นายกฯ​ เปิดงาน FTI EXPO 2025 พร้อมหนุนอุตฯ ไทย

ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 13 ก.พ.-นายกรัฐมนตรี​ เปิดงาน FTI EXPO 2025 ปาฐกถา​พิเศษ​ “จุดประกายอุตสาหกรรมไทย สร้างเศรษฐกิจใหม่นำประเทศสู่ความยั่งยืน” บอก​ อุตสาหกรรม​ เป็น​หนึ่งใน​ 3 ขา ดัน GDP ประเทศ​ ยืนยันรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุน​ ดัน​ 4​ GO -​ แก้กฎหมายล้าหลัง หนุน ​SMEs เพิ่มโอกาสประเทศไทย


น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน FTI EXPO 2025: EMPOWERING THAI INDUSTRY, ELEVATING THAILAND’S FUTURE เสริมพลังอุตสาหกรรมไทย เพื่ออนาคตไทยที่ยั่งยืน โดยมีนายภูมิธรรม​ เวชย​ชัย​ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายเอกนัฏ​ พร้อม​พันธุ์​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม​ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมงาน โดยทันทีที่มาถึงนายกรัฐมนตรี และคณะได้เยี่ยมชมบูธนิทรรศการแสดงผลงานของหน่วยงานภารรัฐและเอกชน

จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “จุดประกายอุตสาหกรรมไทย สร้างเศรษฐกิจใหม่นำประเทศสู่ความยั่งยืน” ว่า งานนี้ถือเป็นงานที่สำคัญต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เดินเข้ามาได้เห็นการจัดแสดงบูธต่างๆ ซึ่งถือเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย เนื่องจากอุตสาหกรรมถือเป็น 1 ใน 3​ ของการผลักดัน GDP ของประเทศ ภาคเอกชนคือผู้ที่ลงทุนลงแรงในการหาข้อมูลการผลิตพัฒนาคนในหลายๆ ด้าน​ เพื่อให้อุตสาหกรรมนี้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งรัฐบาลก็พร้อมที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมของประเทศไทยให้ไปต่อได้ไกลขึ้น​ และให้ทั่วโลกรู้ว่าจริงๆ แล้วเปิดหลังโควิดมาเราไม่ได้หายไปไหน​ เรายังแข็งแรงเหมือนเดิม​ และพร้อมที่จะเป็นแหล่งของการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและผลิตคนที่สามารถพัฒนาต่อยอดได้อีกมาก


นายกรัฐมนตรี ระบุว่า มั่นใจว่าคนไทยหรือกลุ่มนักธุรกิจ SMEs จะเกิดแรงบันดาลใจจากงานนี้เมื่อเอกชนและรัฐบาลทำงานร่วมกันจึงมีความเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถต่อยอดอุตสาหกรรมของไทยให้ไปต่อได้อย่างเข้มแข็ง จากนโยบายที่ได้แถลงไปต่อรัฐสภาว่าจะวางนโยบายยุทธศาสตร์และพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในหลายมิติ ทั้งมุ่งเร่งการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมแห่งอนาคตพัฒนาเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ๆหรืออาจจะเป็นการร่วมกันสร้าง eco-system เพื่อเอื้อต่อการพัฒนา และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และการพัฒนาคนไปพร้อมกัน จึงเป็นการยกระดับฐานการผลิตเพื่อให้การผลิตของไทยมีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับต่อทั่วโลกมากยิ่งขึ้น การสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งต่อสินค้าและบริการจะสามารถสร้างโอกาสและสร้างความแตกต่างให้กับประเทศไทยของเราให้กับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไทยให้เข้มข้นและเป็นที่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สามารถทำให้พลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ SMEs ของไทย มี 75% รัฐบาล จึงมีนโยบาย และหลักในการพัฒนา ซึ่งหากเป็นกฎกระทรวงรัฐมนตรีก็สามารถแก้ได้เลย ว่ากดใดที่จะสามารถปรับหรือยกเลิกเพื่อจะเปิดช่องทางให้ SME หรือประเทศไทยได้มีโอกาสเพิ่มการลงทุนและศักยภาพที่มากยิ่งขึ้น และมากไปกว่านั้นเดี๋ยวจะมีกัน set up ที่ทีมเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและเปิดโอกาสให้กับคนไทย

