รัฐสภา 4 มี.ค.-สว. เห็นชอบส่งข้อเสนอแนะญัตติกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายให้รัฐบาลรับไปดำเนินการ หลังถล่ม DSI ถูกการเมืองแทรกแซง ก้าวก่าย กกต. จ้องล้มล้างการปกครอง ทำ สว.ถูกมองอั้งยี่-ซ่องโจร ด้าน “นันทนา” ฉะ! ญัตติ สว.มีแรงจูงใจการเมือง เตือนอย่าโหนสภามาปกป้องตัวเอง ชี้ถ้าไม่ผิดอย่ากลัวการตรวจสอบ
ในการประชุมวุฒิสภาวันนี้(4มี.ค.) มี นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้พิจารณาเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเสนอโดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว. เป็นผู้เสนอ
พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวว่า ในกระบวนการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ต่อการรับเรื่องร้องเรียนในกระบวนการเลือก สว. มีการล็อคเป้าหมาย โดยอ้างว่ามี สว. จำนวน 138 คน ทั้งนี้ในกระบวนการสืบสวนสอบสวน ดีเอสไอสามารถล็อคเป้าแยกประเภทสี มุ่งเป้าสว.สีน้ำเงินได้อย่างไร อย่างไรก็ดีในการอภิปรายตนใส่เสื้อสีน้ำเงิน และพร้อมจะเข้าสู่กระบวนการแจ้งข้อกล่าวหาและกระบวนการยุติธรรม หากมีพยานหลักฐานเพียงพอจะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวด้วยว่า เคยได้ยินหรือไม่ว่ามีทฤษฎี ศูนย์มีค่ามากกว่าหนึ่ง นักคณิตศาสตร์ยังคิดไม่ได้ แต่มีนักเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทยสามารถคิดได้ ทำให้ศูนย์มีค่ามากกว่าหนึ่ง และได้ จำนวน สว. ที่เข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้มี สว.ที่เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งใกล้อิมแพคเมืองทองธานี พบเห็นเหตุการณ์ปิดป้องประชุมลับ คนจำนวน 400 คน และแจกจ่าย เอกสาร หมายเลขที่ใช้เลือก ตนอยากทราบถามว่าอธิบดีดีเอสไอ รับทราบข้อมูลดังกล่าวหรือไม่ มีข้อมูลสืบสวนเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ ตนเห็นว่าการดำเนินการลักษณะดังกล่าวเป็นขบวนการร่วมกันตั้งแต่ระดับจังหวัด และจากการดำเนินงานได้ตัวเลข คือ 21+24 คล้ายกับตัวเลขท138+2
“ตัวเลขชุดนี้ อธิบดีดีเอสไอสามารถสอบสวนตามที่กล่าวหาว่าเป็นกระบวนการอั้งยี่หรือไม่ ผมเห็นว่าการเลือกปฏิบัติ การที่ดีเอสไอพยายามให้บอร์ดดีเอสไอให้สิทธิพิเศษฮั้วเลือกตั้ง สว. เป็นการก้าวก่าย เข้าข่ายล้มการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งคนธรรมดาและอัยการสูงสุดสามารถดำเนินการเพื่อให้วินิจฉัยและยุติการกระทำดังกล่าว และตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 116 เข้าข่ายยุยง ปลุกปั่น มีเจตนาเปลี่ยนแปลงกฎหมายของแผ่นดิน ทำให้เกิดความไม่สงบในราชอาณาจักร” พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าว
ด้าน พลตำรวจโทบุญจันทร์ นวลสาย สมาชิกวุฒิสภา ยืนยันว่า พวกตนมาตามบทบาทหน้าที่ และครรลองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ และมาตามรัฐธรรมนูญ 2560 เรามาด้วยความถูกต้องไม่กลัวการตรวจสอบ และเจ้าภาพที่ดูแลเรื่องการเลือกตั้ง กฎหมายบัญญัติชัดเจน แต่คำกล่าวของบางคนกล่าวหาการเลือก สว.ที่ผ่านมา เป็นอั้งยี่ เพราะมีการรวมตัวกัน ซึ่งคำว่า อั้งยี่คือการรวมตัวกัน ทำในสิ่งที่ไม่ดี หากรวมตัวกัน ปรึกษาหารือกันแล้วเป็นอั้งยี่ ก็ต้องไปตรวจสอบการเลือกตั้งทั่วประเทศก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะล่าสุดที่มีการเลือกองค์การบริหารส่วนจังหวัด จินตนาการหรือไม่ว่าที่ผ่านมาเป็นอั้งยี่
