“ภูมิธรรม” ชี้ “กัณวีร์” พลาดเปิดประเด็นอุยกูร์ ไม่หาข้อเท็จจริง

รัฐสภา 24 มี.ค.- “ภูมิธรรม” ชี้ “กัณวีร์” พลาดที่เปิดประเด็นอุยกูร์ โดยไม่ค้นหาข้อเท็จจริง เพ้อฝัน และจินตนาการ ถือเป็นนักโกหกตัวยง ย้ำรัฐบาลยึดหลักการไม่เลือกข้างประเทศใด แต่เลือกข้างประเทศไทยแก้ปมอุยกูร์ ขณะที่ “กัณวีร์” โต้ ข้อมูลชาวอุยกูร์ที่ได้มาจากหน่วยงานรัฐ ไม่ได้จินตนาการเอง


นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจง ภายหลัง นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม อภิปรายถึงประเด็นการส่งกลับชาวอุยกูร์ไปยังประเทศจีน ว่า การส่งชาวอุยกูร์กลับไปประเทศจีนและกล่าวหาว่าเป็นการเล่นละครอย่างนั้นอย่างนี้ ตนขอใช้คำพูดของอดีตรองนายกฯว่า “ท่านเป็นนักโกหกตัวยง” ตนมีเรื่องมาหักล้าง อย่าหาว่าตนมากล่าวเลือนลอย สิ่งที่นายกัณวีร์พูดเข้าใจได้ว่าไร้ประสบการณ์และไม่เคยบริหารประเทศ และพยายามจะพูดหลายเรื่องเพื่อแสดงออกโดยไม่คำนึงถึงว่าผลประโยชน์ของประเทศและความมั่นคงของชาติ จะต้องต้องใช้ความระมัดระวัง ใช้แต่จินตนาการ พูดแล้วเหมือนไม่รักประเทศ และจินตนาการต่อไปเรื่อยโดยนำสิ่งเหล่านี้มาวิจารณ์คนอื่นว่า เป็นนักต้มตุ๋นและเป็นนักแสดง ซึ่งทั้งหมดถ้าชี้นิ้วมาที่ตน ทั้งหมดก็จะกลับไปหาตัวท่าน

นายภูมิธรรม กล่าวว่าปัญหาชาวอุยกูร์เป็นปัญหาที่ตกค้างมานานมากและมีความผิดเรื่องของการเข้าประเทศผิดกฎหมาย โทษสูงสุด คือสองปี แต่รัฐบาลไทยที่ผ่านมายังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จึงได้ขังมา 11 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดหลักมนุษยธรรม แต่ปัญหาของประเทศไทยคือเราอยู่บนทางสองแพ่ง ซึ่งล้วนแต่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสิ้น รัฐบาลที่ผ่านมาจึงไม่กล้าตัดสินใจโดยแท้ แต่รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่อาสาเข้ามาหลายเรื่องที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ตนไปดำเนินการ ว่าให้รีบหาทางออกให้ให้ได้ อย่าปล่อยให้รัฐบาลนี้ต้องเผชิญว่า รัฐบาลนี้เข้ามาโดยไม่ทำอะไร


“อุยกูร์เป็นเรื่องที่เราต้องจัดการให้เพราะเรามีกฎหมายทรมานอุ้มหาย เพราะฉะนั้นการที่ขังเขาเกินกว่าที่เขาได้รับคือสองปี ถ้าสารภาพอาจจะเหลือหนึ่งปี หรือครึ่งปี แต่เราเอาเขามา 11 ปี ผมเศร้าใจนะ บางคนพูดว่าทำไมไม่เก็บเขาไว้ในคุก แล้วเอาไปต่อรองกับอเมริกา เป็นคำพูดที่ไม่เห็นความเป็นมนุษย์ของคนเลย เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่อยู่ในพรรคของพวกท่านนี่แหละ ท่านอย่ามองคนอื่นเป็นสินค้า ต้องมองให้เห็นความเป็นมนุษย์ของเขาจริงๆไม่ใช่ปากพูดแต่มนุษย์แต่วิธีปฏิบัติไปได้เรื่อยๆไม่ได้คำนึงถึงอะไร” นายภูมิธรรม กล่าว

