“จิราพร” แถลง​ปราบบุหรี่ไฟฟ้า​ โชว์ยอดยึดพุ่ง​ 1.2 ล้านชิ้น

ทำเนียบ 19 มี.ค.- “รมต.จิราพร” นำแถลง​คืบปราบบุหรี่ไฟฟ้า​ โชว์ผลงาน​ 2 สัปดาห์เศษ​ ยอดยึดพุ่ง​ 1.2 ล้านชิ้น​ มูลค่า​ 231 ล้านบาท​ ก่อนรายงานนายกฯ​ 27 มี.ค.นี้​ ลั่น​บังคับใช้กฎหมายเข้มข้น​ ด้านศุลกากร ยันตรวจยึดได้ไม่มีระงับคดี​เด็ดขาด พร้อมส่ง ปปง.สืบยึดทรัพย์​ทันที


นางสาวจิราพร​ สินธุไพร​ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี​ พร้อมด้วย​ พลตำรวจโท​ อัครา​เดช พิมลศรี​ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายวรณัฏฐ์​ หนูรอต ที่ปรึกษาด้านการปกครองกระทรวงมหาดไทย​ นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมการกรมศุล​กากร นายกมลสิษฐ์​ วงศ์บุตรน้อย​ รองเลขาธิการ​คณะกรรมการ​ป้องกัน​และ​ปราบปราม​การ​ฟอกเงิน​ นางสาวทรงศิริ จุมพล​ รองเลขาธิการ​คณะกรรมการ​คุ้มครอง​ผู้บริโภค​ ร่วมการแถลงข่าว​ ภายหลังการประชุมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า

โดย นางสาวจิราพร ระบุว่า​ จากข้อสั่งการ​ของนายกรัฐมนตรี​ในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า​ ได้มีการแบ่งการทำงานเป็น 3 ส่วน ในระยะเร่งด่วน เพื่อปูพรมการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า เน้นพื้นที่ชายแดน​ โดยเฉพาะพื้นที่รับผิดชอบของกรมศุลกากร ซึ่งมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น โดยจะไม่มีการระงับคดีและส่งต่อไปยังตำรวจสอบสวนกลาง​ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน​ (ปปง.​) เพื่อสืบเส้นทางการเงินเพื่อยึดทรัพย์


ส่วนการปราบปรามร้านค้า ร้านที่มีที่ตั้งและออนไลน์ด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค​ (สคบ.) กระทรวงมหาดไทย​ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อ​เศรษฐกิจ​และ​สังคม​ (ดีอี​)ได้ทำงานร่วมกันอย่างเข้มข้น โดยหาก จับกุมกรณีที่มีของกลางมูลค่า เกินกว่า 500,000 บาท​ จะส่งไปยังปปง. หากต่ำกว่า 500,000 ทางตำรวจจะสืบทรัพย์และส่งต่อปปง.​เพื่อดำเนินการ ส่วน กระทรวงดีอี สามารถปิดกั้นเพจและเว็บไซต์ต่างๆได้แล้วกว่า 9,500 กว่าเพจ

ขณะเดียวกันยังสร้างความตระหนักรู้ เรื่องโทษของบุหรี่ไฟฟ้าและข้อกฎหมายควบคู่กัน ให้กับประชาชน​ รวมไปถึงเน้นที่สถานศึกษา เพราะนายกรัฐมนตรี​ มีความห่วงใยไม่อยาก ไม่อยากให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าโดยง่าย โดยใช้กลไกที่มีอยู่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาว ต้องนำข้อกฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาทบทวน​ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวถึง ความคืบหน้ามาตรการเร่งด่วนโดยเฉพาะการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าและกวาดล้าง นับจากวันที่นายกรัฐมนตรี​มีข้อสั่งการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อ​25 กุมภาพันธ์​ ได้เริ่มดำเนินการทันที​ โดยมียอด​26 กุมภาพันธ์​ – 18 มีนาคม​ ยอด การจับกุมดำเนินคดี​ 1,741 คดี​ ผู้ต้องหา 1789 คน​ จำนวนของกลาง 1, 285,024 ชิ้น​ มูลค่า​ 231,881,074 บาท​


นอกจากนี้นางสาวจิราพร​ ยังระบุอีกว่า​ มีการยกระดับการทำงานที่เข้มข้น​ ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี มีการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่เข้ามาจัดการ โดยเฉพาะมีส่งข้อมูลไปยัง​ ปปง.เพื่อสืบเส้นทางการเงินและขยายผลการจับกุมไปถึงต้นตอรายใหญ่​ นอกจากนี้ยังมีช่องทางการแจ้งเบาะแสส่วนต่างๆแล้ว มีการพัฒนาแพลตฟอร์มให้ประชาชนสามารถแจ้งผ่านทางแอปพลิเคชั่นทางรัฐ​ ที่พัฒนาร่วมกันกับกระทรวงดีอี

