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ กล่าวว่า การจัประเมินให้คะแนนศาลรัฐธรรมนูญค่อนข้างยาก เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันมาอย่างต่อเนื่อง จึงต้องประเมิน ในแต่ละช่วงเวลาจากรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับที่มีความแตกต่าง จะมีประเด็นหนึ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญ ทำได้ค่อนข้างทำได้ดีคือความอดทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งที่ผ่านมาตนก็วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญเรื่อยมา และไม่เคยมีกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมาใช้อำนาจอะไรกับตนที่วิพากษ์วิจารณ์

ศาสตราจารย์ ดร.อุดม กล่าวว่า การจะบอก ว่าใครบวกใครลบ เกิดจากอคติหรือทัศนคติที่เรามี ซึ่งตนมีความคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญเกิดจากความคิด ที่จะพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ทำให้บ้านเมืองอยู่ภายใต้ระเบียบเหตุผลของกฎหมาย ไม่ใช่ต่างคนต่างว่ากันไปคนละทิศคนละทาง อยากมองว่าในบริบทของเรา เราเคยตั้งคำถามว่า มีศาลรัฐธรรมนูญไว้ทำไม ซึ่งตนคิดว่าคำถามนี้ไม่น่าจะมีอีกต่อไป เมื่อเรามีรัฐธรรมนูญก็จะมีคดีรัฐธรรมนูญขึ้นมา จึงจำเป็นต้องมีคนตัดสิน และถึงตอนนี้บ้านเมืองถึงจุดที่ ว่าควรต้องมีองค์กรขึ้นมาพิพากษา ข้อพิพาทในรัฐธรรมนูญ ทั้งปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ใครควรถูกตัดสิทธิ ใครควรถูกยุบพรรค ซึ่งหลายเรื่อง มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ดังนั้นยากที่จะตอบ แต่สุดท้ายตนเชื่อในความสุจริตใจของตุลาการแต่ละท่าน แต่ละคนมีอุดมคติและความเข้าใจในแต่ละบริบท เมื่อตัดสินไม่ถูกใจ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งตนยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ท้ายสุดเราต้องยืนยันว่าสิ่งที่เราทำ ทำในฐานะคนที่ได้รับมอบหมาย ตนจึงมองว่าถ้าวันนี้ รัฐธรรมนูญกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องทำหน้าที่ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาในเชิงกฎหมาย ก็คิดว่าเรามีองค์ความรู้ที่จะตอบโจทย์ตรงนี้ได้ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ ไม่ควรถามว่าสอบผ่านหรือไม่ แต่ควรถามว่าเราจะเดินหน้าไปอย่างไร


สำหรับแง่คิดมุมมองบทบาทและความคาดหวังของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ก้าวสู่ศตวรรษที่ 4 นั้น ศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ กล่าวว่า บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในช่วงท้ายเริ่มต้นขึ้น จากการทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะก่อนที่จะมีการรัฐประหารในปี 57 เป็นคำวินิจฉัยที่เปิดทางให้เกิดรัฐประหาร ซึ่งการตัดสินวินิจฉัยคดีส่งผลสะท้อนทางการเมือง และตั้งแต่ปี 50 ศาลรัฐธรรมนูญ กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีบทบาทและส่งผลต่อทิศทางทางการเมือง และในรัฐธรรมนูญปี 60 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจมากขึ้น เช่นเพิ่มอำนาจในการตีความมาตราฐานจริยธรรมส่วนบุคคล ทำให้กลายเป็นบุคคลที่คิดเป็นชี้ตายทางการเมืองมากขึ้น ดังนั้นศาลต้องมองว่าการตีความจะส่งผลกระทบอะไรต่อไปในอนาคตข้างหน้า และการเป็นคนกลางในบริบทของชีวิตทางการเมืองหรือของรัฐธรรมนูญ คนจะมองว่าศาลยืนอยู่ตรงกลางจริงๆหรือไม่ แต่ในอนาคตควรจะปรับเปลี่ยนสถานะองค์กร ที่มาของตุลาการ อำนาจหน้าที่ รวมทั้งตัวบทกฎหมายวิธีพิจารณาความ และในระยะยาวควรมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ

