ขอตุลาการฯ ชุดใหม่ตัดประกาศคณะปฏิวัติออกจากกฎหมาย

โรงแรมอัศวิน 10 เม.ย.- อดีตตุลาการ ศาลรธน. ขอตุลาการฯ ชุดใหม่ตัดประกาศคณะปฏิวัติออกจากกฎหมาย พร้อมบอกฝ่ายการเมือง ถ้าไม่อยากให้ศาลรธน.ยุบพรรค ก็ควรแก้กฎหมาย ด้านนักวิชาการให้คะแนนเต็ม100 กับความอดทนต่อแรงเสียดทาน แต่ลดคะแนนการสื่อสารกับปชช. ขณะ “วรเจตน์” มองอนาคตสร้างความเชื่อมั่นเป็นองค์กรที่เป็นกลาง


สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จัดงานสัมมนาอภิปรายร่วมกัน หัวข้อ “ศาลรัฐธรรมนูญกับการก้าวสู่ทศวรษที่ 4 บทบาทและความคาดหวัง”
ประกอบด้วย ศาสตราจารย์ ดร.อุดม รัฐอมฤต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ, ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐรรมนูญ , ศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์, ศาสตราจารย์ ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมีนายบากบั่น บุญเลิศ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (เทอแลนต์) จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมกรรมการ บริษัท ฐานเศรษฐกิจ มัลติมีเดีย จำกัด เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งในช่วงแรกได้ให้วิทยากรแต่ละคนให้คะแนนการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ

โดยศาสตราจารย์พิเศษจรัญ กล่าวว่า ตนอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญมา 12 ปีเต็ม ทำงานเต็มที่ และพยายามศึกษาความเป็นมา เริ่มตั้งแต่คดีซุกหุ้น ศาลรัฐธรรมนูญถูกมองว่าไม่ใช่ศาลแต่เป็นองค์กรอิสระ และถูกตั้งฉายาว่าเป็นศาลการเมือง จึงต้องทำให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีสถานะเป็นศาลเป็นฝ่ายตุลาการของประเทศไม่ใช่เป็นเพียงการตรวจสอบการใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญ มีสถานะเป็นเพียงองค์กรอิสระ จะไม่มีความมั่นคงเข้มแข็งพอที่จะถ่วงดุลทางการใช้อำนาจอธิปไตย คือฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ซึ่งป.ป.ช. ก็ตรวจสอบเฉพาะด้าน ทุจริตและประพฤติมิชอบ กกต. ก็รับหน้าที่ดูแลด้านการจัดการเลือกตั้ง ดังนั้นถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีสถานะเป็นฝ่ายตุลาการ เหมือนศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ จะไม่สามารถคานอำนาจหน้าที่ฝ่ายบริหารและฝ่าย นิติบัญญัติได้ และเห็นว่านับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ถือว่าศาลรัฐธรรมนูญทำภารกิจนี้สำเร็จ โดยถ้าจะให้คะแนน ก็จะให้80%


ศาสตราจารย์ ดร.ไชยันต์ กล่าวว่า สำหรับตนให้คะแนนดีมากสำหรับวิทยานิพนธ์ ที่ศึกษาบทบาท อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2541-57 ซึ่งที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญ มีคดีความจำนวนมาก ทั้งยุบพรรค ตัดสิทธิ์ทางการเมือง หากให้คะแนนความอึดอดทน อุตสาหะกับอ่านกฎหมายและกระแสโจมตี ให้ 100% และยังมีเรื่องของการคุกคามที่หนักมาก ซึ่งตนเห็นด้วยว่ถ้าไม่อยากให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก็อย่าเขียนรัฐธรรมนูญให้มีบทบัญญัติ เรื่องการยุบพรรคแต่คะแนนการสื่อสาร ขอให้น้อย เพราะไม่ค่อยมีคำอธิบาย และสื่อสารกับประชาชน

ศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ กล่าวว่า การจัประเมินให้คะแนนศาลรัฐธรรมนูญค่อนข้างยาก เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันมาอย่างต่อเนื่อง จึงต้องประเมิน ในแต่ละช่วงเวลาจากรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับที่มีความแตกต่าง จะมีประเด็นหนึ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญ ทำได้ค่อนข้างทำได้ดีคือความอดทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งที่ผ่านมาตนก็วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญเรื่อยมา และไม่เคยมีกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมาใช้อำนาจอะไรกับตนที่วิพากษ์วิจารณ์

ศาสตราจารย์ ดร.อุดม กล่าวว่า การจะบอก ว่าใครบวกใครลบ เกิดจากอคติหรือทัศนคติที่เรามี ซึ่งตนมีความคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญเกิดจากความคิด ที่จะพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ทำให้บ้านเมืองอยู่ภายใต้ระเบียบเหตุผลของกฎหมาย ไม่ใช่ต่างคนต่างว่ากันไปคนละทิศคนละทาง อยากมองว่าในบริบทของเรา เราเคยตั้งคำถามว่า มีศาลรัฐธรรมนูญไว้ทำไม ซึ่งตนคิดว่าคำถามนี้ไม่น่าจะมีอีกต่อไป เมื่อเรามีรัฐธรรมนูญก็จะมีคดีรัฐธรรมนูญขึ้นมา จึงจำเป็นต้องมีคนตัดสิน และถึงตอนนี้บ้านเมืองถึงจุดที่ ว่าควรต้องมีองค์กรขึ้นมาพิพากษา ข้อพิพาทในรัฐธรรมนูญ ทั้งปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ใครควรถูกตัดสิทธิ ใครควรถูกยุบพรรค ซึ่งหลายเรื่อง มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ดังนั้นยากที่จะตอบ แต่สุดท้ายตนเชื่อในความสุจริตใจของตุลาการแต่ละท่าน แต่ละคนมีอุดมคติและความเข้าใจในแต่ละบริบท เมื่อตัดสินไม่ถูกใจ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งตนยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ท้ายสุดเราต้องยืนยันว่าสิ่งที่เราทำ ทำในฐานะคนที่ได้รับมอบหมาย ตนจึงมองว่าถ้าวันนี้ รัฐธรรมนูญกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องทำหน้าที่ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาในเชิงกฎหมาย ก็คิดว่าเรามีองค์ความรู้ที่จะตอบโจทย์ตรงนี้ได้ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ ไม่ควรถามว่าสอบผ่านหรือไม่ แต่ควรถามว่าเราจะเดินหน้าไปอย่างไร


สำหรับแง่คิดมุมมองบทบาทและความคาดหวังของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ก้าวสู่ศตวรรษที่ 4 นั้น ศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ กล่าวว่า บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในช่วงท้ายเริ่มต้นขึ้น จากการทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะก่อนที่จะมีการรัฐประหารในปี 57 เป็นคำวินิจฉัยที่เปิดทางให้เกิดรัฐประหาร ซึ่งการตัดสินวินิจฉัยคดีส่งผลสะท้อนทางการเมือง และตั้งแต่ปี 50 ศาลรัฐธรรมนูญ กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีบทบาทและส่งผลต่อทิศทางทางการเมือง และในรัฐธรรมนูญปี 60 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจมากขึ้น เช่นเพิ่มอำนาจในการตีความมาตราฐานจริยธรรมส่วนบุคคล ทำให้กลายเป็นบุคคลที่คิดเป็นชี้ตายทางการเมืองมากขึ้น ดังนั้นศาลต้องมองว่าการตีความจะส่งผลกระทบอะไรต่อไปในอนาคตข้างหน้า และการเป็นคนกลางในบริบทของชีวิตทางการเมืองหรือของรัฐธรรมนูญ คนจะมองว่าศาลยืนอยู่ตรงกลางจริงๆหรือไม่ แต่ในอนาคตควรจะปรับเปลี่ยนสถานะองค์กร ที่มาของตุลาการ อำนาจหน้าที่ รวมทั้งตัวบทกฎหมายวิธีพิจารณาความ และในระยะยาวควรมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ

ศาสตราจารย์ ดร.ไชยันต์ กล่าวว่า เป็นองค์กรที่จะช่วยทำให้ไม่เกิดปัญหาในสงคราม ความขัดแย้งที่จะชี้ว่าฝ่ายไหนผิดหรือถูก แต่ถ้าหากไม่มีใครฟังและสมมุติเกิดรัฐประหารขึ้น ไม่ได้ยุบศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีรัฐธรรมนูญให้ดูแลตุลาการจะอยู่ต่อไป ตามที่คณะรัฐประหารต่อเวลาให้หรือไม่ หรือตุลาการจะทำอย่างไร หากไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ ใครจะมาดูแลรัฐธรรมนูญ สภาผู้แทนราษฎร, วุฒิสภาหรือรัฐสภาจะดูแลได้หรือไม่ หรือให้องค์กรไหนดูแล

ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ กล่าวว่า ประกาศของคณะปฏิวัติมีสถานะเป็นกฎหมายยั่งยืนยาวนาน แม้พ้นภารกิจไปแล้ว ดังนั้นประกาศของคณะปฏิวัติไม่น่าจะเป็นกฎหมายได้อีกต่อไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาที่แก้ไม่จบ เพราะเขียนไว้ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ จึงอยากให้ศาลรัฐธรรมนูญชุดปัญจจุบัน แก้ให้ได้ เพียงแค่วินิจฉัยว่าคณะปฏิวัติที่พ้นจากอำนาจไปแล้วบรรดาคำสั่งประกาศที่เคยเป็นกฎหมาย พ้นสภาพความเป็นกฎหมายต่อไป ถ้าตุลาการใช้อำนาจที่มีสามารถกำหนดเงื่อนไขเงื่อนเวลาสภาพบังคับคำวินิจฉัยได้ ส่วนประกาศใดของคณะรัฐประหารที่ต้องการให้เป็นกฎหมายต่อก็ให้ออกเป็นพ.ร.บ.ผ่านสภาฯ แต่ก็ไม่ทำ นี่คือสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญยุคใหม่และสิ่งที่ประชาชนคนไทยอยากเห็นอยากได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้อย่างไรถ้าเอาประกาศคณะปฏิวัติมาเป็นกฎหมาย และขอร้องฝ่ายการเมือง ฝ่ายนิติบัญญัติอย่า เขียนกฎหมายให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลใด ต้องสั่งให้ยุบพรรคการเมือง มันไม่มีประโยชน์อะไร เพราะการยุบพรรคการเมืองทำให้ประชาชน ที่สามัคคีกันกลายเป็นเผชิญหน้า

ส่วนการดำเนินงานของศาลธรรมนูญขอ 3 ข้อ คือ 1.ไม่เปิดช่องให้อำนาจรัฐ อำนาจทุน อำนาจเถื่อน เข้ามาแทรกแซงชี้นำครอบงำ การทำงานของเหล่าตุลาการ 2.ต้องสำรวจมาตราฐานของศาลรัฐธรรมนูญของนานาประเทศ ว่าเราชอบธรรมหรือไม่ ต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานสากล แต่ต้องปรับให้พร้อมกับอารยธรรมชีวิตและระบบกฎหมายของไทย เช่น ประเทศอื่นมีกาสิโนมีเงินเข้าประเทศ 2-3หมื่นล้านบาท แต่อารยธรรมของไทยไม่ใช่ 3.เราต้องทำภารกิจที่สำคัญอีกอย่างคือใช้นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่กอบโกยกันตามกำลัง มือใครยาวสาวได้สาวเอา