นางสาวจิราพรกล่าวต่อว่า​ หลังจากการดำเนินการปราบปรามอย่างเข้มข้นจะรายงานนายกรัฐมนตรี​ตามที่ได้รับมอบหมาย​ 30 วัน​ หรือ​ ในวันที่27 มีนาคม​ 2568 ซึ่งต้องขอบคุณทุกหน่วยงานที่ทำงานอย่างเข้มข้นเหลือเวลาอีก 1 สัปดาห์ ในการส่งรายงานให้กับนายกรัฐมนตรี ถึงสถิติการจับกุม อุปสรรคและข้อปัญหาต่างๆที่จะมีการแก้ไขปัญหาทางระยะสั้นและระยะยาว

ด้านพลตำรวจโท​ อัครา​เดช กล่าวถึง การจับกุมผู้นำเข้าจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า โดยผลปฏิบัติการตั้งแต่ปี 67 มีการจับกุมไปกว่า 1,400 กว่าราย ของกลางกว่า 1,600,000 ชิ้น มูลค่าการจับกุม 300 กว่าล้านบาท และในปี 2568 ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงปัจจุบันมีการจับกุมกว่า 1,800 ราย ของกลางกว่า 1,400,000 ชิ้น แต่ไฮไลท์อยู่ในช่วงที่รัฐบาลดำเนินการเข้มงวด กวดขัน ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์จนถึงวันที่ 18 มีนาคม ได้มีการจับกุมไปแล้วกว่า 1,700 ราย ของกลางกว่า1 ล้านชิ้น ซึ่งเป็นการจับกุม รายใหญ่ถึง 24 ราย ของกลาง1,200,000 ชิ้นซึ่งมูลค่าของกลางคำนวณได้กว่า 248 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการจับกุมในปี 67 เราจับกุมได้ขึ้นกว่า 468 ราย

พลตำรวจโทอัคราเดช ย้ำว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อสุขภาพและผิดกฎหมายมีส่วนผสมหลายอย่างที่ไม่ควรนำมาใช้ในประเทศไทยและอีกข้อกฎหมายที่อยากจะแนะนำที่มีการนำไปใช้และเผยแพร่ ขายหรือจำหน่าย มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 600,000 บาท ,ครอบครองรับฝาก มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 4 เท่าของราคาประเมิน, นำเข้าหรือผลิต จำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับ 5 เท่าของราคาประเมิน สูบบุหรี่ไฟฟ้าในเขตปลอดบุหรี่ ปรับ 5,000 บาท

ขณะที่อธิบดีกรมการกรมศุล​กากร กล่าวว่า ศุลกากรเป็นเหมือนด่านหน้าในการดูแลเรื่องสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศยอมรับว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ไม่ได้ผลิตในเมืองไทย เพราะฉะนั้นสินค้าที่มีการขายกันอยู่ต้นทางมาจากต่างประเทศ ส่วนกลไกของกรมศุลกากรถือว่ามีความสำคัญในการควบคุม ซึ่งมาตรการที่ทำอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสินมาจนถึงข้อสั่งการของ นางสาวแพทองธาร นำระบบข้อมูลบัญชีสินค้า มาขยายผลเชื่อมโยงข้อมูลผู้นำเข้าและประเทศต้นทาง

อีกหนึ่งมาตรการคือการตรวจสอบทางกายภาพในทุกการขนส่งสินค้าทางเรือ ที่มีความเสี่ยงในการนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย บุหรี่ไฟฟ้ารวมถึงสินค้าอื่นที่เป็นของต้องห้าม และของ ต้องจำกัดการนำเข้าทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศโดยจะมีสัดส่วนการเปิดตรวจทางกายภาพ ซึ่งในกรณีของบุหรี่ไฟฟ้ามีการเพิ่มสัดส่วนการเปิดตรวจเข้มข้นในระดับสูงสุด

สำหรับมาตรการตามแนวชายแดน และตามลำน้ำ พบว่าจะมีการลักลอบเข้ามาตามบริเวณแนวด่านชายแดน และจะมีการคุยกับศุลกากรประเทศต้นทางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ซึ่งหากมีข้อมูลจะสามารถระบุเป้าหมายได้

อธิบดีกรมศุลกากร ยืนยันว่าจะไม่มีการตกลงยอมความระงับคดีในชั้นศุลกากรโดยเด็ดขาด และจะมีการดำเนินคดีสูงสุดในทุกกรณี พร้อม ดำเนิน มาตรการเชิงรุก ตรวจโกดังสินค้า และสถานที่ทำการ ไปรษณีย์รวมถึงบริษัทขนส่งเอกชน โดยมีการขอหมายศาล เข้าตรวจค้น ซึ่งเป็นมาตรการที่เริ่มดำเนินการแล้ว .-316 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