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า เรื่องชาวอุยกูร์เรามีทางเลือกอยู่ 3 ทาง คือทางแรก ขังเขาต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรและต้องหาทางออกให้เขา เพราะแม้จะปฏิบัติดีอย่างไรก็ตาม แต่ก็ทรมาน การอยู่ในคุกและอยู่ในกรงขัง ห่างจากบ้านเมือง ท่านไม่เคย อยู่ในสภาพนี้ เพราะฉะนั้นไม่รู้หรอกว่าคนที่เผชิญกับความจริงเป็นอย่างไร ได้แต่นั่งจินตนาการ ทางที่สองคือส่งไปประเทศที่สาม ตนขอถามว่า ถ้าชาวอุยกูร์เป็นเรื่องความสำคัญด้านสิทธิมนุษยชนจริงๆ ทำไมไม่มีใครขอเค้ากลับไป และไม่มีใครให้สิทธิผู้ลี้ภัยกับเขา แม้องค์การระหว่างประเทศก็ไม่ไยดีเลย ถ้าให้สถานะเป็นผู้ลี้ภัย รัฐบาลไทยก็จะจัดการได้ง่ายขึ้น ซึ่งมีแต่คนพูด แต่ไม่ดูความเป็นจริงว่าทำได้อย่างไร บอกว่ายินดีจะรับ แต่จดหมายที่เป็นทางการอย่างที่พึงกระทำไม่เคยมี ดังนั้นการไปประเทศที่สามเป็นเรื่องการเพ้อฝันของหลายคน ส่วนที่สามคือเป็นเรื่องที่ต้องส่งไปให้กับประเทศเจ้าของ ซึ่งบางคนบอกว่าไม่ใช่ชาวจีนและบางคนบอกมีหลักฐานว่าเป็นชาวตุรกีนั้น เป็นการโกหก ตนมีหลักฐานทั้งหมดว่าทั้ง 40 คนเป็นคนจีน ถ้าอยากเจอ ก็ไม่มีปัญหา พบกันได้ เอาหลักฐานมาเปิดให้ดูต่อหน้าสื่อมวลชน

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเราไม่เคยสบายใจ เอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ มีความห่วงใย และตนได้ชี้แจงเรื่องราวทั้งหมด ก็มีความเข้าใจ ถือว่ามีวุฒิภาวะและเป็นตัวแทนรัฐบาล แม้ว่าจะชอบใจหรือไม่ชอบใจอะไรก็ตาม แต่ยืนอยู่บนข้อเท็จจริงและความเป็นจริง ไม่ใช่ยืนอยู่บนจินตนาการฝันไปเรื่อยๆ และคิดไปเรื่อย จริงๆต้องหันกลับไปดูตัวเองให้มากว่า คนมีปัญหาคือใคร” นายภูมิธรรม กล่าว


นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรารู้ว่าการส่งกลับจีนในแง่สิทธิมนุษยชนนั้นมีคนเป็นห่วง เพราะข้อกฎหมายบอกได้ว่าถ้าส่งกลับและทุกข์ทรมาน เราไม่สมควรส่ง นั่นจึงเป็นที่มาที่เราดำเนินการในหลายเรื่อง โดยการขอให้จีนออกจดหมายรับรองอย่างเป็นทางการของรัฐบาล Diplomatic Note ท่านคงไม่ได้จบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ท่านไม่รู้หรอกในวงการทูต Diplomatic Note คือสาระสำคัญที่เป็นจดหมายสำคัญของประเทศ และถ้าประเทศจีน ยืนยันและส่งหลักฐานเช่นนี้มา ถ้าไม่รับ ท่านก็อย่าไปมีความสัมพันธ์กับเขาเลย ถ้าท่านคิดว่าประเทศที่มีความสัมพันธ์ด้วยเป็นประเทศมหาอำนาจ เอาหนังสือยืนยันว่าจะไม่ทำร้าย ไม่เช่นนั้นจะมีความสัมพันธ์ไปทำไม และนอกจากนี้จีนยังดำเนินการอีกหลายๆอย่าง

