กระทรวงท่องเที่ยวฯ 16 มี.ค.- ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยไม่ปล่อย เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงธุรกิจต่างด้าว หรือนอมินี ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ
นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่ากรณีข่าวอดีต ส.ส.ภูเก็ต จี้ตรวจสอบ “ธุรกิจต่างชาติ-นอมินี” ว่าปัจจุบันกระทรวงฯ ได้มีการดำเนินการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และกรณีนี้ได้สั่งการให้กรมการท่องเที่ยว ที่มีส่วนดูแลรับผิดชอบ ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ตรวจสอบข้อเท็จจริงและปรากฏข้อเท็จจริงสรุปดังนี้
กรมการท่องเที่ยว มีหน้าที่โดยตรงในการส่งเสริมและกำกับดูแลธุรกิจนำเที่ยวมัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยว ตาม พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2551 ซึ่ง พ.ร.บ ฉบับดังกล่าว ให้ความสำคัญกับคนไทย โดยกำหนดคุณสมบัติในการประกอบอาชีพไว้ ดังนี้ ธุรกิจนำเที่ยว ทั้งประเภทบุคคลธรรมดา ต้องมีสัญชาติไทยเท่านั้น ส่วนนิติบุคคลสัดส่วนกรรมการคนไทยต้องมากกว่าชาวต่างชาติเกินกึ่งหนึ่ง และจำนวนหุ้นชาวต่างชาติต้องไม่เกินร้อยละ 49 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และผู้มีอำนาจลงนามในกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนำเที่ยวต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้น ต่างชาติต้องไม่มีอำนาจ และมัคคุเทศก์ต้องมีสัญชาติไทยเท่านั้น
สำหรับการดำเนินการกับผู้มีพฤติกรรมเข้าข่ายการประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยใช้คนไทยเป็นตัวอำพราง หรือ นอมินี กรมการท่องเที่ยวได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจท่องเที่ยวโดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง ใช้ชื่อย่อว่า ศปต. ศูนย์ปฏิบัติการดังกล่าว มีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และกรมการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ยังเก็บบันทึกข้อมูลและติดตามพฤติกรรมผู้มายื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่มีความเสี่ยง ได้แก่ นิติบุคคลที่มีชาวต่างชาติกำกับและครอบงำการประกอบธุรกิจนำเที่ยวของบริษัท รวมถึงร่วมกับตำรวจท่องเที่ยวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจเยี่ยมกลุ่มบริษัทดังกล่าว เพื่อตรวจสอบการดำเนินธุรกิจ
สำหรับในกรณี จ. ภูเก็ต กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้ร่วมกับตำรวจท่องเที่ยวลงพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวที่นิยมของนักท่องเที่ยว เช่น วัดฉลอง เมืองเก่า แหลมพรหมเทพ เป็นต้น เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมชาวต่างชาติที่นำเที่ยวเอง รวมถึงบูรณาการข้อมูลกับสมาคมที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมมัคคุเทศก์ สมาคมผู้ประะกอบการธุรกิจนำเที่ยว เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์และลงพื้นที่ตรวจสอบผู้ที่มีความเสี่ยงในการกระทำความผิด
โดยผลการดำเนินการที่ผ่านมาภาพรวมทั่วประเทศ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบบริษัทนำเที่ยวที่อาจเข้าข่ายนอมินี 6 พื้นที่สำคัญ ในเชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา ชลบุรี หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี และกรุงเทพมหานคร และตรวจพบนิติบุคคลที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว แต่แอบเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจและเปลี่ยนแปลงสัดส่วนกรรมการและสัดส่วนผู้ถือหุ้น เป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติการประกอบธุรกิจนำเที่ยว นายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวฯ ได้เพิกถอนใบอนุญาตจำนวน 40 ราย ในปี พ.ศ. 2567 และตรวจพบว่าแอบเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นจนขาดความเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย นำส่งข้อมูลให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าสืบสวนขยายผลดำเนินคดี จำนวน 2 รายในพื้นที่ จ.ภูเก็ต นายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวฯ เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวฯ จำนวน 15 ราย โดยตรวจสอบพบว่าบริษัทธุรกิจนำเที่ยวรายหนึ่ง มีกรรมการเป็นชาวต่างชาติเท่ากับกรรมการคนไทย ซึ่ง 1 ใน กรรมการคนไทย มีชื่อในบริษัทอื่นอีกหลายบริษัท และมีคนไทยอีก 5 คน มีชื่อสลับกันเป็นกรรมการที่คนต่างชาติเป็นกรรมการ จึงส่งผลให้มีการเพิกถอนดังกล่าว และปัจจุบันหน่วยงานภายใต้ ศปต. อยู่ระหว่างขยายผลเพื่อพิจารณาดำเนินคดีความผิดฐานนอมินี 1 ราย
ทั้งนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯได้ดำเนินการร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งรัฐและเอกชน เพื่อให้ธุรกิจนำเที่ยวในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฏหมาย และมีมาตรฐานความปลอดภัยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล .314.-สำนักข่าวไทย