กทม 8 เม.ย.-องคมนตรี ร่วมสังเกตการณ์การประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พร้อมให้กำลังใจและคำแนะนำในการเตรียมความพร้อมบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนจากสถานการณ์ภัยแล้ง ปี 2568
คณะองคมนตรี ประกอบด้วย นายพลากร สุวรรณรัฐ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา นายจรัลธาดา กรรณสูต พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท พล.ร.อ.พงษ์เทพ หนูเทพ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ร่วมสังเกตการณ์ ให้คำแนะนำและข้อห่วงใย ในการประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เพื่อติดตามสถานการณ์และเตรียมการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี 2568 ซึ่งมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เป็นประธานการประชุม และมีผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี กล่าวว่า นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นทรงราชย์เมื่อปี 2559 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้คณะองคมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานพระราชกระแส อันมีใจความสำคัญว่า 1. ขอให้ทุกฝ่ายได้มีการประชุมร่วมกันเพื่อเตรียมรับสถานการณ์อันเกิดจากภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ 2. ขอให้มีการปรับแผนเผชิญเหตุอยู่ตลอดเวลาและสอดรับกับสภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศซึ่งเปลี่ยนแปลงไปและไม่เหมือนกันทุกระยะ ๆ ทั้งนี้ เพื่อให้การช่วยเหลือบำบัดดูแลแก้ไข สถานการณ์จนถึงการช่วยเหลือประชาชนเป็นไปโดยฉับไว ทันท่วงที ให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด จากทุกภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของน้ำท่วม วาตภัย ภัยแล้ง และภัยหนาว ทั้งที่ทั้งนั้น คณะองคมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมทุกปีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยการสนับสนุนของกองบัญชาการฯ
นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีความรุนแรง และความถี่มากขึ้น โดยเฉพาะในห้วงฤดูร้อน หลายพื้นที่ของประเทศมีพื้นที่เสี่ยงที่อาจจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง
ปี 2568 จึงได้มีการกำหนดแนวทางป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ภัยแล้งเป็นการล่วงหน้า 3 ด้าน ได้แก่ 1.ประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานด้านการพยากรณ์ หน่วยงานทางวิชาการ และหน่วยงานบริหารจัดการน้ำ เพื่อเฝ้าระวัง ติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์นำ ตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ฤดูร้อนมาอย่างต่อเนื่อง
2.ในระดับพื้นที่ กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเตรียมความพร้อม จัดทำแผนเผชิญเหตุภัยแล้งทั้งระดับจังหวัด อำเภอ และ อปท. และทุกภาคส่วน พร้อมช่วยเหลือประชาชน สร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงสถานการณ์น้ำรวมถึงการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐ และ
3.พื้นที่ที่ยังไม่เกิดสถานการณ์ภัยแล้ง ได้กำชับให้ดำเนินการป้องกันไว้ล่วงหน้า หากเกิดสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ บูรณาการทุกหน่วยงานเข้าแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ทั้งการแจกจ่ายส่วนกรณีเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายทั้งด้านการเกษตร ประมงและปศุสัตว์และอยู่ในพื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ต้องเร่งให้ความช่วยเหลือในรูปแบบการเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว
นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า จากการติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำ (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เม.ย. 2568) พบว่า ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 จนถึงปัจจุบัน มีพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง และมีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ไปแล้ว 3 จังหวัด 11 อำเภอ 16 ตำบล 96 หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ นครราชสีมา และกาญจนบุรี ซึ่งจากการคาดการณ์สถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ โดยพิจารณาจากปริมาณน้ำต้นทุนในปี 2568 พบว่า มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำมากกว่าปีที่ผ่านมา คาดว่าในช่วงเดือนเม.ย. 2568 สถานการณ์ภัยแล้งและอากาศร้อนจะรุนแรงน้อยกว่าในปี 2567
ปภ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กอปภ.ช. จะได้นำแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564-2570 เป็นหลักการบริหารจัดการ จำแนกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มพยากรณ์ กลุ่มบริหารจัดการน้ำ และ กลุ่มปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ
นายภาสกร กล่าวว่า ปภ. ได้เตรียมพร้อมเจ้าหน้าที่และระดมทรัพยากรเครื่องจักรกลสาธารณภัย อาทิ เครื่องสูบน้ำ เครื่องสูบส่งน้ำระยะไกล รถผลิตน้ำดื่ม เครื่องเจาะบ่อบาดาล/บ่อน้ำตื้น รวม 48 รายการ 2,188 หน่วย สนับสนุนการปฏิบัติของจังหวัด และได้ขอรับการสนับสนุนงบกลาง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ด้านการฟื้นฟูและบูรณะแหล่งน้ำเดิม การกักเก็บน้ำ การจัดหาแหล่งน้ำต้นทุน แหล่งน้ำสำรอง การปรับปรุงแหล่งน้ำเดิม ปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำและกำจัดวัชพืช การเพิ่มน้ำต้นทุนให้กับประปาหมู่บ้าน และการเป่าล้างบ่อบาดาล รวม 427 โครงการ ในพื้นที่ 23 จังหวัด 79 อำเภอ 128 ตำบล
อีกทั้งยังได้ดำเนินโครงการมหาดไทยเติมน้ำ เติมสุข บำบัดทุกข์ คลายแล้ง ปี 2568 โดยดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 – ปัจจุบัน (ข้อมูล 26 มี.ค. 68) สามารถดำเนินการสูบน้ำกักเก็บไว้ในแหล่งน้ำในพื้นที่ 18 จังหวัด ปริมาณน้ำที่สูบได้ 7,383.792 ล้านลูกบาศก์เมตร ประชาชนได้ประโยชน์ 8,720 ครัวเรือน.-319.-สำนักข่าวไทย