”นายกรัฐมนตรีของไทยไปพูดคุยกับผู้นำของจีนและผู้นำระดับสูงหลายคนของจีน ได้พูดกับนายกรัฐมนตรีว่าอยากแก้ไขปัญหา รับประกันไม่ต้องกังวล จะทำดีที่สุด ไม่ให้เกิดอันตราย และไม่จับเข้าคุก ถ้าท่านฟังแบบนี้คิดว่าในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีไปคุยกับผู้นำประเทศที่เป็นประเทศมหาอำนาจหนึ่ง ท่านจะเชื่อฟังได้หรือไม่ แต่ตนว่าท่านไม่รู้หรอก เพราะท่านไม่เคยเป็นรัฐบาล เคยเป็นแต่ฝ่ายค้าน และพูดแต่เรื่องวิจารณ์เอาจินตนาการมาด่าคนอื่น“ นายภูมิธรรม กล่าว

นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราวางระบบกลไกไว้ 5 ประการคือ 1.การตกลงใจของเราอยู่บนอำนาจพื้นฐานการมีอำนาจอธิปไตยของไทย 2.เป็นไปตามกรอบกฎหมายภายในประเทศ 3. คำนึงถึงผลประโยชน์ของไทยในกรอบของมิติความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ และความมั่นคงแห่งชาติ 4.เป็นไปตามหลักการเรื่องสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะหลักการที่จะไม่ส่งคนไปในที่อันตราย รวมทั้งพันธะกรณีของไทยตามหลักการที่จะไม่ส่งคนไปทรมานหรือการที่ถูกทำให้สูญหาย และ 5.เป็นการพิจารณาโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยความรอบคอบ

“ท่านไม่เคยคิดจะเข้าใจ ความคิดความต้องการของคนอื่น สิ่งที่เป็นความตั้งใจของรัฐบาล ท่านคิดแต่ตัวเอง หมกมุ่นแต่ตัวเอง สนใจแต่เรื่องตัวเอง” นายภูมิธรรม กล่าว

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินการไปตามหลักการ พร้อมย้ำว่าประเทศไทยไม่ได้เลือกข้างใด แต่เป็นการเลือกประเทศไทย ให้ยืนอยู่ได้และไม่เกิดปัญหาตกค้าง รวมทั้งพยายามให้มหาอำนาจอดทนอดกลั้น แก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี

พร้อมย้ำว่าการแก้ปัญหาเรื่องนี้ต้องใช้ระยะเวลาการพูดคุยกันหลายฝ่าย เพื่อให้ประเทศชาติหลุดพ้นจากความขัดแย้งเหล่านี้ และจากเสียงสะท้อนในสังคมออนไลน์ ก็สนับสนุนแนวทางของรัฐบาล

ทั้งนี้นายกัณวีร์ โกหกหลายเรื่อง ซึ่งจากการเดินทางไปมณฑลซินเจียงอุยกูร์ที่ผ่านมา ได้เห็นข้อเท็จจริงด้วยตา และพาสื่อมวลชนร่วมเดินทางไปพิสูจน์ความจริง ซึ่งในช่วง 2 วันได้พบชาวอุยกูร์ 12 ใน 40 คน ทุกคนต้องการเลือกอนาคตตนเอง และอยากอยู่อย่างสงบ

พร้อมอ้างถึงข้อมูลชาวมุสลิมในอุยกูร์ว่า เป็นมุสลิมแนวปฏิรูปและสุภาพสตรีสามารถเดินคล้องแขนสุภาพบุรุษได้ ไม่เหมือนกับมุสลิมทั่วไป

โดยย้ำว่าไม่กลัวความจริง เพราะพูดด้วยความจริงทั้งหมด และยอมรับว่ารู้สึกผิดหวังที่คิดว่าจะได้เห็นคนรุ่นใหม่ แต่กลับคิดแค่เกมการเอาชนะ โดยนายกัณวีร์ถือว่าพลาด ที่มาพูดเรื่องชาวอุยกูร์โดยไม่ ค้นหาข้อเท็จจริง และควรเก็บเป็นบทเรียนและทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์

