นายกฯ ให้การต้อนรับ ‘นายกฯ อินเดีย’ เยือนไทยอย่างเป็นทางการ

ทำเนียบรัฐบาล 3 เม.ย.- “นายกฯ แพทองธาร” ให้การต้อนรับ นายกฯ อินเดีย เยือนไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมหารือ กระชับความสัมพันธ์ในทุกมิติ ยกระดับสู่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ เดินหน้าขยายโอกาสและศักยภาพความร่วมมือระหว่างกัน


นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ นายนเรนทร โมที (H.E. Mr. Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย ในโอกาสการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล

โดยนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีอินเดียได้ร่วมตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า จากนั้น นายกรัฐมนตรี เชิญนายกรัฐมนตรีอินเดีย ไปยังห้องสีม่วง ภายในตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อแนะนำคณะรัฐมนตรี และลงนามในสมุดเยี่ยม พร้อมชมของที่ระลึกที่ทั้งสองฝ่ายมอบให้แก่กัน


จากนั้น นายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศได่ร่วมหารือข้อราชการเต็มคณะ โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรีอินเดียและคณะ ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการ และเข้าร่วมการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 พร้อมชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดียที่มีความใกล้ชิดมายาวนาน โดยตลอดระยะเวลากว่า 7 ทศวรรษของความสัมพันธ์ทางการทูต ไทยและอินเดียมีความร่วมมือขยายครอบคลุมทุกสาขา ซึ่งนำไปสู่การยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกัน อันเป็นผลลัพธ์สำคัญของการเยือนในครั้งนี้

นายกรัฐมนตรี ยังขอบคุณรัฐบาลอินเดียที่อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระอัครมหาสาวกมาประดิษฐานที่ไทยเป็นการชั่วคราว ซึ่งมีชาวไทยมาสักการะมากกว่า 4 ล้านคน สะท้อนถึงความสำคัญของพุทธศาสนาซึ่งเป็นหลักเชื่อมโยงประชาชนของทั้งสองประเทศ

นายกรัฐมนตรีอินเดีย กล่าวในนามรัฐบาลและประชาชนชาวอินเดีย ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในไทย และขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาลไทยและประชาชนคนไทย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีอินเดียขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดียที่มีความเข้มแข็งมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ในระดับประชาชน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีความร่วมมือระหว่างกันที่ใกล้ชิดในหลายมิติ


โดยนายกรัฐมนตรีอินเดียเห็นว่า ไทยและอินเดียมีแนวนโยบายที่สอดคล้องกัน ซึ่งสามารถเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันได้อีกมาก พร้อมทั้งแสดงความยินดีต่อความสำเร็จของไทยในฐานะประธานบิมสเทค ซึ่งภายใต้การเป็นประธานของไทย บิมสเทคมีข้อริเริ่มและโครงการใหม่ ๆ เกิดขึ้น โดยเชื่อมั่นว่า การดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030 จะนำทิศทางและแรงผลักดันใหม่ให้กับบิมสเทค โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีอินเดียยังได้เชิญนายกรัฐมนตรีเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ ซึ่งนายกรัฐมนตรีพร้อมพิจารณาเยือนอินเดียในโอกาสแรก

สำหรับประเด็นการหารือความร่วมมือที่สำคัญ ประกอบด้วย

1.การทหารและความมั่นคง โดยนายกรัฐมนตรียินดีที่กลไกความร่วมมือด้านการทหารระหว่างไทยกับอินเดียมีพัฒนาการที่สำคัญ โดยไทยพร้อมต่อยอดความร่วมมือไปยังสาขาใหม่ ๆ เพิ่มเติม อาทิ ความมั่นคงทางไซเบอร์ และอวกาศ พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยมีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัย ผลิตอาวุธ และซ่อมบำรุงในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของอินเดีย ผ่านการจัดตั้ง Joint Working Group on Defense Industry โดยเร็ว เพื่อผลักดันความร่วมมือในด้านนี้อย่างเป็นรูปธรรม ด้านนายกรัฐมนตรีอินเดียต้องการเพิ่มพูนความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และการลาดตระเวนในช่องแคบมะละกา ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าการเข้าร่วมลาดตระเวนฯ จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากประเทศอื่น ๆ ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งเดิมไทยเข้าร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์ และต่อมาในปี ค.ศ. 2009 ถึงได้เข้าร่วมการฝึกอย่างเต็มรูปแบบ

