“ณัฐพงษ์” โต้แย้ง “ประธานสภา” ชี้ไม่มีอำนาจแก้ไขเนื้อหาญัตติ

กทม. 10 มี.ค.-“ณัฐพงษ์” ทำหนังสือด่วนที่สุด โต้แย้ง “ประธานสภา” ชี้ไม่มีอำนาจแก้ไขเนื้อหาญัตติ ได้แค่ตรวจสอบข้อบกพร่องเชิงรูปแบบ-ข้อเท็จจริง ยันข้อบังคับไม่ได้ห้ามเอ่ย “บุคคลภายนอก” งัดเอกสาร “วันนอร์” ในอดีต เคยระบุชื่อ “ซีพี” บอกแจ้งช้าเกินกำหนด 7 วัน จี้เร่งบรรจุเข้าระเบียบวาระ

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เรื่องข้อโต้แย้งหนังสือให้แก้ไขข้อบกพร่องญัตติ ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล กรณีใส่ชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ลงในญัตติ ว่า


ตามที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ขอให้ข้าพเจ้า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะ พิจารณาแก้ไขข้อบกพร่องญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยอ้างว่าญัตติดังกล่าวมีเนื้อหาระบุรายชื่อบุคคลภายนอก อันอาจทำให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย เนื่องจากไม่สามารถชี้แจงในที่ประชุมสภาได้ ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรอ้างว่ามีข้อบกพร่อง ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 นั้น

ข้าพเจ้า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะ ขอยืนยันว่าญัตติของข้าพเจ้าและคณะไม่มีข้อบกพร่องตามที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรอ้างแต่ประการใด ดังนี้


ข้อ 1 ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาวินิจฉัยว่าเนื้อหาของญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะตามมาตรา 151 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าสมควรมีเนื้อหาอย่างใดมิได้ เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้อำนาจแก่ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่าเนื้อหาของญัตติสมควรจะเป็นประการใด สมควรจะได้รับการบรรจุไว้ในระเบียบวาระการประชุมเพื่อเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะหรือไม่ หากแต่บทบัญญัติ ดังกล่าวกำหนดอำนาจผูกพันในการใช้อำนาจของประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ต้องเปิดให้มีการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะเท่านั้น

โดยหากรัฐธรรมนูญประสงค์กำหนดให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยถึงเนื้อหาของญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติ ไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ หรือมีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยว่าจะบรรจุไว้ในระเบียบวาระการประชุมเพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ

รัฐธรรมนูญจักต้องบัญญัติถ้อยคำที่แสดงถึงอำนาจในการใช้ดุลพินิจของประธานสภาผู้แทนราษฎรอย่างชัดแจ้ง เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 236 ที่บัญญัติให้อำนาจดุลพินิจแก่ประธานรัฐสภาในการพิจารณา เสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระเพื่อไต่สวนหาข้อเท็จจริงกรณีมีการเข้าชื่อกล่าวหา ว่ากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติผู้ใดกระทำการตามมาตรา 234(1) แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเมื่อมีการยื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภาพร้อมด้วยหลักฐานตามสมควรแล้ว


หากประธานรัฐสภา “เห็นว่า” มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำตามที่ถูกกล่าวหา จึงให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาได้

อีกทั้ง ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2562 ข้อ 176 มิได้ให้ อำนาจแก่ประธานสภาผู้แทนราษฎรในการใช้ดุลพินิจว่าเนื้อหาของญัตติควรจะเป็นอย่างไร หรือมีความ เหมาะสมหรือไม่ กล่าวคือ ข้อ 176 กำหนดให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบว่าญัตติมี “ข้อบกพร่อง” หรือไม่