ขณะที่นายกัณวีร์ ขอใช้สิทธิ์ชี้แจงโต้ข้อกล่าวหาเป็นนักโกหก ว่า แม้ไม่เคยบริหารประเทศ แต่เคยบริหารองค์กรระหว่างประเทศ และ ข้อการกล่าวหาว่าไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ขอบอกว่า จบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมา และทำงานในองค์กรระหว่างประเทศก่อนหน้านี้พร้อมย้ำว่าไม่ได้จินตนาการเรื่องประเทศที่ 3 ขอรับชาวอุยกูร์ แต่ได้ข้อมูลมาจากกระทรวงการต่างประเทศ .-315-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดรายชื่อทหาร 3 นาย บาดเจ็บ เหยียบกับระเบิด

สุรินทร์ 27 ส.ค.-เปิดรายชื่อทหาร 3 นาย ที่ได้รับบาดเจ็บ เหยียบกับระเบิด บริเวณเนิน 350 ใกล้ปราสาทตาควาย ขณะออกลาดตระเวน เมื่อวันที่ 27 ส.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากการที่ หน่วยทหารจาก พัน.ร.22 ได้จัดกำลังพลออกลาดตระเวนระหว่างฐานปฏิบัติการ บริเวณหน้าบังเกอร์ 11-12 ด้านทิศตะวันตกของปราสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ได้เหยียบกับระเบิดแสวงเครื่องชนิด PMN-2 ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ได้แก่ 1.พลทหาร อดิสร ป้อมกลาง สังกัดสนาม มว.3 ร้อย.ร.221 บาดเจ็บข้อเท้าขวาขาด ขณะนี้อยู่ระหว่างลำเลียงทางอากาศจาก รพ.พนมดงรัก ไปยัง รพ.สุรินทร์ พร้อมชุด Sky Doctor2.จ.ส.อ. ณัฐพงศ์ สีชิน สังกัดสนาม มว.3 ร้อย.ร.221 ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่แผ่นหลัง อาการบาดเจ็บเล็กน้อย ส่งกลับเข้ารับการรักษาที่ รพ.พนมดงรัก3.พลทหาร ธรรณ์ณธร เทากระโทก สังกัดสนาม มว.3 […]

มทภ.2 ประณามกัมพูชา หลังทหารไทยเหยียบกับระเบิด

กทม. 27 ส.ค.- มทภ.2 ประณามกัมพูชา ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง-อนุสัญญาออตตาวาไม่หยุด หลังทหารไทยเหยียบกับระเบิดข้อเท้าขาด 1 นาย ชี้ทุ่นระเบิดมีโครงสร้างพลาสติก เครื่องตรวจหาไม่เจอ เมื่อวันที่ 26 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวประณามกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและอนุสัญญาออตตาวา ต่อเนื่อง หลังวันนี้ เวลาประมาณ 15.45 น. เกิดเหตุ พลทหาร อดิศร ป้อมกลาง สังกัด กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 23 เหยียบกับระเบิด ขณะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เบื้องต้นได้รับบาดเจ็บ บริเวณขาขวาท่อนล่างขาด หน่วยในพื้นที่ได้เข้าดำเนินการช่วยเหลือ และนำส่งเพื่อรับการรักษาแล้ว พล.ท.บุญสิน ระบุว่า เนิน 350 ปราสาทตาควาย เป็นพื้นที่ที่ทหารกัมพูชาวางกำลังหนาแน่น และมีทุ่นระเบิดรอบพื้นที่ โดยวันนี้ทหารไทยออกลาดตระเวน ซึ่งเครื่องตรวจวัตถุระเบิดตรวจหาไม่เจอ เนื่องจากทุ่นระเบิดดังกล่าวโครงสร้างเป็นพลาสติก คาดเป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่ เบื้องต้นได้ทำหนังสือประท้วงไปทางฝ่ายกัมพูชาแล้ว และเตรียมกำหนดแผนทางการทหารต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