ศาสตราจารย์ ดร.ไชยันต์ กล่าวว่า เป็นองค์กรที่จะช่วยทำให้ไม่เกิดปัญหาในสงคราม ความขัดแย้งที่จะชี้ว่าฝ่ายไหนผิดหรือถูก แต่ถ้าหากไม่มีใครฟังและสมมุติเกิดรัฐประหารขึ้น ไม่ได้ยุบศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีรัฐธรรมนูญให้ดูแลตุลาการจะอยู่ต่อไป ตามที่คณะรัฐประหารต่อเวลาให้หรือไม่ หรือตุลาการจะทำอย่างไร หากไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ ใครจะมาดูแลรัฐธรรมนูญ สภาผู้แทนราษฎร, วุฒิสภาหรือรัฐสภาจะดูแลได้หรือไม่ หรือให้องค์กรไหนดูแล

ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ กล่าวว่า ประกาศของคณะปฏิวัติมีสถานะเป็นกฎหมายยั่งยืนยาวนาน แม้พ้นภารกิจไปแล้ว ดังนั้นประกาศของคณะปฏิวัติไม่น่าจะเป็นกฎหมายได้อีกต่อไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาที่แก้ไม่จบ เพราะเขียนไว้ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ จึงอยากให้ศาลรัฐธรรมนูญชุดปัญจจุบัน แก้ให้ได้ เพียงแค่วินิจฉัยว่าคณะปฏิวัติที่พ้นจากอำนาจไปแล้วบรรดาคำสั่งประกาศที่เคยเป็นกฎหมาย พ้นสภาพความเป็นกฎหมายต่อไป ถ้าตุลาการใช้อำนาจที่มีสามารถกำหนดเงื่อนไขเงื่อนเวลาสภาพบังคับคำวินิจฉัยได้ ส่วนประกาศใดของคณะรัฐประหารที่ต้องการให้เป็นกฎหมายต่อก็ให้ออกเป็นพ.ร.บ.ผ่านสภาฯ แต่ก็ไม่ทำ นี่คือสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญยุคใหม่และสิ่งที่ประชาชนคนไทยอยากเห็นอยากได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้อย่างไรถ้าเอาประกาศคณะปฏิวัติมาเป็นกฎหมาย และขอร้องฝ่ายการเมือง ฝ่ายนิติบัญญัติอย่า เขียนกฎหมายให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลใด ต้องสั่งให้ยุบพรรคการเมือง มันไม่มีประโยชน์อะไร เพราะการยุบพรรคการเมืองทำให้ประชาชน ที่สามัคคีกันกลายเป็นเผชิญหน้า

ส่วนการดำเนินงานของศาลธรรมนูญขอ 3 ข้อ คือ 1.ไม่เปิดช่องให้อำนาจรัฐ อำนาจทุน อำนาจเถื่อน เข้ามาแทรกแซงชี้นำครอบงำ การทำงานของเหล่าตุลาการ 2.ต้องสำรวจมาตราฐานของศาลรัฐธรรมนูญของนานาประเทศ ว่าเราชอบธรรมหรือไม่ ต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานสากล แต่ต้องปรับให้พร้อมกับอารยธรรมชีวิตและระบบกฎหมายของไทย เช่น ประเทศอื่นมีกาสิโนมีเงินเข้าประเทศ 2-3หมื่นล้านบาท แต่อารยธรรมของไทยไม่ใช่ 3.เราต้องทำภารกิจที่สำคัญอีกอย่างคือใช้นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่กอบโกยกันตามกำลัง มือใครยาวสาวได้สาวเอา

ศาสตราจารย์ ดร.อุดม กล่าวว่า ถ้าเราวางศาลรัฐธรรมนูญให้ทำหน้าที่คุ้มคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ในขณะเดียวกัน ต้องรักษากติกาสร้างเสถียรภาพ การเมืองการปกครองให้บ้านเมืองสามารถดำรงอยู่ได้มั่นคงนั้น ทั้ง 2 สิ่ง บางเรื่องเหมือนจะไปด้วยกัน แต่บางเรื่องเหมือนจะไม่ไปด้วยกัน เพราะมุมมองทัศนคติของแต่ละคนแตกต่างกัน จึงอาจจะจำเป็นต้องสร้างมาตรฐานในการทำความเข้าใจกัน โดยใช้เหตุผล และจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าปัญหาบ้านเมืองของเราเป็นอย่างไร ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะเราต่างคนต่างโทษกันไป จึงจำเป็นต้องพยายามหาเกณฑ์ตรงกลาง และหาสมดุล แต่ในหลายเรื่องที่คณะตุลาการพิจารณามีความปรารถนาดีอยากเห็น ทางออกที่เหมาะสม.-312 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ลิณธิภรณ์” แจงปมสะกดคำผิด ยอมรับผิดพลาดพร้อมแก้ไข