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องเพิ่มพูนความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการค้ามนุษย์ การลักลอบขนยาเสพติด และการหลอกลวงทางออนไลน์ โดยนายกรัฐมนตรีต้องการให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ชื่นชมนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดของอินเดียที่ครอบคลุม และต้องการกระชับความร่วมมือกับอินเดียเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด ผ่านกลไกทวิภาคีและพหุภาคีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งฝ่ายอินเดียพร้อมร่วมมืออย่างเต็มที่

2. เศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า ไทยและอินเดียยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือด้านการค้าระหว่างกันได้อีกมาก โดยนายกรัฐมนตรี ขอให้ฝ่ายอินเดียพิจารณาผ่อนปรนมาตรการการนำเข้าสินค้า เพื่อสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการค้าระหว่างกัน โดยสินค้าหลายประเภทของไทยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตสินค้าซึ่งสนับสนุนนโยบาย Make in India ของอินเดีย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังเสนอให้มีการยกระดับกลไกการหารือด้านการค้า โดยเฉพาะการยกระดับการประชุม Joint Trade Committee เป็นระดับรัฐมนตรี การพิจารณาปรับปรุงความตกลงการค้าเสรีไทย – อินเดีย และความตกลง ASEAN – India Trade in Goods ให้ครอบคลุมสินค้ามากขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าและส่งเสริมห่วงโซ่การผลิตระหว่างกัน รวมถึงสนับสนุนให้มีการจัด India – Thailand Joint Business Forum (ITJBF) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นเวทีให้ภาคเอกชนสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้เชิญชวนนักลงทุนอินเดียให้เข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทย โดยเฉพาะในสาขาเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งอินเดียมีความเชี่ยวชาญ พร้อมขอให้ฝ่ายอินเดียให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนไทยที่เข้าไปลงทุนในอินเดียด้วย

  1. ความเชื่อมโยง นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า อินเดียเป็นประเทศหุ้นส่วนสำคัญของการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคเอเชียใต้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งทางบกและทางทะเล โดยเฉพาะโครงการถนนสามฝ่าย ไทย – เมียนมา – อินเดีย (India – Myanmar – Thailand Trilateral Highway Project) ซึ่งทั้งสองฝ่ายพยายามผลักดันอย่างเต็มที่ และสำหรับการเชื่อมโยงทางทะเล ไทยมีโครงการแลนด์บริดจ์ที่จะสร้างความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมทางทะเล เชื่อมมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย โดยนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้ภาคเอกชนอินเดียมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ ไทยยังมีแผนที่จะพัฒนาท่าเรือระนอง ให้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าหลักเชื่อมต่อท่าเรือทางฝั่งตะวันออกของอินเดีย และประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียใต้ ซึ่งจะสนับสนุนความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศสมาชิก BIMSTEC ที่จะลงนามในวันพรุ่งนี้(4 เม.ย.) ให้บรรลุผลเป็นรูปธรรม

ด้านนายกรัฐมนตรีอินเดีย เน้นย้ำว่า ภาคเอกชนอินเดียต้องการมีส่วนร่วมในโครงการแลนด์บริดจ์ของไทย และพร้อมร่วมกับฝ่ายไทยผลักดันการเชื่อมโยงระบบจ่ายเงินออนไลน์ระหว่าง UPI ของอินเดียกับพร้อมเพย์ของไทย ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ

  1. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยมองอินเดียเป็นต้นแบบของการสร้างระบบนิเวศสำหรับการฟูมฟักสตาร์ทอัพ และสนับสนุนการสร้างเครือข่ายระหว่างสตาร์ทอัพของทั้งสองประเทศ พร้อมหวังว่าจะมีความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะในสาขาที่อินเดียมีความเชี่ยวชาญ เช่น ความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม AI และอวกาศ ซึ่งอินเดียมีความก้าวหน้าในด้านนี้ และไทยต้องการให้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกันต่อไป
  2. สังคมและวัฒนธรรม ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ไทยและอินเดียมีการแลกเปลี่ยนด้านสังคมและวัฒนธรรมระหว่างกันที่ใกล้ชิด โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ชุมชนชาวไทยเชื้อสายอินเดียมีส่วนสำคัญและเป็นรากฐานต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย นอกจากนี้ ในปัจจุบัน เยาวชนไทยให้ความสนใจเกี่ยวกับอินเดียมากขึ้น มีการตั้งศูนย์อินเดียศึกษาทั้งที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ และตามภูมิภาคต่าง ๆ รวมถึงมีนักเรียนไทยกำลังศึกษาในอินเดียประมาณ 600 คน ในสถาบันการศึกษาชั้นนำ ด้านนายกรัฐมนตรีอินเดียเห็นว่า ไทยและอินเดียมีมรดกวัฒนธรรมทางภาษาและพุทธศาสนาที่เชื่อมโยงประชาชนของทั้งสองประเทศ ซึ่งทั้งสองฝ่ายควรสืบสานและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รับประโยชน์จากมรดกเหล่านี้
  3. การท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว โดยได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (Tourist Assistance Center: TAC) เพื่อดูแลและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวทั่วประเทศ พร้อมทั้งยินดีที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัดตั้งกลไก Consular Dialogue เพื่อการคุ้มครองดูแลประชาชนซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ไทยและอินเดียยังสามารถเพิ่มพูนความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวระหว่างกันได้มากขึ้น ผ่านการขยายเที่ยวบินไปยังเมืองอื่น ๆ ของไทยและอินเดียมากขึ้น รวมถึงการสนับสนุนกองถ่ายทำภาพยนตร์และโฆษณาจากอินเดียให้ใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำ และใช้บริการขั้นหลังการผลิต (Post Production) ที่มีคุณภาพในราคาย่อมเยาของไทย

นายกรัฐมนตรีอินเดีย ยินดีที่ไทยและอินเดียมีการแลกเปลี่ยนด้านการท่องเที่ยวที่ใกล้ชิด และทั้งสองฝ่ายมีมาตรการที่สนับสนุนการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยไทยมีการยกเว้นการตรวจลงตราให้แก่นักท่องเที่ยวอินเดีย ขณะเดียวกัน อินเดียได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยว (e-Tourist visa) ให้แก่นักท่องเที่ยวไทยเช่นกัน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีอินเดียพร้อมสนับสนุนข้อเสนอของไทยในการขยายเที่ยวบินไปยังเมืองอื่นของไทยและอินเดียมากขึ้น และยินดีที่ไทยพร้อมมีส่วนร่วมในการพัฒนาและขยายเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนา (Buddhist Circuit) ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ

7.ความร่วมมือในกรอบอาเซียน ไทยพร้อมร่วมมือกับอินเดีย ผ่านกรอบอาเซียน – อินเดียในหลายสาขา ได้แก่ เทคโนโลยีดิจิทัล ความมั่นคงทางไซเบอร์ AI การศึกษา และเทคโนโลยีอวกาศ พร้อมเพิ่มพูนการใช้ประโยชน์จากความเชื่อมโยงเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันในภูมิภาค ผ่านการเจรจาการทบทวนความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน – อินเดียภายในปีนี้ นอกจากนี้ ไทยสนับสนุนข้อริเริ่มของอินเดียในการฉลองให้ปีนี้เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวอาเซียน – อินเดีย ซึ่งไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม “ASEAN – India Forum: Journey of Opportunities” รวมถึงการจัดฝึกอบรมภาษาฮินดีให้กับบุคลากรด้านการท่องเที่ยวของไทยและอาเซียน