“ท่านบุญส่ง สมมติว่าท่านไม่สบาย ไปโรงพยาบาล โรงพยาบาลจะมีเจ้าหน้าที่ใช่หรือไม่ครับ อยู่ไหน อะไรยังไง ป่วยเป็นอะไร แล้วส่งต่อรายละเอียดไปให้หมอเป็นคนพิจารณาใช่หรือไม่ครับ แต่ตอนนี้ดีเอสไอเป็นเพียงเจ้าหน้าที่เบื้องต้น แต่ประกาศปาวๆ ว่าสว. เป็นอั้งยี่ซ่องโจร คนทั้งประเทศแตกตื่นหมด ไปไหนมาไหนก็ถามหมด ชี้หน้าหมด ตอนนี้ไม่กล้าเดินแล้ว” พล.ต.ท.บุญจันทร์ กล่าว
พล.ต.ท.บุญจันทร์ กล่าวอย่างมีอารมรณ์ ว่า เราไม่กลัวการตรวจสอบ แต่ขออนุญาต ทำงานทำหน้าที่ไป แต่อย่าเอาปากทำ อย่าพูดมาก ลิ้นมันจะพันคอท่าน สิทธิเสรีภาพของ สว.รัฐธรรมนูญเขียนไว้ ป้องคุ้มครอง มีสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว ชื่อเสียง เกียรติยศและครอบครัว
“ฝากนะครับ อธิบดีดีเอสไอและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อย่าใช้ปากทำงาน ใช้ส่วนอื่นทำ ทำหน้าที่ไป ถ้าทำไปพูดไป ความผิดจะตามมาหลายเรื่อง ยกตัวอย่าง หมิ่นประมาท ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าตอนนี้ สว. ทุกท่านที่นั่งอยู่ในห้องเกือบ 200 คน ถึงเวลาที่ต้องลุกขึ้นมายืนปกป้องสิทธิว่าพวกเรามาโดยชอบ มาโดยถูกต้องพิสูจน์ให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้เห็น ตอนนี้หลายกรรมาธิการ (กมธ.) ลงพื้นที่ตรวจสอบทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน เพื่อให้เห็นว่า สว. มีไว้ทำไม แต่ขณะเดียวกัน มีบางคนมันกระตุกขา กระตุกทำไม กระตุกเพื่ออะไร ตอนนี้เรากำลังทำทุกอย่างเดินไปด้วยดี แต่มีมารผจญ บางอย่างมากระตุก มาใส่ร้ายป้ายสีพวกเราตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องลุกขึ้นมายืนหยัด” พล.ต.ท.บุญจันทร์ กล่าว
พล.ต.ท.บุญจันทร์ ย้ำว่า ดีเอสไอเป็นแค่เจ้าหน้าที่ ไม่ใช่หมอ พร้อมยกตัวอย่างว่า นายบุญส่งป่วยจะตายแล้ว มันเสียหายหรือไม่ ถ้าหมอยังไม่ทันได้พูดเลย แต่เจ้าหน้าที่เบื้องต้นมาซะก่อน คนที่พูดออกสื่อตลอดเวลา ความรับผิดมันจะเกิดกับท่านตลอดเวลาด้วย เราห่วงใยในการทำงาน เรามาร่วมมือกันทำงาน เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย พัฒนาประเทศชาติพัฒนาบ้านเมืองให้ดีขึ้นดีหรือไม่ ดีกว่ามาคอยกระตุกขากัน
ภายหลังการอภิปรายเสร็จสิ้น นายบุญส่ง ออกตัวว่าตนไม่ได้ป่วยนะครับ ก่อนจะเปิดให้สมาชิกคนอื่นอภิปรายต่อ
พันตำรวจเอก กอบ อัจนากิตติ สว. กล่าวว่ามีบุคคลที่เป็นคณะกรรมการพิเศษที่มาจากฝ่ายการเมือง ซึ่งอยู่ในอำนาจแต่งตั้งของรัฐมนตรี เราดูหลักของการทำงานตรงนี้ก็จะรู้ว่าฝ่ายการเมือง เข้ามาครอบงานหรือแทรกแซงกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือไม่ กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นกรมสอบสวนที่ใช้ กฎหมาย ตามอำเภอใจ มาตลอด หรือไม่ พร้อมเปรียบว่ามีผู้ที่เป็นพ่อมด หรือตะเกียงวิเศษ ฝ่ายการเมือง ปล่อย”ยักษ์”ตัวนี้ออกมา และเห็นแล้ว หรือไม่ว่าอิทธิฤทธิ์ของยักษ์ตัวนี้ที่ออกมาจากตะกียงมีอำนาจจนไม่สามารถต้านทานได้ และทำให้ประชาชน อกสั่นขวัญแขวน เห็นว่า ความเสมอภาคความเท่าเทียมเป็นแค่นามธรรมเท่านั้นเอง คนที่ปล่อยยักษ์ตัวนี้ออกมาต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะดีเอสไอ ต้องรับผิดชอบ ตนอยากถามว่า กฎหมายคดีพิเศษ มาตรา 11 ที่ใช้ กฎหมาย โดยอนุโลม ได้ทำบ้างหรือยัง และขอยืนยันว่าความเห็นของอนุกรรมการพิเศษเป็นความเห็นเบื้องต้น และคณะกรรมการคดีพิเศษ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หากเห็นด้วยก็ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นตามมา
นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา ระบุว่า กระบวนการยุติธรรม ที่นำโดยพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทำให้ตนรู้สึกหมดศรัทธา พร้อมยืนยันว่า สว.ชุดนี้พร้อมรับการตรวจสอบที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่กลัว DSI บิดเบือนข้อมูลจนทำให้ประชาชนเข้าใจว่า สว.ชุดนี้ เป็นอั้งยี่ซ่องโจร หารือเป็นโจร และ DSI ที่กำกับโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ไม่ได้มีอำนาจควบคุมการเลือกตั้งเหมือนคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ดังนั้น การจะตรวจสอบใด ๆ จะต้องใช้อำนาจที่อยู่ในขอบเขตของตน จึงสะท้อนว่า DSI กำลังใช้อำนาจแทรกแซง กกต.ในการได้มาซึ่ง สว.
นายพิสิษฐ์ ยังกล่าวถึงการพิจารณาคดีพิเศษโดยคณะกรรมการ คกพ.ว่า กำลังใช้อำนาจนอกเหนือกฎหมาย ทำให้ประชาชนเข้าใจ สว.ผิดไปอย่างรุนแรงจากผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน พร้อมมั่นใจว่า ตามกฎหมายการได้มาซึ่ง สว.ฮั้วกันได้ยาก เพราะมีการห้าม กกต.เปิดเผยรายชื่อ และจำนวนผู้สมัครก่อนพ้นระยะเวลาการรับสมัคร เพราะหลักการฮั้ว จะต้องทราบจำนวน เพื่อให้ผู้สมัครฝ่ายตนมากกว่าอีกฝ่ายจึงจะชนะได้ ดังนั้น การอ้างว่า มีการฮั้วเป็นการกล่าวหา สว.ชุดนี้ โดยไม่มีการอ้างอิงหลักกฎหมายใด ๆ เพื่อให้ สว.ตกเป็นจำเลยสังคม และการที่คณะกรรมการ กคพ.เลื่อนการลงมติรับเป็นพิจารณาคดีพิเศษ โดยอ้างเชิญ กกต.มาชี้แจง เป็นการประวิงเวลาเพื่อไปล็อบบี้คณะกรรมการ เพื่อรับเป็นคดีพิเศษ และเป็นการฮั้วกันหรือไม่ พร้อมถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมว่า ใช้อำนาจตามกฎหมายใด แถลงข่าวต่อคดี ทั้งที่ยังไม่ได้รับเป็นคดีพิเศษ
นายชินโชติ แสงสังข์ สมาชิกวุฒิสภา เห็นว่า จุดกำเนิดการร้องเรียนกระบวนการได้มาซึ่ง สว.ส่วนใหญ่มาจาก “ผู้แพ้การเลือกตั้ง” ถ้าประชาชนคนส่วนใหญ่ รู้สึกเดือดร้อนกับการชนะการเลือกตั้งของพวกตน ตนไม่ติดใจ แต่สาระทั้งหมด มาจากผู้แพ้การเลือกตั้ง จึงต้องถามสังคมว่า ถ้าผู้แพ้ชนะการเลือกตั้ง จะออกมาร้องเรียนหรือไม่ ฉะนั้น ผู้แพ้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการร้องเรียน เพื่อเล่นงานพวกตน ซึ่งตนก็เข้าใจผู้แพ้ว่า อยากชนะมาเป็น สว.เช่นเดียวกับพวกตน และตนผิดหรือไม่ ที่ตนได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มแรงงาน ตั้งแต่ระดับอำเภอ ถึงระดับประเทศ เพราะตนเคยเป็นผู้นำแรงงาน หรือ “ประเทือง แสงสังข์” อดีตประธานสภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานแห่งประเทศไทย มาก่อน พร้อมยังระบุว่า ตนเองติดใจการทำหน้าที่ของ DSI โดยขอปรักปรำและฟันธงว่า หาก 6 มีนาคมนี้ DSI รับคดีนี้มาทำ ถือว่า มีวาระซ่อนเร้น ในการรับใช้กลุ่มบุคคล หรือกลุ่มการเมือง ซึ่งไม่สามารถแปลเป็นอื่นได้ และการตรวจสอบการเลือกตั้ง ไม่ใช่หน้าที่ของ DSI แต่เป็นหน้าที่ของ กกต.หาก DSI จะรับเป็นคดีพิเศษ ก็ขอให้ลบองค์กรอิสระจากสาระบบประเทศได้เลย เพราะต่อจากนี้ ทุกเรื่อง จะวิ่งไปฟ้องร้องที่ DSI