ทั้งนี้ ข้าพเจ้าและคณะเห็นว่า คำว่า “ข้อบกพร่อง” ในข้อดังกล่าวมีเจตนารมณ์หมายถึงข้อบกพร่องที่ เป็นข้อผิดพลาดในเชิงข้อเท็จจริงหรือรูปแบบ เช่น มีรายชื่อผู้เสนอที่ไม่ครบตามเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนด ลายมือชื่อของผู้เสนอไม่ถูกต้องตรงกันกับลายมือชื่อจริง ระบุชื่อรัฐมนตรีที่ระบุในญัตติผิดพลาด ไม่ถูกต้อง หรือมีการอ้างถึงมาตราหรือข้อกฎหมายที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน ดังนั้น การที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรใช้อำนาจโดยอ้างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 โดยตีความในทางที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นการใช้และตีความกฎหมาย ที่ลุแก่อำนาจที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ได้กำหนดไว้ ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงและทำลายอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติในการควบคุมตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร

ข้อ 2 ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 มิได้มีข้อห้ามมิให้ระบุชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาญัตติ ดังนั้น การระบุชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาของญัตติของข้าพเจ้าและคณะ จึงไม่ได้มีลักษณะเป็นการกระทำผิดหรือฝ่าฝืนข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรแต่อย่างใด อีกทั้ง ในอดีตที่ผ่านมา ญัตติที่เสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร หลายญัตติก็มีการระบุชื่อของบุคคลภายนอก เช่น ญัตติด่วนของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ฉบับลงวันที่ 26 มิถุนายน 2562 เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษา ตรวจสอบการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) และการกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก

โดยในเนื้อหาของญัตติ ได้ระบุชื่อบุคคลอื่นซึ่งมิใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใด ได้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (CPH) รายละเอียดปรากฏตามสำเนาญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาตรวจสอบการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) และการกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย (1) และรวมถึงญัตติอื่น ๆ ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย (2)

อีกทั้ง ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 178 กำหนดให้การอภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดที่อาจเป็นเหตุให้บุคคลอื่น ซึ่งมิใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับความเสียหาย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้นั้นต้องรับผิดชอบผลแห่งการกระทำนั้นเอง เห็นได้ว่า ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 จึงไม่ได้มีบทบัญญัติห้ามมิให้ระบุชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาญัตติแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น หากบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับความเสียหายจากการอภิปรายหรือการกล่าวถ้อยคำในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร บุคคลนั้นมีสิทธิร้องขอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรภายในกำหนดเวลาสามเดือนนับแต่วันที่มีการประชุมครั้งนั้นเพื่อให้มีการโฆษณา คำชี้แจงได้ ตามข้อ 39 แห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และมาตรา 124 วรรคสาม แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อพิเคราะห์ตามเจตนารมณ์แห่งข้อบังคับการประชุมสภา ผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว เห็นได้ว่า ข้อ 39 แห่งข้อบังคับ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562และมาตรา 124 วรรคสาม แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยไม่ได้ห้ามการอภิปรายที่มีเนื้อหาพาดพิงถึงบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรหรือบุคคลภายนอก

ในทางตรงกันข้าม ข้อ 39 แห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และมาตรา 124 วรรคสาม แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สามารถถูกตีความเจตนารมณ์ได้ว่า การอภิปรายถึงบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือบุคคลภายนอกนั้น สามารถกระทำได้ เพียงแต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้อภิปรายนั้นจะต้องรับผิดชอบผลแห่งการกระทำเอง และ ประธานสภาผู้แทนราษฎรจัดให้มีการโฆษณาคำชี้แจงตามที่บุคคลนั้นร้องขอตามวิธีการและภายในระยะเวลา ที่กำหนดในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562

ข้อ 3 ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 กำหนดให้เมื่อประธานสภา ผู้แทนราษฎรได้รับญัตติตามข้อ 175 แล้ว ให้ทำการตรวจสอบ หากมีข้อบกพร่องให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร แจ้งผู้เสนอทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับญัตติ

ข้อเท็จจริงปรากฏว่า สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ สผ 0014/2559 ลงวันที่ 7 มีนาคม 2568 แจ้งถึงผลการพิจารณาญัตติของ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นได้ว่า การแจ้งข้อบกพร่องตามข้อ 176 ในหนังสือฉบับดังกล่าวนั้นไม่เป็นไป ตามกรอบระยะเวลาที่ข้อ 176 กำหนด จึงเป็นการแจ้งข้อบกพร่องที่ไม่ชอบด้วยข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562

