คณะองคมนตรี ร่วมสังเกตการณ์การประชุม บกปภ.ช.

กทม 8 เม.ย.-องคมนตรี ร่วมสังเกตการณ์การประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พร้อมให้กำลังใจและคำแนะนำในการเตรียมความพร้อมบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนจากสถานการณ์ภัยแล้ง ปี 2568

คณะองคมนตรี ประกอบด้วย นายพลากร สุวรรณรัฐ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา นายจรัลธาดา กรรณสูต พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท พล.ร.อ.พงษ์เทพ หนูเทพ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ร่วมสังเกตการณ์ ให้คำแนะนำและข้อห่วงใย ในการประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เพื่อติดตามสถานการณ์และเตรียมการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี 2568 ซึ่งมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เป็นประธานการประชุม และมีผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม


นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี กล่าวว่า นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นทรงราชย์เมื่อปี 2559 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้คณะองคมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานพระราชกระแส อันมีใจความสำคัญว่า 1. ขอให้ทุกฝ่ายได้มีการประชุมร่วมกันเพื่อเตรียมรับสถานการณ์อันเกิดจากภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ 2. ขอให้มีการปรับแผนเผชิญเหตุอยู่ตลอดเวลาและสอดรับกับสภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศซึ่งเปลี่ยนแปลงไปและไม่เหมือนกันทุกระยะ ๆ ทั้งนี้ เพื่อให้การช่วยเหลือบำบัดดูแลแก้ไข สถานการณ์จนถึงการช่วยเหลือประชาชนเป็นไปโดยฉับไว ทันท่วงที ให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด จากทุกภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของน้ำท่วม วาตภัย ภัยแล้ง และภัยหนาว ทั้งที่ทั้งนั้น คณะองคมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมทุกปีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยการสนับสนุนของกองบัญชาการฯ

นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีความรุนแรง และความถี่มากขึ้น โดยเฉพาะในห้วงฤดูร้อน หลายพื้นที่ของประเทศมีพื้นที่เสี่ยงที่อาจจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง


ปี 2568 จึงได้มีการกำหนดแนวทางป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ภัยแล้งเป็นการล่วงหน้า 3 ด้าน ได้แก่ 1.ประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานด้านการพยากรณ์ หน่วยงานทางวิชาการ และหน่วยงานบริหารจัดการน้ำ เพื่อเฝ้าระวัง ติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์นำ ตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ฤดูร้อนมาอย่างต่อเนื่อง

2.ในระดับพื้นที่ กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเตรียมความพร้อม จัดทำแผนเผชิญเหตุภัยแล้งทั้งระดับจังหวัด อำเภอ และ อปท. และทุกภาคส่วน พร้อมช่วยเหลือประชาชน สร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงสถานการณ์น้ำรวมถึงการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐ และ

3.พื้นที่ที่ยังไม่เกิดสถานการณ์ภัยแล้ง ได้กำชับให้ดำเนินการป้องกันไว้ล่วงหน้า หากเกิดสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ บูรณาการทุกหน่วยงานเข้าแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ทั้งการแจกจ่ายส่วนกรณีเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายทั้งด้านการเกษตร ประมงและปศุสัตว์และอยู่ในพื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ต้องเร่งให้ความช่วยเหลือในรูปแบบการเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว


นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า จากการติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำ (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เม.ย. 2568) พบว่า ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 จนถึงปัจจุบัน มีพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง และมีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ไปแล้ว 3 จังหวัด 11 อำเภอ 16 ตำบล 96 หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ นครราชสีมา และกาญจนบุรี ซึ่งจากการคาดการณ์สถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ โดยพิจารณาจากปริมาณน้ำต้นทุนในปี 2568 พบว่า มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำมากกว่าปีที่ผ่านมา คาดว่าในช่วงเดือนเม.ย. 2568 สถานการณ์ภัยแล้งและอากาศร้อนจะรุนแรงน้อยกว่าในปี 2567

ปภ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กอปภ.ช. จะได้นำแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564-2570 เป็นหลักการบริหารจัดการ จำแนกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มพยากรณ์ กลุ่มบริหารจัดการน้ำ และ กลุ่มปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ

นายภาสกร กล่าวว่า ปภ. ได้เตรียมพร้อมเจ้าหน้าที่และระดมทรัพยากรเครื่องจักรกลสาธารณภัย อาทิ เครื่องสูบน้ำ เครื่องสูบส่งน้ำระยะไกล รถผลิตน้ำดื่ม เครื่องเจาะบ่อบาดาล/บ่อน้ำตื้น รวม 48 รายการ 2,188 หน่วย สนับสนุนการปฏิบัติของจังหวัด และได้ขอรับการสนับสนุนงบกลาง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ด้านการฟื้นฟูและบูรณะแหล่งน้ำเดิม การกักเก็บน้ำ การจัดหาแหล่งน้ำต้นทุน แหล่งน้ำสำรอง การปรับปรุงแหล่งน้ำเดิม ปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำและกำจัดวัชพืช การเพิ่มน้ำต้นทุนให้กับประปาหมู่บ้าน และการเป่าล้างบ่อบาดาล รวม 427 โครงการ ในพื้นที่ 23 จังหวัด 79 อำเภอ 128 ตำบล

อีกทั้งยังได้ดำเนินโครงการมหาดไทยเติมน้ำ เติมสุข บำบัดทุกข์ คลายแล้ง ปี 2568 โดยดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 – ปัจจุบัน (ข้อมูล 26 มี.ค. 68) สามารถดำเนินการสูบน้ำกักเก็บไว้ในแหล่งน้ำในพื้นที่ 18 จังหวัด ปริมาณน้ำที่สูบได้ 7,383.792 ล้านลูกบาศก์เมตร ประชาชนได้ประโยชน์ 8,720 ครัวเรือน.-319​.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]