รถทัวร์โดยสารชนท้ายเทรลเลอร์ เสียชีวิต-บาดเจ็บจำนวนมาก

รถทัวร์โดยสารชนท้ายรถบรรทุกเทรลเลอร์ บนถนนสาย 304 จังหวัดปราจีนบุรี ทำให้ไฟลุกไหม้รถทัวร์โดยสาร เบื้องต้นมีรายงานผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

ชาวบ้านยอมรับค่าเยียวยาหลังละ 1 หมื่นบาท จากเจ้าของที่ดิน

ชาวบ้านยอมรับการเยียวยา บ้านละ 1 หมื่นบาท จากเจ้าของที่ดินใน จ.ระยอง หลังถมที่สูงมิดหลังคาของเพื่อนบ้าน และรับปากจะเร่งแก้ไขให้ทันหน้าฝนที่จะถึงนี้ แต่ชาวบ้านยังหวั่นใจ หากแก้ไขไม่ทันก็ยังจะเดือดร้อน น้ำจะไหลลงมาบ้านที่อยู่ต่ำกว่า

“พีช” หอบเงิน 2 แสน หวังจ่ายค่ารักษาลุงป้า แต่ญาติชิงจ่ายแล้ว

“นายกเบี้ยว” พร้อมลูกชาย หอบเงิน 2 แสน หวังจ่ายค่ารักษาลุงป้า แต่ญาติชิงจ่ายก่อนแล้ว จึงฝากจดหมายขอโทษไว้ ด้าน “กัน จอมพลัง” ยอมถอย ให้สองฝ่ายพูดคุย แต่ต้องเป็นรูปธรรม

ข่าวแนะนำ

รวบทันควัน คนร้ายบุกเดี่ยวชิงเงินธนาคาร

จับแล้ว คนร้ายบุกเดี่ยวชิงทรัพย์ธนาคารกลางเมืองเชียงใหม่ ได้เงินสดกว่า 40,000 บาท ก่อนวิ่งหลบหนี ล่าสุดจนมุมตำรวจรวบตัวได้ที่ศาลาริมทางข้างถนน

โป๊ปฟรังซิส สิ้นพระชนม์แล้ว ขณะพระชนมายุ 88 พรรษา

สำนักวาติกัน แถลงผ่านทางโทรทัศน์ของสำนักวาติกันว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พระประมุขแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกและพระประมุขแห่งนครรัฐวาติกันสิ้นพระชนม์แล้วในวันนี้

Pope inaugurated the Holy Year on Christmas Eve on December 24, 2024

เปิดพระประวัติโป๊ปฟรังซิส

วาติกัน 21 เม.ย.- เว็บไซต์ข่าวโทรทัศน์ซีเอ็นบีซี (CNBC) ของสหรัฐ เปิดพระประวัติที่น่าสนใจ 10 ประการของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พระประมุขแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกและพระประมุขแห่งนครรัฐวาติกัน ที่สิ้นพระชนม์วันนี้ (21 เม.ย.68) ขณะมีพระชนมายุ 88 พรรษา ประการที่ 1 ทรงเป็นพระสันตะปาปาลาตินอเมริกันและเยสุอิตคนแรก สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส มีพระนามเดิมว่า ฮอร์เก มาริโอ เบร์โกกลิโอ ประสูติวันที่ 17 ธันวาคม 2479 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา เป็นพระสันตะปาปาลาตินอเมริกันคนแรกของพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก แตกต่างจากผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาเกือบ 200 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอิตาลี ทรงมาจากนอกทวีปยุโรปในฐานะพระสันตะปาปาพระองค์ที่ 266 และเป็นนักบวชคณะเยสุอิตคนแรกที่ขึ้นดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปา ประการที่ 2  ทรงมีพื้นเพมาจากอิตาลี แม้ว่าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสประสูติในอาร์เจนตินา แต่ท่านมีมรดกทางชาติพันธุ์จากอิตาลี จากการที่บิดามารดาเป็นผู้อพยพชาวอิตาลี บิดาทำงานเป็นนักบัญชีในทางรถไฟ ขณะที่มารดาอุทิศตนให้กับการเลี้ยงลูกทั้ง 5 คน ประการที่ 3 ทรงศึกษาด้านเคมีและปรัชญา สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสศึกษาปรัชญาและมีปริญญาโทในด้านเคมีจากมหาวิทยาลัยบัวโนสไอเรส ทรงศึกษาในโรงเรียนเทคนิคและได้ฝึกอบรมเป็นช่างเทคนิคเคมี ก่อนเข้าเรียนที่โรงเรียนสอนศาสนาแห่งอัครสังฆมณฑลบิญญา เดโวโต […]