ด้วยประธานสภาผู้แทนราษฎรได้รับญัตติของข้าพเจ้าและคณะเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 แต่กลับมีหนังสือแจ้งข้อบกพร่องเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2568 อันเป็นวันที่พ้นระยะเวลาเจ็ดวันตามที่ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 กำหนด จากที่กล่าวมาข้างต้น ข้าพเจ้าและคณะขอยืนยันว่าญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลของข้าพเจ้าและคณะนั้น ชอบด้วยข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ ดังนั้น จึงขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ พิจารณาบรรจุญัตติดังกล่าวเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็วที่สุดต่อไป จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการต่อไป.-319​.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

EOD ลุยค้นหาจรวด หลังชาวบ้านแจ้งเจอต่อเนื่อง

13 ส.ค. – EOD ลุยค้นหา-เก็บกู้จรวดในพื้นที่บุรีรัมย์-ศรีสะเกษ หลังชาวบ้านแจ้งเจอต่อเนื่อง ขณะที่คณะ ICRC ลงพื้นที่เก็บข้อมูลผลกระทบเหตุปะทะ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด EOD ลงพื้นที่ตรวจสอบไร่ยางพาราของชาวบ้านและอีกหลายจุด ในเขต ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบหลุมต้องสงสัยอยู่ในที่ดินของตัวเอง จากการตรวจสอบพบสะเก็ดระเบิด และอีกหลายจุดพบเป็นหลุมคล้ายหลุมจรวด BM21 ที่ตกลงมา เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และต้องใช้ความระมัดระวัง ขณะที่ชาวบ้านที่เพิ่งเข้ามาอยู่บ้าน ยังไม่มั่นใจกับสถานการณ์ โดยเฉพาะหลังมีทหารเหยียบทุ่นระเบิดเป็นรายที่ 5 EOD เร่งตรวจสอบ–กู้ระเบิดกระสุนปืนใหญ่ชายแดน ส่วนที่ศรีสะเกษเจ้าหน้าที่ EOD สนธิกำลัง ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีพบกระสุนปืนใหญ่ตกในเขต ต.เสาธงชัย และ ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดน เบื้องต้นพบ 7 จุด บริเวณสวนยางพาราและใกล้เขตชุมชน โดยส่วนใหญ่เป็นลูกกระสุนปืนใหญ่ขนาด 100 มิลลิเมตร เจ้าหน้าที่ได้ทำการขุดตรวจพิสูจน์ พบว่าหลายลูกระเบิดไปแล้ว เหลือเพียงเศษซาก และยังพบอีก 1 จุดในพื้น […]

อึ้งพระอยู่กับสีกา เปิดบนรถเจอกองทิชชูใช้แล้ว

สกลนคร 13 ส.ค. – วงการผ้าเหลืองฉาวอีก ตำรวจตรวจรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง พบพระกับสีกาอยู่ด้วยกัน 2 ต่อ 2 คุยไปคุยมา สุดท้ายไปจบที่ลาสิกขา หลังตำรวจ สภ.ขมิ้น จ.สกลนคร ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน พบรถเก๋งต้องสงสัยสีดำ จอดผิดปกติบริเวณ ริมคลอง บ.พาน ต.ขมิ้น อ.เมือง จ.สกลนคร เมื่อเข้าไปตรวจสอบ ตำรวจต้องอึ้ง เมื่อเจอพระอยู่กับสีกา 2 ต่อ 2 ในรถ ต่อมาทราบว่า คือ พระชัยณรงค์ อายุ 53 ปี สังกัด วัดแห่งหนึ่ง อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ จึงเชิญตัวไปยังวัดใกล้เคียงที่เกิดเหตุ เพื่อทำพิธีลาสิกขา และนำตัวมาตรวจปัสสาวะ ผลไม่พบสารเสพติด แต่รถที่พระเเละสีกาดังกล่าวอยู่ด้วยกัน พบเป็นรถที่ถูกสวมทะเบียน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตรวจยึดไว้เพื่อตรวจสอบ คืบหน้าล่าสุด ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยัง สภ.ขมิ้น พบรถเก๋งคันดังกล่าวจอดอยู่บริเวณสถานที่เก็บของกลาง กระจกด้านข้างและด้านหลังติดฟิล์มดำสนิท แต่ด้านหน้าฟิล์มใสมองเห็นถึงภายใน ที่เบาะนั่งข้างคนขับ ยังพบกองจีวรของทิดชัยณรงค์ […]