ศาสตราจารย์ ดร.อุดม กล่าวว่า ถ้าเราวางศาลรัฐธรรมนูญให้ทำหน้าที่คุ้มคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ในขณะเดียวกัน ต้องรักษากติกาสร้างเสถียรภาพ การเมืองการปกครองให้บ้านเมืองสามารถดำรงอยู่ได้มั่นคงนั้น ทั้ง 2 สิ่ง บางเรื่องเหมือนจะไปด้วยกัน แต่บางเรื่องเหมือนจะไม่ไปด้วยกัน เพราะมุมมองทัศนคติของแต่ละคนแตกต่างกัน จึงอาจจะจำเป็นต้องสร้างมาตรฐานในการทำความเข้าใจกัน โดยใช้เหตุผล และจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าปัญหาบ้านเมืองของเราเป็นอย่างไร ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะเราต่างคนต่างโทษกันไป จึงจำเป็นต้องพยายามหาเกณฑ์ตรงกลาง และหาสมดุล แต่ในหลายเรื่องที่คณะตุลาการพิจารณามีความปรารถนาดีอยากเห็น ทางออกที่เหมาะสม.-312 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดเนื้อหาหนังสือแจง UNSC กัมพูชาวางทุ่นระเบิด-เริ่มยิงก่อน

25 ก.ค.- เปิดเนื้อหาหนังสือจากผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นิวยอร์ก เพื่อชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ส่งหนังสือชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ขอแจ้งให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกท่านทราบ ถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.     เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี ค.ศ. […]

“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน”

ก.มหาดไทย 25 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน” ชี้รับฟังทุกความไม่พอใจ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามยุทธวิธี ให้ทหารมีอิสระในการทำงาน มอง “ก่อแก้ว” ขอศาล รธน. คืนอำนาจให้ “แพทองธาร” เป็นความเห็นเหมือนประชาชนจำนวนมาก แต่ให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุถึง อยากให้กองทัพสั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซนก่อน ว่า ก็เหมือนประชาชนทั่วไป ที่เวลานี้มีความรู้สึกเช่นนั้น หลายคนแสดงความเห็นให้ทำแบบนู้นแบบนี้ เราก็รับฟังความห่วงใยความไม่พอใจที่เราถูกกระทำ ตนเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น และเห็นว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพราะเรื่องอธิปไตยของประเทศ การรุกล้ำเข้ามา กระทบประชาชนเรายอมไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายจะเห็นว่าเราประนีประนอม (Compromise) ให้มากที่สุด แต่เมื่อสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และเป็นปัญหา วันนี้จึงได้สั่งการให้ทหารมีอิสระในพื้นที่ โดยผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้คุมยุทธการ ปฏิบัติได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงได้มีการทำความเข้าใจกับ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการโทรคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด […]

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร” ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% ไม่พอใจเข้มปราบแก๊งคอลฯ

กระทรวงวัฒนธรรม 26 ก.ค.- “แพทองธาร” เปิดใจ ขอคนไทยรักกัน หันไปทะเลาะกับคนนอกประเทศก่อน ชี้ขัดแย้งกันเองยังรอได้ แฉกัมพูชาไม่พอใจไทยร่วมมือลาว – เมียนมา ปราบคอลเซ็นเตอร์ เผยสื่อนอกยังตั้งข้อสังเกต “กพช.” สั่งปิด รร.ยิงวันแรก เหมือนรู้ล่วงหน้าจะมีการรบ ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมติดตามมาตรการการรับมือ และช่วยช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 4 จังหวัด ที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยนางสาวแพทองธารได้ยืนยันแถลงการณ์ของรัฐบาล ตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้แถลงไปเมื่อวานนี้ ที่ระบุว่ากัมพูชาถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามขั้นรุนแรง วิธีการต่าง ๆ ขัดต่อหลักสันติวิธีของกฎหมายระหว่างประเทศ และขัดหลักมนุษยธรรมที่ได้ปฏิบัติมาตลอด สถานการณ์ความรุนแรง เป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ย้ำตลอดว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือชีวิตของประชาชน เป็นสิ่งที่เรายึดถือ และพยายามไม่ให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ จนฝ่ายกัมพูชาได้ยิงก่อน ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา นางสาวแพทองธารยังกล่าวว่า มีสำนักข่าวต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้วเรามีหลักฐาน มีดิจิทัลฟุตปริ้นท์ที่สามารถทำให้เห็นว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน และมีการตั้งข้อสังเกตว่าในวันนั้นนักเรียนของเราที่อยู่ชายแดนไปโรงเรียนตามปกติ […]