กระทรวงวัฒนธรรม 4 ก.ค.- “ลิณธิภรณ์” ยอมรับดรามาใช้ภาษาไทยสะกดคำผิด พร้อมแก้ไขปรับปรุงตัว รับปากจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก บอก บางครั้งรีบพิมพ์ไม่ได้ตรวจทาน ทำเกิดผลเสียทุกวันนี้ แจงมีปัญหาสุขภาพ อาจทำให้ออกเสียงควบกล้ำไม่ได้ น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ถึงดรามาเรื่องการใช้ภาษาไทยในโซเชียลมีเดีย ว่า ตนขอยอมรับอย่างซื่อตรง ว่าบางครั้งในการสะกดคำของตนเองก็มีความผิดพลาด ซึ่งบางครั้งใช้การพิมพ์ด้วยเสียงผ่านโทรศัพท์มือถือ และได้โพสต์ข้อความไปแล้ว ก่อนจะมารู้ตัวอีกทีก็ผ่านไป 2-3 ชั่วโมง มันเป็นความผิดพลาด อันนี้ตนยอมรับด้วยความจริงใจ และวันนี้ตนก็เข้าใจดีว่าเมื่อมานั่งตำแหน่งตรงนี้ สิ่งที่จำเป็นต้องทำ คือต้องปรับปรุง และคิดว่าหลังจากนี้ความผิดพลาดเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะตนก็อยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กและเยาวชน ของประเทศเหมือนกัน รวมถึงอีกสิ่งที่ตนอยากจะบอกคือการออกเสียงควบกล้ำ ซึ่งเป็นผลกระทบ จากปัญหาสุขภาพ แต่ส่วนหนึ่งตนก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า วันนี้ตนเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในภาพนโยบายใหญ่ คงต้องขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยใน รายละเอียดที่ชัดเจน และจะเข้ากระทรวงพร้อมกันในวันที่ 8 กรกฎาคม สำหรับตนหากใครที่เคยติดตาม ก็เคยเป็นคนหนึ่งที่ พูดเรื่องการศึกษาในส่วนของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด ตั้งแต่เป็นโฆษกพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะเรื่องการลดค่าสอบทีแคส (TCAS) รวมถึงเรื่องการทำโครงการ ด้านสุขภาพภาวะจิต และอาจจะเป็นโครงการหนึ่งที่ตนจะสานต่อ […]

มอบ “จิราพร” เข้าร่วมประชุมผู้นำ BRICS ที่บราซิล

ทำเนียบ 3 ก.ค.-มอบ “จิราพร” เข้าร่วมประชุมผู้นำ BRICS ครั้งที่ 17 ที่บราซิล 6-7 ก.ค.นี้ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS ครั้งที่ 17 ระหว่างวันที่ 6 – 7 กรกฎาคม 2568 ร่วมกับผู้นำจาก 10 ประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS และประเทศหุ้นส่วนจากหลากหลายประเทศ ที่นครรีโอเดจาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล โดยไทยเข้าร่วมในฐานะประเทศหุ้นส่วนของกลุ่ม BRICS (Partner Country) สำหรับการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS จะจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “เสริมสร้างความร่วมมือโลกใต้เพื่อการสร้างธรรมาภิบาลที่ครอบคลุมและยั่งยืนยิ่งขึ้น โดยบราซิลในฐานะประธานกลุ่ม BRICS ปีนี้ ให้ความสำคัญกับประเด็นหลัก 6 ด้าน ได้แก่ (1) สาธารณสุข (2) การค้า การลงทุน และการเงิน (3) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (4) ธรรมาภิบาลของปัญญาประดิษฐ์ […]