นอกจากนี้ทั้งสองฝ่าย ยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อสถานการณ์ในเมียนมา ซึ่งไทยและอินเดียต่างมีพรมแดนติดกับเมียนมา โดยต่างต้องการเห็นเมียนมาที่มีความสงบสุข มั่นคง และเป็นปึกแผ่น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียใจต่อการสูญเสียจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งไทยและอินเดียในฐานะประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมาได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมาโดยเร่งด่วนแล้ว ซึ่งในระยะต่อไปทั้งสองประเทศสามารถร่วมมือกันเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยอย่างยั่งยืนต่อไป โดยหนึ่งในความช่วยเหลือที่จะเกิดประโยชน์อย่างเห็นได้ชัดคือ โครงการถนนสามฝ่าย ไทย – เมียนมา – อินเดีย ที่จะช่วยฟื้นฟูและส่งเสริมเศรษฐกิจชายแดนระหว่างไทย อินเดีย และเมียนมา ด้านนายกรัฐมนตรีอินเดียสนับสนุน ฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน เพื่อยุติความขัดแย้งในเมียนมา .-316 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เชิญกลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี ถึง ส.ค.นี้

ทำเนียบ 14 พ.ค.-รัฐบาลเชิญกลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี ถึงสิ้นเดือนสิงหาคมปีนี้ ทุกสถานพยาบาลทั่วประเทศ นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารัฐบาลโดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการจัดเตรียมวัคซีนเพื่อป้องกันสายพันธุ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ตามการประกาศขององค์การอนามัยโลก (WHO) โดยจัดเตรียมวัคซีนรองรับ 4,570,000 ล้านโดส กระจายหน่วยบริการให้บริการฉีดกลุ่มเป้าหมาย ระบุเป็นวัคซีนป้องกัน 3 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ A(H1N1), สายพันธุ์ A (H3N2) และ สายพันธุ์ B วิคตอเรีย ที่มีประสิทธิผลและมีความปลอดภัย สปสช. กำหนดเป้าหมายเพื่อฉีดให้กับประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 1.หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ที่แนะนำ 12 -20 สัปดาห์ (สามารถให้ได้ตลอดการตั้งครรภ์) 2. เด็กอายุ 6 เดือน – 2 ปี 3. ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 […]

เยี่ยม ด.ต. ถูก สจ.กอล์ฟ ลูก สส.ปชป. ทำร้ายในหน่วยเลือกตั้ง

สงขลา 14 พ.ค.-“ชัยชนะ” เยี่ยม ด.ต. ถูก สจ.กอล์ฟ ลูก สส.ปชป. ทำร้ายในหน่วยเลือกตั้ง ย้ำพร้อมช่วยเหลือทุกกรณี หากไม่ได้รับความเป็นธรรม นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประธานกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ได้เดินทางเข้าเยี่ยมด.ต.นิสาธิต คงเทพ ผู้ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยเลือกตั้ง ณ เรือนรับรองตำรวจชายแดนที่ 43 จังหวัดสงขลา โดยในโอกาสนี้ นายชัยชนะได้มอบกระเช้าและเงินจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับครอบครัว นายชัยชนะ ได้พูดคุยกับ ด.ต.นิสาธิต ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยืนยันว่าในฐานะประธานกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร หากมีความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นหรือมีความต้องการความช่วยเหลือในเรื่องใด กรรมาธิการตำรวจพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ นอกจากนี้ นายชัยชนะ ยังได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งขอโทษประชาชนที่เกิดความไม่สบายใจที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมยืนยันว่าพรรคให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบและการแก้ไขสถานการณ์อย่างเหมาะสม.-312.-สำนักข่าวไทย