“เสธ.เบิร์ด” ชี้เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” ถือเป็นภัยคุกคาม

26 ก.ค.- “เสธ.เบิร์ด” ชี้ เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” วิถีไกล 130 กม. ถือเป็นภัยคุกคาม มองไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากกรณีกองทัพภาคที่ 2 เตือนเฝ้าระวังกัมพูชายิงขีปนาวุธ PHL-03 วิถีไกล 130 กม. เพื่อพุ่งเป้าหมายพื้นที่ยุทธศาสตร์และที่ตั้งทหารนั้น ล่าสุด พล.ต.วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กล่าวว่า การขยับขีปนาวุธ PHL-03 เป็นการขู่ และถือเป็นภัยคุกคาม ดังนั้นถ้าไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากการที่กัมพูชากล่าวหาว่า ไทยใช้ปฏิบัติการทางอากาศเกินกว่าเหตุนั้น เราไม่ทำเกินกว่าเหตุ แต่สิ่งที่เราทำนี้เป็นเหตุผล เพราะฝ่ายกัมพูชา เคลื่อนกำลังจำนวนมากมาประชิดชายแดน ใช้อาวุธยิงระยะไกลทำร้ายประชาชนของไทย ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน สถานีบริการน้ำมัน ทำให้ประชาชนชาวไทยบาดเจ็บ และเสียชีวิต จากการมีภาพข่าวการเคลื่อนอาวุธยิงระยะไกล ถือว่าเป็นการข่มขู่คุกคามความมั่นคงของไทยอย่างชัดเจน ดังนั้นการปฏิบัติการทางอากาศ เพื่อลดการสูญเสีย สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้การปฏิบัติการทางอากาศของไทยทำลายเป้าหมายทางทหารเท่านั้น และมีความแม่นยำ -สำนักข่าวไทย

น้ำท่วมน่านลดต่อเนื่อง ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย

น่าน 26 ก.ค.- สถานการณ์น้ำท่วมตัวเมืองน่าน ลดลงต่อเนื่อง ส่วนอีกหลายจุดยังอ่วม ท่วมสูงกว่า 1 เมตร ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย ย่านการค้าและเศรษฐกิจสำคัญของเมืองน่าน บริเวณถนนสุมณเทวราช ซึ่งเคยน้ำท่วมสูงเกือบถึงคอ แต่ตอนนี้น้ำลดลงเหลือประมาณหน้าขา เท่ากับลดไปราว 1 เมตร แต่บริเวณโดยรอบยังมีน้ำท่วมเต็มพื้นที่ โดยเฉพาะที่ลุ่มต่ำ ยังท่วมสูงกว่า 1 เมตร ทีมข่าวได้เข้าไปสำรวจความเสียหายของโรงแรงแห่งหนึ่งกลางเมืองน่าน ซึ่งสภาพภายในเต็มไปด้วยคราบโคลน รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ที่จอดไว้เสียหายจำนวนมาก ขณะที่เจ้าของร้านค้าย่านนี้ เริ่มสำรวจความเสียหายจากน้ำท่วม อีกจุดหนึ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักคือที่โรงพยาบาลน่านที่ถูกน้ำท่วมสูงเต็มพื้นที่ 40 ไร่ บางจุดท่วมเกือบมิดหัว ตอนนี้น้ำลดแล้ว แต่ตามอาคารต่างๆ น้ำทะลักท่วมยาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ได้รับความเสียหาย แต่ผู้ป่วยใน ราว 3 ร้อยคน ยังปลอดภัย คุณหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่เร่งช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาด เพื่อให้โรงพยาบาลกลับมาเปิดบริการตามปกติให้เร็วที่สุด ช่วงสายที่ผ่านมา นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายใจกลางเขตเศรษฐกิจเมืองน่านด้วย -สำนักข่าวไทย