สถานการณ์ชายแดนสุ่มเสี่ยงปะทะรอบ 2

สุรินทร์ 13 ส.ค. – กระแสข่าวจากหลายฝ่ายยืนยันตรงกันว่าระยะ 2 วันนี้ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จะเพิ่มความตึงเครียด สุ่มเสี่ยงที่จะมีการปะทะรอบ 2 ฝ่ายปกครอง จ.สุรินทร์ จึงแจ้งเตือนไปยังกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ให้ลูกบ้านเตรียมพร้อมรองรับเหตุฉุกเฉิน ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศ ในหมู่บ้านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ใกล้กลุ่มปราสาทตาเมือน พบว่า หลายครอบครัวเพิ่งกลับเข้าพื้นที่ 1-2 วัน หลังอพยพหนีภัยการสู้รบในห้วงวันที่ 24 – 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ได้รับข่าวไม่สู้ดีนัก เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง แจ้งให้เตรียมความพร้อม เก็บสัมภาระไว้เพื่อรองรับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงการปะทะ รอบ 2 ซึ่งอาจรุนแรงมากกว่ารอบแรก ทำให้ชาวบ้านหลายคนต่างตื่นตระหนก ต้องการอพยพไปอยู่นอกพื้นที่ แต่เมื่อผู้นำหมู่บ้านทำความเข้าใจ ก็คลายความกังวลลงบ้าง โดยสื่อสารข้อความจากนายอำเภอพนมดงรักว่า รอให้มีเสียงปะทะกันเกิดขึ้นก่อน จึงให้อพยพ ซึ่งชาวบ้านก็เชื่อฟัง เพราะส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะอพยพไปที่ไหน เพราะยังไม่มีการเปิดศูนย์พักพิงชั่วคราว ขณะที่หญิงคนหนึ่งติดอยู่ในพื้นที่สู้รบ ใกล้กลุ่มปราสาทตาเมือนตลอดห้าวัน เพราะเป็นห่วงวัวที่เลี้ยงไว้ จึงอาศัยอยู่ในกระต๊อบพร้อมญาติรวมสี่คน และประเมินสถานการณ์ว่า น่าจะปลอดภัย เพราะวิถีกระสุนไปตกไกลกว่า จึงได้ยินเสียงปะทะอย่างชัดเจน […]

คุมตัว “ลุงพล” ส่งเรือนจำ ระหว่างรอคำสั่งขอประกันตัว

มุกดาหาร 13 ส.ค.- คุมตัว “ลุงพล” ส่งเรือนจำมุกดาหาร ระหว่างรอคำสั่งขอประกันตัวจากศาลฎีกา หลังศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุก 26 ปี คดีน้องชมพู่ จากกรณีศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาเพิ่มโทษให้จำคุก “ลุงพล” 26 ปี ฐานเจตนาฆ่าเด็ก พรากผู้เยาว์ และอำพรางศพ ขณะที่ “ป้าแต๋น” พิพากษายืนยกฟ้อง ในคดีฆาตกรรม น้องชมพู่ ทั้งนี้ภายหลัง ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ “ลุงพล” ได้ยื่นขอประกันตัว โดยศาลจังหวัดมุกดาหาร เสนอไปยังศาลฎีกา ล่าสุด ช่วงเย็นที่ผ่านมา ศาลฎีกายังไม่มีคำตอบลงมาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ ทำให้ “ลุงพล” ถูกคุมตัวไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดมุกดาหาร ระหว่างรอคำสั่งขอประกันตัวจากศาลฎีกา ย้อนไปคดีนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2563 น้องชมพู่ วัย 3 ขวบ หายไปจากบ้านพักภาย ในหมู่บ้านกกกอก ทำให้ชาวบ้านมากกว่า 200 ชีวิต รวมถึง ตัวลุงพล ช่วยกันออกตามหา […]