Hun Sen, at event marking ruling party's 74th founding anniversary

ฮุน เซน เรียกร้องปั๊ม ปตท. งดนำเข้าน้ำมันจากไทย

พนมเปญ 3 ก.ค.- นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ยังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเรียกร้องให้เจ้าของปั๊ม ปตท.เลิกนำเข้าน้ำมันจากไทย และหันไปนำเข้าจากประเทศอื่นแทน สื่อของกัมพูชารายงานว่า นายฮุน เซน พูดถึงเรื่องนี้ในระหว่างการประชุมกับครูและนักเรียนที่ศูนย์การศึกษาและฝึกอบรมในจังหวัดไพรแวงในวันนี้ เรียกร้องให้เจ้าของปั๊มน้ำมัน ปตท.ทุกแห่งในกัมพูชาเลิกนำเข้าน้ำมันจากไทย และหันไปนำเข้าน้ำมันจากประเทศอื่น ๆ แทน ไม่ว่าจะเป็นจากเวียดนาม  มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อปั๊ม แม้ว่า ปตท.จะเป็นรัฐวิสาหกิจของไทยก็ตาม นอกจากนี้นายฮุน เซนยังพูดถึงเรื่องที่ไทยเคยขู่ว่าจะตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต ห้ามขายเชื้อเพลิง และอื่นๆ ให้กัมพูชาด้วยว่า เมื่อไทยขู่มากัมพูชาก็ตอบโต้ทันที กัมพูชาต้องพึ่งพาตนเองให้ได้เพื่อรับมือกับภัยคุกคามในอนาคตเหมือนกับที่กำลังเผชิญจากไทยในเวลานี้ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากไทย แต่กัมพูชาก็ได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ของกัมพูชา ประธานวุฒิสภากัมพูชาเน้นย้ำว่า มาตรการทั้งหมดที่กัมพูชาได้ดำเนินไปนั้นเป็นการตอบโต้โดยตรงกับภัยคุกคามจากฝ่ายไทย รวมทั้งการที่ไทยปิดด่านพรมแดนแต่เพียงฝ่ายเดียว เขาแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า การเจรจากับไทยจะเริ่มขึ้นได้ ต่อเมื่อฝ่ายไทยจะต้องยอมเปิดด่านทุกจุดอย่างเต็มรูปแบบเหมือนที่เคยทำก่อนวันที่ 7 มิถุนายนแล้วเท่านั้น.-816(814).-สำนักข่าวไทย

เปิด 7 จุดยืน “ปชน.” ทางออกประเทศหาก “แพทองธาร” พ้นเก้าอี้

กรุงเทพฯ 4 ก.ค. – พรรคประชาชนโพสต์เฟซบุ๊กแสดง 7 จุดยืน หาก “แพทองธาร” พ้นตำแหน่ง เปิดเงื่อนไขโหวตนายกฯ คนใหม่ พรรคประชาชนโพสต์เฟซบุ๊กแสดง 7 จุดยืน หาก “นายกฯ แพทองธาร” พ้นจากตำแหน่ง เพื่อนำพาประเทศไปสู่ทางออกที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับประชาชนทุกคน ดังนี้ 1.สิ่งที่ประเทศต้องการมากที่สุด คือรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีความชอบธรรม และสามารถตั้งทีมบริหารจากความรู้ความสามารถ ไม่ใช่จากการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง2.รัฐบาลที่จะมีคุณสมบัติดังกล่าวจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากสภาชุดปัจจุบัน ทางออกสำหรับประเทศจึงเป็นการจัดให้มี “การเลือกตั้งใหม่” โดยเร็ว3.รักษาการนายกฯ ควรประกาศให้ชัดเจนว่าจะใช้อำนาจที่ตนเองมี ในการเดินหน้าสู่การยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนผ่านคูหาเลือกตั้ง4.หากรักษาการนายกฯ ไม่ทำ และมีเหตุใดที่ทำให้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร พ้นจากตำแหน่ง กระบวนการในการเลือกนายกฯ คนใหม่ จะต้องนำไปสู่การได้มาซึ่งนายกฯ ที่พร้อมเดินหน้าสู่การยุบสภา5.เพื่อให้ประเทศไม่ถูกบีบไปสู่ทางตันหรือการใช้อำนาจนอกครรลองประชาธิปไตย เราพร้อมจะพิจารณาลงมติให้กับผู้เสนอตัวเป็นนายกฯ คนใหม่คนใดก็ตาม ที่ยอมรับ “เงื่อนไข” ในการเป็นรัฐบาลชั่วคราว โดยทางพรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมรัฐบาลและจะไม่มีใครจากพรรคประชาชนไปเป็นรัฐมนตรี 6.“เงื่อนไข” ในการเดินหน้าสู่การยุบสภา สำหรับนายกฯ คนใหม่ จะต้องประกอบไปด้วยอย่างน้อย6.1 การประกาศเส้นตายว่าจะยุบสภาภายในสิ้นปี6.2 การยืนยันภารกิจเฉพาะหน้าที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว (เช่น การดำเนินการให้มีการจัดประชามติพร้อมกับการเลือกตั้ง เพื่อถามประชาชนเรื่องการมี […]