ปูพรมค้น 6 จุด ตามจับแก๊งฆ่าเผานั่งยาง

ตรัง 14 พ.ค. – ตำรวจปูพรมปิดล้อม 6 จุด ตามจับแก๊งฆ่าเผานั่งยาง 4 ศพ ในสวนปาล์มน้ำมัน จ.ตรัง ล่าสุดตามยึดรถกระบะของกลางที่คนร้ายใช้ไปซื้อยางรถยนต์มาก่อเหตุ เมื่อวานนี้ (13 พ.ค.) ตำรวจสอบสวนกลางนำกำลังร่วมกันตรวจยึดรถกระบะโตโยต้า สีเทาดำ (สงวนหมายเลขทะเบียน) และสิ่งของอื่น ๆ อีกหลายรายการ ที่บ้านแห่งหนึ่ง ใน อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 4 คน คือ นายศุภกรณ์ รักวิวัฒน์ หรือ “บิน ควนกุน” อายุ 37 ปี หัวหน้าแก๊งและเป็นผู้มีอิทธิพล, นายจรณชัย สมาธิ หรือ แต้ม อายุ 32 ปี, นายปิยะศักดิ์ สุวรรณมณี หรือ แจ๊ค อายุ 33 ปี และนายรพีพันธ์ บุญเกื้อ […]

แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ส่งทนายยื่นขอความเป็นธรรมปมมติแพทยสภา

สธ. 13 พ.ค. – แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ส่งทนายความส่วนตัวยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อสภานายกพิเศษ กรณีมติที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ปม “ทักษิณ” รักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ นายเนติธร หลินหะตระกูล ทนายความส่วนตัวที่ได้รับมอบอำนาจจาก พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) โรงพยาบาลตำรวจ เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ต่อนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะนายกสภาพิเศษ กรณีที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภามีมติการพิจารณาคดีจริยธรรมของแพทย์ที่อยู่ในความสนใจของประชาชนในกรณีที่มีการกล่าวโทษแพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ ผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม ปม “ทักษิณ ชินวัตร” รักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งมีมติลงโทษแพทย์ 3 คน โดยเป็นการว่ากล่าวตักเตือน 1 คน ในกรณีประกอบวิชาชีพและเวชกรรมที่ไม่ได้มาตรฐาน เกี่ยวกับการออกใบส่งตัว และพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 คน ในกรณีให้ข้อมูล หรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง ทั้งนี้ มีนายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้รับเรื่อง นายกองตรี […]

ข่าวแนะนำ

รวบ 19 คนไทยรับจ้างกดเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์

15 พ.ค.- เปิดปฏิบัติการ “The Scam เงินแท้ คนเก๊” รวบ 19 คนไทยขายชาติ รับจ้างกดเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยึดทรัพย์รวม 6.6 ล้านบาท พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.ร่วมแถลงข่าว กรณีมีผู้เสียหายจากการถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง โดยทำกันเป็นขบวนการ ซึ่งสายที่ 1 อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ มีพัสดุมาส่ง จากนั้นได้ให้หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ส่ง (สายที่ 2) เมื่อผู้เสียหายโทรกลับไป อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กองคลัง โดยให้ทำตามขั้นตอนที่คนร้ายสั่ง อ้างเพื่อเพิ่มเงินบำนาญ โดยได้หลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินครั้งแรกจำนวน 720,000 บาท และต่อมาได้มีสายที่ 3 โทรเข้ามาหาผู้เสียหาย อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแจ้งว่าการทำธุรกรรมที่ได้ทำไปก่อนหน้านั้นผู้เสียหายถูกมิจฉาชีพหลอก เป็นเหตุให้ต้องระงับบัญชี และให้ทำตามขั้นตอนจากธนาคารแทน ผู้เสียหายหลงเชื่อ ทำให้ต้องโอนเงินไปอีกเป็นจำนวน 6 ครั้ง แต่มาทราบภายหลังว่าสุดท้ายเป็นการโอนเงินออกจากบัญชีทุกบัญชีของตนเองไปยังบัญชีของคนร้าย รวมความเสียหายทั้งหมด 3,942,767 บาท พฤติการณ์ดังกล่าว ผู้ต้องหาในคดีนี้ ได้ร่วมกันกระทำความผิดเป็นกระบวนการ ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปอท. จึงได้ทำการสืบสวนพิสูจน์ทราบข้อมูล […]