“อดีต ผอ.ขนมจีนน้ำปลา” นอนคุก 20 ปี 60 เดือน หลังศาลฎีกายกคำร้องลดโทษ

สุราษฎร์ธานี 27 ส.ค. – ศาลฎีกายกคำร้องลดโทษ ปิดคดีอดีต ผอ.โรงเรียนบ้านท่าใหม่ จ.สุราษฎร์ธานี ปมให้เด็กอนุบาลกินขนมจีนราดน้ำปลา หลังสู้นาน 5 ปี สุดท้ายรับโทษจำคุก 20 ปี 60 เดือน นายสุชาติ กรวยกิตานนท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ภาค 8 เป็นประธานแถลงผลคดีที่กล่าวหาอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าใหม่ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ทุจริตเงินอุดหนุนค่าอาหารกลางวันนักเรียนของโรงเรียนบ้านท่าใหม่ ให้เด็กอนุบาลกินขนมจีนราดน้ำปลา และจัดทำเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการจัดซื้อวัสดุเครื่องบริโภคเพื่อประกอบอาหารกลางวันเป็นเท็จ ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2563 และได้ส่งไปให้อัยการสูงสุด ฟ้องผู้ถูกกล่าวหาต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 และมีคำพิพากษาให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด รวม 77 กระทง จำคุก 192 ปี 6 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุก 50 ปี ซึ่งอดีต ผอ.คนดังกล่าว ได้ยื่นอุทรณ์ขอลดโทษ ภายหลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน […]

ยังไม่พบผู้เสียหายและทำผิดกฎหมาย จากกรณีสแกนม่านตาแลกรับเงิน

ทำเนียบ 27 ส.ค.-รองโฆษกรัฐบาล เผยตรวจสอบล่าสุดยังไม่พบผู้เสียหายและทำผิดกฎหมาย จากกรณีสแกนม่านตาแลกรับเงิน เตือนประชาชนอย่าประมาท นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีที่ได้ระบุถึงจากข้อมูลของสภาองค์กรของผู้บริโภคที่มีการรายงานว่าพบการชักชวนให้ประชาชนสแกนม่านตาแลกรับเงิน 500-1,000 บาท ในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย โดยอ้างถึงว่าจะไปแลกเหรียญคริปโต ซึ่งผู้ที่สแกนม่านตาจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินรายละ 1,000 บาท ภายใน 24 ชั่วโมง ขณะที่ผู้แนะนำสมาชิกจะได้รับเงิน 500 บาทต่อราย สูงสุดไม่เกิน 10 ราย ล่าสุดมีความคืบหน้าว่า สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) ตรวจสอบของตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า การดำเนินงานของผู้ให้บริการในปัจจุบันถูกต้องตามกฎหมาย และคล้ายกับการดำเนินการในหลายประเทศ ในปัจจุบัน และได้มีการเตรียมประสานกระทรวงดีอีและหน่วยงานอื่นหามาตราการควบคุมข้อมูลอ่อนไหว และยังไม่พบผู้เสียหายหรือกระทำผิดกฎหมาย ทั้งนี้หากพบการละเมิดหรือนำข้อมูลไปใช้ในทางมิชอบ จะดำเนินคดีทันที นายอนุกูล กล่าวว่า เพื่อสร้างความตระหนักรู้เท่าทันต่อความสำคัญของความปลอดภัยที่เหมาะสม รัฐบาลขอย้ำว่า ข้อมูลส่วนบุคคลทางชีวภาพ ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลขั้นสูงสุด การยินยอมให้เก็บ หรือสแกนจึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความเสี่ยง ดังนี้ 1. การรั่วไหลของข้อมูล หากข้อมูลรหัส Iris Code […]

ข่าวแนะนำ

กั้นแนวถนนบ้านหนองจาน ตามประกาศเคอร์ฟิว

สระแก้ว 27 ส.ค. – มวลชนชาวไทยร่วมร้องเพลงชาติ ที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว เมื่อเวลา 18.00 น. จากนั้นทหารขอความร่วมมือให้ออกนอกพื้นที่ ตามประกาศเคอร์ฟิว ก่อนนำลวดหนามและเครื่องกีดขวาง กั้นแนวขอบถนนศรีเพ็ญ ห้ามผู้ใดข้ามไป เพื่อความปลอดภัย. – สำนักข่าวไทย

ดินถล่มหมู่บ้าน อ.แม่แจ่ม ตาย 3 สูญหาย 6

เชียงใหม่ 27 ส.ค. – ฝนที่ตกหนักจากฤทธิ์ของพายุ “คาจิกิ” ทำให้เกิดดินถล่มในหมู่บ้านปางอุ๋ง ซึ่งอยู่บนดอยสูง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ มีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย บาดเจ็บ 15 ราย และยังสูญหายอีก 6 ราย สภาพหมู่บ้านเต็มไปด้วยดินโคลนที่ถล่มลงมาทับบ้านเรือนเสียหายนับร้อยหลัง. – สำนักข่าวไทย