ข่าวแนะนำ

ทลายบ่อนกลางกรุง พบเจ้ามือเป็นชาวกัมพูชา

กทม. 4 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เอาจริง สั่งจัดระเบียบสังคมทันที หลังรับตำแหน่ง มท.1 ประเดิมงานแรก สั่งการชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง บุกทลายบ่อนพนันกลางกรุง หลังมีประชาชนร้องเรียน พบเจ้ามือเป็นชาวกัมพูชา วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 เวลา 15.30 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง เปิดปฏิบัติการ “ปิดบ่อนสะพานใหม่” จับกุมบ่อนการพนันกลางกรุง โดยชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง พร้อมด้วย นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ รองอธิบดีกรมการปกครอง นายเรืองลักษณ์ เรืองยังมี ผู้อำนวยการสำนักการสอบสวนและนิติการ นายอิสรา เจริญศรี ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการกองอาสารักษาดินแดน และนายศักดิ์ชัย โรจนรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง สนธิกำลังพนักงานฝ่ายปกครอง พร้อมด้วยสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ทลายบ่อนการพนันขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ในชุมชนสะพานใหม่ เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร […]

ทบ.ยันไม่รุนแรง เหตุทหารไทยเจอทหารเขมร

กองทัพบก 4 ก.ค.-ทบ.ยันไม่รุนแรง เหตุทหารไทยเจอทหารเขมร หลังลาดตระเวนพื้นที่อ้างสิทธิ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา บ่อยขึ้น จากกรณีเฟซบุ๊กเพจ “Army Military Force” โพสต์คลิปทหารพรานของไทยปะทะคารมกับทหารกัมพูชา ที่กำลังพยายามรุกลํ้าเข้ามาในดินแดนไทย ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีอาวุธปืนครบมือนั้น พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารีว่า ชุดลาดตระเวนของกองร้อยทหารพรานที่ 2304 ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ได้ทำการลาดตระเวนพื้นที่ ตรวจพบความเคลื่อนไหวของกำลังทหารกัมพูชา ในบริเวณจุดชมวิวภูผี ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อ้างสิทธิ์ตามแนวชายแดน ใกล้บริเวณปราสาทโดนตวล และเขาพระวิหาร และบริเวณเส้นทางลาดตระเวนใกล้เคียง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายไทยมีการลาดตระเวนตรวจตราอย่างต่อเนื่อง จึงได้เข้าทักทายเจรจากัน และแยกย้ายกันไป ไม่มีเหตุความรุนแรงใด พล.ต.วินธัย กล่าวต่อว่า ในช่วงที่ผ่านมา หลายจุดพบกำลังทหารกัมพูชามาลาดตระเวนในพื้นที่อ้างสิทธิ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา บ่อยขึ้น และบางครั้งมีเจ้าหน้าที่ระดับผู้บังคับหน่วยของกัมพูชาร่วมลงพื้นที่ด้วยตนเอง เมื่อมาพบเจอกับฝ่ายทหารไทยก็จะมีพูดทักทายกัน และบางครั้งก็อาจจะมีแสดงออกทางอารมณ์ในลักษณะเหมือนถกเถียงกันบ้าง แต่ทั้งหมดไม่ถึงขั้นตั้งใจจะใช้ความรุนแรงต่อกัน เพราะต่างฝ่ายต่างระมัดระวังไม่ให้มีการละเมิดข้อตกลง และต้องยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี ตามแนวทางผู้บังคับบัญชา.-313.-สำนักข่าวไทย