นายกฯ เยือนเวียดนามวันแรก เดินหน้าความร่วมมือสองประเทศในทุกมิติ

เวียดนาม 15 พ.ค. – นายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามอย่างเป็นทางการ พร้อมเดินหน้าความร่วมมือสองประเทศในทุกมิติ โดยเฉพาะการผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการบินและเทคโนโลยี.-สำนักข่าวไทย

ลงนามถอดถอน “เจ้าคุณแย้ม” จากทุกตำแหน่ง

15 พ.ค.- เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ลงนามถอดถอน “เจ้าคุณแย้ม” จากหน้าที่ทุกตำแหน่ง เหตุถูกดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวข้องกับคดีอาญา สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ลงนามในหนังสือ คำสั่งถอดถอนพระสังมาธิการ พระธรรมวชิรานุวัตร พักจากตำแหน่งหน้าที่ทุกตำแหน่ง ทั้งเจ้าคณะภาค 14 และ เจ้าอาวาสวัดไร่ชิงพระอารามหลวง หลังจากทราบเรื่องว่าถูกดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวข้องกับคดีอาญา จึงได้อาศัยอำนาจตามความในข้อ 56 แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ. 2553) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังมาธิการ ออกตามความในพระราชบัญญัติคุณะสูงณ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเดิมโดยพระราชบัญญัติคณะสงน์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ให้เหตุผลว่า ถ้าจะให้คงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ในระหว่างการสอบสวนจะเป็นการเสียหายแก่การคณะสงฆ์ .-สำนักข่าวไทย

ยังปิดล้อม! เหตุชายคลั่งยิงปืนขึ้นฟ้า จ่อปรับยุทธวิธี

15 พ.ค.- ยังปิดล้อม! เหตุชายคลุ้มคลั่งยิงปืนขึ้นฟ้า ด้านผู้ช่วย ผบ.ตร. รุดลงพื้นที่ เน้นยํ้าเรื่องความปลอดภัยของประชาชนโดยรอบ เตรียมปรับยุทธวิธีระงับเหตุ เมื่อเวลา 17.30 น. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ เดินทางลงพื้นที่เหตุชายคลุ้มคลั่งก่อเหตุยิงปืนขึ้นฟ้าและยิงใส่เจ้าหน้าที่ ภายในบ้านพักหลังวัดลครทำ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ โดย พล.ต.ท.สำราญ เปิดเผยว่า จะเข้าไปพูดคุยกับทาง พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และชุดปฏิบัติการพิเศษร่วมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เบื้องต้นยังเน้นยํ้าเรื่องความปลอดภัยของประชาชนโดยรอบพื้นที่ ซึ่งจะยังไม่มีการยกระดับมาตรการหรือยุทธวิธีใดๆ ยึดการเจรจาเป็นหลักแม้สถานการณ์จะล่วงเลยมานานกว่า 9 ชั่วโมง แต่ยืนยันว่าทุกอย่างยังอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัย ส่วนกรณีชาวบ้านหลายครัวเรือนที่อยู่ในพื้นที่บริเวณบ้านของผู้ก่อเหตุนั้น เบื้องต้นจะหารือกับทาง พล.ต.ท.สยาม เรื่องมาตรการเยียวยา ตำรวจเตรียมปรับยุทธวิธีระงับผู้ก่อเหตุ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางลงพื้นที่อีกครั้ง พร้อมให้ข้อมูลว่า ตอนนี้กำลังให้แม่ของผู้ก่อเหตุเข้าไปเจรจาอยู่ เพื่อให้ผู้ก่อเหตุวางอาวุธและมอบตัว ตอนนี้ผู้ก่อเหตุได้ขึ้นไปอยู่ที่ชั้น 2 ของบ้าน แต่ท่าทีโดยรวมของผู้ก่อเหตุเย็นลง อาการคลุ้มคลั่งก็ลดลงด้วย หากการเจรจาไม่เป็นผลหลังจากนี้อาจจะมีการปรับยุทธวิธีต่อไป -420 .-สำนักข่าวไทย