โดยจะมีการฉายภาพใหม่ให้ทุกคนได้เห็นภาพตรงและสอดคล้องกันผ่าน 4​ G0 ซึ่งเป็นอะไรที่พื้นฐานแต่มีพลังอย่างมากที่เปลี่ยนอุตสาหกรรมของไทยได้มากจริงๆทำให้ทั่วโลกเกิดการยอมรับและการมองเห็น โดย​ Go แรก คือ

  1. Go Digital & AI รัฐบาลจะเพิ่มความแข็งแกร่งของระบบโครงสร้างพื้นฐานเรื่องดิจิทัล เพื่อให้ดึงดูดการลงทุนมากยิ่งขึ้น​ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการจัดทำกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้าน AI ซึ่งมั่นใจว่าจะแล้วเสร็จในไม่ช้านี้
  1. Go innovation ดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมในอนาคต semi conductor ซึ่งเดือนตุลาคมที่ผ่านมามีการจัดตั้งบอร์ด semic conductor แห่งชาติโดยตนเป็นประธานมีวัตถุประสงค์ที่จะผลักดันและเร่งการดำเนินการต่างๆในเชิงยุทธศาสตร์เพื่อให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
  2. GO Green พลังงานสีเขียวทั่วโลกขนาดไหนดีและซึ่งมีเทคโนโลยีใหม่ๆการลงทุนจะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญซึ่งจะถือเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่จะสร้างโอกาสและเป็นความท้าทายของประเทศ ฝากคณะอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องโดยที่มี completment ในเรื่องพลังงานสีเขียวก็จะเป็นเรื่องที่จะเพิ่มโอกาสสำหรับประเทศไทยทำให้ทั่วโลกรู้ว่าถึงเราจะพัฒนา AI เทคโนโลยีไปไกลแค่ไหน​ เราจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน​
  3. Go Global การต่อยอดขยายข้อตกลงทางการค้า​ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากรัฐบาลไทย​ มุ่งเน้นการเซ็น FTA เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาส SMEs

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งานวิจัยจะต้องมีการลงทุนอย่างจริงจัง เพื่อรับสารที่แข็งแรงและมั่นคง ประเทศไทยมีคนที่มีศักยภาพอีกจำนวนมาก ซึ่งเราก็พร้อมที่จะสนับสนุนคนไทยเพื่อเพิ่มสกิลของคนไทย เพิ่มมูลค่า ตนมั่นใจว่าทั้งรัฐบาลและเอกชนร่วมมือกันเดี๋ยวนี้จะสามารถพัฒนาทั้งคนและอุตสาหกรรมให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างเข้มแข็ง และเชื่อว่าอุตสาหกรรมเข้มแข็งแบบนี้ในอนาคตการเตรียมพร้อมสำหรับคนเด็กรุ่นใหม่ที่จะขึ้นมาให้มีความรู้ความสามารถในระดับอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้นก็เป็นสิ่งที่ต้องทำได้อย่างแน่นอน


“วันนี้เรามาถึง ยุคที่ว่าเวลาหมุนไปเรื่อยเรื่อยเดินไปเรื่อยเรื่อยเราคงไม่สามารถที่จะรอได้ประเทศไทยมีคนที่มีศักยภาพอีกเยอะ ซึ่งเราพร้อมที่จะสนับสนุนคนไทยเพิ่มศักยภาพ เพิ่มมูลค่าให้มากขึ้นมั่นใจว่าเมื่อรัฐบาลเอกชนทำงานร่วมกันอย่างนี้จะสามารถพัฒนาคนพัฒนาอุตสาหกรรมให้เติบโตไปพร้อมกันและเข้มแข็ง พร้อมเชื่อว่าอุตสาหกรรมเข้มแข็งแบบนี้ ในอนาคตการเตรียมพร้อมสำหรับคน รุ่นใหม่เจนเนอเรชั่นใหม่ให้มีความรู้ความสามารถเรื่องอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้นจะเป็นสิ่งที่ทำได้อย่างแน่นอน เชื่อว่างานนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่อเราทำงานร่วมกันอุตสาหกรรมนี้จะถูกพัฒนาอย่างยั่งยืนและเมื่อถูกกระตุ้นประเทศไทยก็จะมีกินมีใช้ และขอบคุณความร่วมมือจากทุกภาคส่วน” นายกรัฐมนตรี ระบุ .-316 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