นักธรณีวิทยา​ย้ำไม่มีสัญญาณ​สึนามิ​เข้าไทย​ ไม่ต้องตระหนก

กรุงเทพฯ​ 4 ก.ค. – ผู้เชี่ยวชาญทางธรณีวิทยา ย้ำขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณทางวิทยาศาสตร์​บ่งชี้ว่า​จะเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่อาจทำให้เกิดคลื่นสึนามิซัดเข้าสู่ประเทศไทย​ จากกรณีเกิดแผ่นดินไหวต่อเนื่องบริเวณหมู่เกาะนิโคบาร์และสุมาตรา ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก แนะติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างต่อเนื่อง ศ.ดร.สันติ ภัยหลบลี้ อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้แจงว่า แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในช่วง​ 1-2​ สัปดาห์ที่ผ่านมา บริเวณใกล้หมู่เกาะนิโคบาร์และสุมาตรา เป็นการเลื่อนตัวในแนวราบ ไม่ใช่แนวดิ่ง จึงไม่เข้าลักษณะที่จะทำให้เกิดคลื่นสึนามิได้ ขณะเดียวกัน จากการติดตามข้อมูลยังไม่พบสัญญาณทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ ที่บ่งชี้ว่า​ จะมีการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในแนวดิ่ง ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเกิดคลื่นสึนามิ ศ.ดร.สันติ กล่าว​ว่า​ ก่อนหน้านี้​เรารู้​จักแนวมุดตัวของเปลือก​โลก​บริเวณ​หมู่เกาะ​นิโคบาร์​-สุมาตรา ที่หากมีการเคลื่อนตัวจะมีโอกาส​เกิดสึนามิ​ แต่ล่าสุด​พบ​ว่า​ มีแนวภูเขาไฟ​ใต้น้ำ​บริเวณ​หมู่เกาะ​สุมาตรา​ที่​ไม่เคยปะทุมาก่อนและบอกไม่ได้​ว่าจะปะทุ​เมื่อ​ใด ซึ่งนักธรณีวิทยา​และหน่วยงาน​ด้านภัยพิบัติ​จะต้องติดตาม​อย่างต่อเนื่อง​ต่อไป​ ทั้งนี้ แม้ในอดีตจะเคยเกิดสึนามิจากรอยเลื่อนสุมาตราที่เกิดการมุดตัวของเปลือกโลก​ แต่ย้ำว่า​ เหตุการณ์ปัจจุบันไม่มีตัวชี้วัดในลักษณะเดียวกัน จึงขอให้ประชาชนอย่ากังวลเกินควร อย่างไรก็ตาม การตื่นรู้ต่อภัยพิบัติเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะการใช้เครื่องมือสื่อสาร เช่น แอปพลิเคชันกรมอุตุนิยมวิทยา การติดตามข้อมูลจากภาครัฐ และระบบแจ้งเตือนภัยในท้องถิ่นเช่น Cell Broadcast​ ที่​ภาครัฐ​เร่งดำเนินการ​สำหรับ​แจ้ง​เตือน​ภัยพิบัติ​ต่าง​ ๆ ให้​ครอบคลุม​ทั่วประเทศ​ ทั้งนี้ ​การเตรียมความพร้อมคือเรื่องสำคัญ รัฐเองก็พยายามส่งสัญญาณให้ถึงประชาชนโดยเร็ว […]

“แพทองธาร” หารือผู้บริหาร ก.วัฒนธรรม

ก.วัฒนธรรม 4 ก.ค.-“แพทองธาร” หารือผู้บริหาร ก.วัฒนธรรม แจงข่าวปลอมไทยคืนวัตถุโบราณ 20 รายการ ให้กัมพูชาไม่จริง ชี้ทำตั้งแต่ “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” พร้อมสั่งเบรกจัดสรรงบฯ คืนวัตถุโบราณกัมพูชา จ่อแจ้งความคนปล่อยเฟกนิวส์ ปลุกปั่น “กลุ่มปราสาทตาเมือน” ยันอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยไทย ช่วงบ่ายวันนี้ (4 ก.ค.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม โดย น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นการประชุมครั้งแรก มีข้อที่อยากจะฝากเอาไว้ และอยากจะให้ช่วยกันผลักดัน รวมถึงอยากจะอัปเดตข้อมูลให้ฟัง ซึ่งวันนี้ตนได้ทำการบ้านมาเล็กน้อย และรู้สึกดีใจที่จะได้ฟังจากทุกคนว่า แต่ละหน่วยงานแต่ละฝ่ายทำอะไรกันอยู่บ้าง และในกระทรวงฯ มีอะไรที่อยากให้ดำเนินการเพิ่มเติมบ้าง ประเด็นแรก อยากจะขอชี้แจงเรื่องข่าวปลอม เรื่องการส่งคืนวัตถุโบราณ จำนวน 20 รายการ ให้กับประเทศกัมพูชา ตนขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เพราะการคืนวัตถุโบราณให้กับประเทศกัมพูชา มีมาตั้งแต่สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2558 ซึ่งประเทศไทยได้คืนไปแล้ว […]