นายอลงกต วรกี สมาชิกวุฒิสภา ได้เสนอให้ยุบ DSI ตามรายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม สภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช.เสนอ เพราะซ้ำซ้อนกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สร้างความแตกแยกในสังคม นักการเมือง-รัฐมนตรีสามารถแทรกแซงได้ หรือให้ DSI ไปสังกัดสำนักสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อให้ปราศจากอำนาจนักการเมือง หรือพรรคการเมือง จึงขอให้ประธานวุฒิสภา ได้ส่งแนวคิดดังกล่าว ให้คณะกรรมาธิการของวุฒิสภาที่เกี่ยวข้องพิจารณาต่อไป
นายอลงกต ยังขอให้ DSI คิด ถ้าไม่มี สว.เหลือง-น้ำเงิน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อาจจะถูกแก้ไขได้ และการแก้ไขรัฐธรรมนุญในอนาคต อาจไม่ยึดหลักกฎหมาย ยึดเพียงเสียงข้างมากลากไป พร้อมยืนยันว่า ตนเองเป็น สว.สีน้ำเงิน และสีเหลือง ที่จงรักภักดีต่อสถาบันของชาติ หาก สว.คนใดไม่ใช่ ตนจัดเป็น สว.กลุ่ม 21 กลุ่มปลาหมอคางดำ ล้มล้างการปกครอง เพราะตนมีบัญชีรายชื่อ ที่มีหลักฐานว่า บุคคลเหล่านี้ มี 11+13 มีพฤติกรรมล้มล้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ขณะที่ นางสาวนันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา เห็นว่า ญัตตินี้จะมีแรงจูงใจทางการเมือง และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องตามญัตติ ก่อนที่จะอภิปรายถึงสิทธิการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขังที่เหลื่อมล้ำ หากมีเงินมีอำนาจ ก็จะได้อัพเกรดเป็นเทวดาชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ส่วนคนจนไม่มีอำนาจ ก็จะเป็นสัมพะเวสี รอรักษาหน้าห้องพยาบาลเรือนจำ จึงเรียกร้องให้ผู้ต้องขัง ได้เข้าถึงการรักษาตามสิทธิ และขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบสิทธิการรักษาพยาบาลผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ต้องไม่มีเทวดา และไม่มีสัมภเวสีอีกต่อไป พร้อมยังชี้แจงภายหลัง สว.หลาย ๆ คนอภิปราย โดยยืนยันว่า การอภิปรายเป็นเอกสิทธิ์ของ สว.อย่าเหมารวม และอย่านำสถาบันวุฒิสภา มาปกป้องตัวเอง เพราะขณะนี้ สว.กำลังตกเป็นจำเลยสังคม ยิ่งหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ สังคมก็จะยิ่งสงสัย ดังนั้น หากไม่ผิด อย่าร้อนตัว อย่ากลัวเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ เพื่อให้สังคมหายสงสัย และเป็นวุฒิสภาที่สง่างาม
เช่นเดียวกับ กลุ่ม สว.พันธุ์ใหม่คนอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่อภิปรายเกี่ยวกับสิทธิผู้ต้องขัง ที่ไม่เท่าเทียม โดยเลี่ยงการอภิปรายในประเด็นที่ สว.ส่วนใหญ่ อภิปรายโจมตีการทำหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI
ทั้งนี้ สำหรับเวลาการอภิปรายของสมาชิกวุฒิสภา ในญัตตินี้ ที่ประชุมให้เวลา สว.แต่ละคน สามารถอภิปรายได้ถึงคนละ 10 นาที
ภายหลังการอภิปรายเสร็จสิ้น นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้มอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ส่งรายละเอียดและข้อเสนอทั้งหมดไปยังคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป.-31.-สำนักข่าวไทย