ทำเนียบ 1 เม.ย.-“นภินทร” รมช.พาณิชย์ เผยเดินทางเยือนจีน ผลักดันทุเรียนส่งออก ร้องขอศุลกากรจีน ลดขั้นตอนการตรวจสอบสาร BY2-แคดเมียม เหลือ 30% จาก 100% ชี้จากการตรวจสอบทุเรียนไทยปลอดภัย
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการเดินทางเยือนมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อหารือสร้างความมั่นใจให้กับผลผลิตทุเรียนไทย ว่า ผลผลิตทุเรียนในปี 2568 มีปริมาณเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 จากปีที่ผ่านมากว่า 1 ล้านสองแสนตัน ปัจจุบันอยู่กว่า 1.7 ล้านตัน เนื่องจากการเพาะปลูกที่เพิ่มขึ้น และผลผลิตที่ออกมาดีขึ้น โดยในปีที่แล้วประเทศไทยบริโภคภายในประเทศ 2.8 แสนตัน ส่งออกต่างประเทศ 900,000 ตัน โดยการส่งออกไปยังต่างประเทศ ร้อยละ 90 ส่งไปยังประเทศจีน ในปีนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นอีก 5 แสนตัน สื่งแรกคือ การขยายตลาดบริโภคในประเทศ ซึ่งได้เพิ่มขึ้นเป็น 4 แสนตัน
ส่วนการส่งออกในปีนี้น่าจะอยู่ประมาณ 1,300,000 ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 400,000 ตัน ดังนั้นการส่งออกที่สำคัญคือการส่งออกไปยังประเทศจีน โดยกระทรวงพาณิชย์ได้พยายามประสานตลาดในจีน ทั้งจากอีเวนท์ การจับคู่ธุรกิจการค้า รวมถึงการจัดกิจกรรมต่างๆซึ่งผู้ประกอบการจีนก็ให้ความสนใจจัดซื้อทุเรียนเพิ่มขึ้น โดยจากการพบปะผู้ประกอบการของจีนก็ให้ความมั่นใจว่าจะซื้อทุเรียนของไทยเพิ่มขึ้น บางรายเคยนำเข้าปีที่ผ่านมา 800 ตู้ ปีนี้จะนำเข้า 1200 ตู้ ดังนั้นมั่นใจว่าตลาดทุเรียนที่เพิ่มขึ้น จะสามารถระบายออกต่างประเทศได้ ทั้งนี้ ยอมรับว่ามีความกังวล ปัญหาระยะเวลาการนำเข้าทุเรียน เพราะจีนมีเงื่อนไขที่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ซึ่งจากเดิมมีการส่งตรวจสินค้านำเข้า ประมาณร่อยละ 30 ของจำนวนที่นำเข้า แต่ในปีนี้ กำหนดเงื่อนไขเพิ่มขึ้น ประเทศไทยการนำเข้าตั้งแต่เดือนมกราที่ผ่านมาทุกตัวจะต้องตรวจรับรับรองจาก ห้อง lab ที่ได้รับการรับรองจากประเทศจีน โดยมีการตรวจสาร BY2 และสารแคดเมียม และต้องมีการรับรอง 100% เมื่อถึงด่านแล้วโม่ฮาน ด่านอ่วยกวนก็ดี ซึ่งจะเข้าสู่ประเทศจีน ก็จะมีการตรวจซ้ำอีก 100% และนี่คือสภาพปัญหา ดังนั้นส่งผลให้การขนส่งติดขัด ซึ่ง ปัจจุบันนี้ใช้เวลาถึงแปดวัน ซึ่งเป็นข้อกังวลของผู้ประกอบการ เพราะ กังวลว่าในช่วงเวลาที่ทุเรียนออกมามาก การติดสอบที่ด่าน จะใช้เวลาค่อนข้างมากถึง 10 วันได้ เมื่อขนส่งจากประเทศไทย กว่าจะไปถึงตลาดก็ใช้เวลาถึง 