“มาริษ” แจงข้าหลวงใหญ่ UN ปมกัมพูชา

สวิตเซอร์แลนด์ 27 ส.ค.-“มาริษ” เผยคุยรองข้าหลวงใหญ่ UN ปมไทย-กัมพูชา สัญญาณบวก เข้าใจไทยไม่ทำผิดกติการะหว่างประเทศ ไม่เห็นด้วย “ฮุน เซน” อัดเสียงคุยนายกฯ และการใช้สงครามข่าวปลอม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าพบหารือกับนางนาดา อัล-นาชิฟ (Nada Al-Nashif) รองข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพื่อแสดงข้อมูลหลักฐานและชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา นายมาริษ เปิดเผยภายหลังการหารือว่า ได้เล่าให้รองข้าหลวงใหญ่ฯ ฟังถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกัมพูชาในหลายประเด็น ซึ่งรองข้าหลวงใหญ่ฯมีความเห็นที่สนับสนุนประเทศไทยในหลายเรื่อง และมีท่าทีที่เป็นห่วงประเทศไทยมาก ซึ่งตนได้ชี้แจงข้อเท็จจริง โดยเฉพาะการที่กัมพูชาใช้โซเชียลมีเดียโจมตีไทยมานานแล้ว มีการให้ข้อมูลว่าไทยลอกเลียนแบบวัดและประวัติศาสตร์ของกัมพูชา ซึ่งไทยพยายามแก้ไขปัญหานี้ด้วยความอดทนอดกลั้น และพยายามชี้แจงให้เห็นว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่ก่อตั้งกันมาจากรากเหง้าทางวัฒนธรรมเดียวกัน ไทยต้องการแก้ไขปัญหาไม่ต้องการแสดงความร้าวฉานระหว่างชุมชนและ ประชาชนของทั้งสองประเทศ และเมื่อปัญหาคุกรุ่นมากขึ้นไทยก็พยายาม แก้ปัญหาด้วยการให้กัมพูชามาพูดคุยแบบทวิภาคี เป็นการอธิบายให้รองข้าหลวงใหญ่ฯ ได้เข้าใจว่าไทยปฏิบัติตามกติกา ยึดถือกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ และพยายามหาทางให้กัมพูชามาพูดคุยกับไทย ซึ่งไทยกับกัมพูชามีข้อตกลง MOU43 ที่ทั้งสองประเทศจะต้องแก้ปัญหาร่วมกันอย่างสันติวิธี และด้วยความจริงใจ นับเป็นกลไกที่องค์การสหประชาชาติให้ความสำคัญ คือการเจรจาทวิภาคีโดยสันติและจริงใจ โดยไทยยึดมั่นมาโดยตลอด และเป็นเป้าหมายที่สำคัญของไทย นายมาริษ กล่าวว่าตนได้หยิบยกประเด็นที่สมเด็จฮุน เซน อัดเสียงพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีของไทย และนำมาเผยแพร่ในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง […]

“ทิดอลงกต-หมอบี” นอนคุก ศาลไม่ให้ประกันตัว

ศาลอาญาฯ 27 ส.ค. – “ทิดอลงกต-หมอบี” นอนคุก ศาลไม่ให้ประกันตัว เหตุคดีมีอัตราโทษสูง และมีทรัพย์สินมูลค่าความเสียหายสูง พนักงานสอบสวน กองกำกับการ 5 กองบังคับการป้องกันปราบปราม ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ขอฝากขังครั้งแรก พระราชวิสุทธิประชานาถ หรือนายอลงกต พูลมุข ผู้ต้องหาที่ 1 และนายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล ผู้ต้องหาที่ 2 ความผิดกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยินยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าโดยทุจริต, ฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ความผิดกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 2 ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่รักษาทรัพย์ใดฯ, เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ, ฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอนุญาตให้ฝากขัง 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค.- 7 ก.ย.นี้ โดยผู้ต้องหาที่ 1 ไม่ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นนี้ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 […]