20 วัน ทำให้ผลผลิตมีคุณภาพที่ตกต่ำลง และไม่สามารถค้าขายได้ นี่คือสิ่งที่ผู้ประกอบการเป็นห่วง ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์นอกจากจะพูดคุยในเรื่องการตลาดแล้ว ได้มีการหารือกับศุลกากรจีน ที่ด่านมู่หาร เบื้องต้นร้องขอให้มีการขยายระยะเวลาในการปิดด่านเพิ่มขึ้น ซึ่งทางศุลกากรจีนดังกล่าวยืนยันว่าจะมีการขยายเวลาให้ จากปิด 17.30 น. เป็น 20.30 น. และจะมีการเพิ่มคนและห้อง lab จาก 3 ห้องเป๋น 5 ห้อง ทั้งหมดนี้คือการประสานงานเบื้องต้นแต่ทางไทยก็ยังเป็นห่วงอยู่
นายนภินทร ยังระบุว่า นอกจากนี้ยังพูดคุยกับศุลกากรจีนในหลายด่าน พบว่าทางการจีนตรวจสอบแล้ว ไม่พบสาร BY2 และสารแคคเมียม ดังนั้นจึงได้มีการร้องขอ ให้ทำความเห็นการตรวจสาร ส่งไปยังศุลกากรจีนที่ปักกิ่ง ที่เป็นรัฐบาลกลางที่มีความเห็นว่าการตรวจดังกล่าวควรจะลดลงจาก 100% เหลือ 30% ดังนั้นขอให้เชื่อมั่นในมาตรฐานของสินค้าไทย ซึ่งศุลกากรของจีนทั้งสี่จุด จะรีบทำความเห็นไปยังศุลกากรจีนณกรุงปักกิ่ง และให้มีการผ่อนปรนมาตรการดังกล่าว ถือเป็นการหารือในเบื้องต้น และ กระทรวงพาณิชย์มอบหใายให้กระทรวงการค้าระหว่างประเทศ ที่ประจำกรุงปักกิ่งติดตามเรื่องนี้ต่อไป
ขณะเดียวกันก็จะมีการเชิญเอกอัครราชทูตจีนมาหารือ เพื่อให้มาตรการดังกล่าวขับเคลื่อนได้ รนระยะเวลาการส่งออก และเพิ่มปริมาณการส่งออกทุเรียน อย่างรวดเร็วและมีราคาที่ดี ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรขายทุเรียนได้เป็นอย่างดี ส่วนผลไม้ชนิดอื่นๆของไทย ประเทศจีนยังไม่ได้มีการกำหนดตรวจสารที่เพิ่มขึ้น คาดว่าเป็นไปตามระเบียบเดิมที่ต้องมีการส่งตรวจร้อยละ 30 ดังนั้นมองว่าไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ แต่สิ่งสำคัญคือต้องแก้ไขการตรวจสารของทุเรียน พร้อมกันนี้ ตนเองได้ให้ความเชื่อมั่นว่า ประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ทำงานร่วมมือกันอย่างดี โดยสิ่งที่ทำคือ จะควบคุมคุณภาพทุเรียน 4 ไม่ 1.ไม่อ่อน มีมาตรฐานสินค้า 2. ไม่มีวัชพืช 3.ไม่มีสวมสิทธิ์เอาสินค้าประเทศอื่นมา และ 4. ไม่มีสารตกค้าง ซึ่งจากการหารือทางจีนก็พอใจ
นอกจากนี้ นายนภินทร ระบุว่ามาตรการของไทยน่าจะสามารถผลผลิตทุเรียนของไทย ย้ำว่าจะมีการหารือเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้กระทบกับทุเรียนในไทย เพราะถือเป็นการส่งออกพืชพืชผลทางการเกษตรที่มีมีราคาเป็นอันดับหนึ่ง นิยมและคนจีนนิยมบริโภคทุเรียนจากไทย ซึ่งบางบริษัทจะระบุว่าจะรับไม่อั้น.-315.-สำนักข่าวไทย