โรงเรียน-โรงพยาบาลในอุบลฯ เปิดวันแรก หลังเหตุปะทะไทย-กัมพูชา

13 ส.ค. – ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ เช้านี้ (13 ส.ค.) ยังปกติ ชาวบ้านติดชายแดนต่างวิตก หวั่นเกิดการปะทะ จึงเก็บสัมภาระเตรียมพร้อมหากต้องอพยพออกจากพื้นที่ ส่วนโรงเรียน-โรงพยาบาล ใน จ.อุบลราชธานี เปิดวันแรก ทำเอาชาวบ้านอยู่ไม่ได้ หลังมีกระแสข่าวว่าจะเกิดการยิงกันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จนชาวบ้านต้องขนของอพยพออกจากบ้านกลางดึก เพื่อมาตั้งหลักในตัว อ.กันทรลักษ์ แต่หลังจากแน่ใจว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจึงเดินทางกลับเข้าบ้านเรือน แต่ยังมีบางส่วนที่ยังไม่ไว้วางใจในสถานการณ์ ออกไปพักบ้านญาติพี่น้องต่างอำเภอ สำหรับสถานที่ราชการในตัว อ.กันทรลักษ์ วันนี้ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ส่วนโรงเรียนบางแห่งประกาศให้เรียนทางออนไลน์แทน เพื่อความปลอดภัย โรงเรียนชายแดน จ.สุรินทร์ ปิดต่อ ให้เรียนออนไลน์เช่นเดียวกับ จ.สุรินทร์ โรงเรียนชายแดนยังปิดต่อ และให้เรียนออนไลน์แทน เพื่อรอดูสถานการณ์ ส่วนผู้ปกครองกังวลถ้ายังเปิดเรียนในช่วงสถานการณ์ยังไม่สงบและไม่ปลอดภัย 100% ส่วนในพื้นที่ อ.พนมดงรัก โรงเรียนประถมฯ บางโรงประกาศให้มีการเรียนการสอนในระบบออนไลน์ช่วงวันที่ 13-15 สิงหาคมนี้ และมีบางโรงเรียนที่กลับมาเปิดเรียนตามปกติแล้ว แต่ไม่บังคับว่านักเรียนต้องมาเรียนทุกคน โดยมีการแจ้งใน LINE กลุ่มผู้ปกครองว่าหากผู้ปกครองท่านใดยังมีความกังวลใจก็อนุญาตให้เด็กลาได้ ส่วนชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ เช้านี้ […]

South Korea Leader and wife at Presidential plane Apr 2023

เกาหลีใต้จับอดีตสตรีหมายเลข 1

โซล 13 ส.ค.- นางคิม คอน ฮี อดีตสตรีหมายเลข 1 ของเกาหลีใต้ ถูกควบคุมตัวตามที่ศาลออกหมายจับเมื่อค่ำวานนี้ หลังจากอัยการยื่นขอหมายจับเพราะเกรงว่าเธอจะทำลายหลักฐานและแทรกแซงการสอบสวนในคดีที่ถูกกล่าวหาหลายคดี นางคิม ซึ่งจะมีอายุครบ 53 ปีในเดือนกันยายน เป็นอดีตสตรีหมายเลข 1 คนแรกของเกาหลีใต้ที่ถูกจับกุม ขณะที่สามีของเธอ คือ อดีตประธานาธิบดียุน ซอก ยอล วัย 64 ปี กำลังถูกคุมขังระหว่างรอการพิจารณาคดี หลังจากถูกถอดถอนจากตำแหน่งกรณีประกาศกฎอัยการศึกเมื่อปลายปี 2567 ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกันนางคิมได้โค้งคำนับและไม่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวขณะเดินทางถึงศาล จากนั้นไปรอฟังคำตัดสินที่สถานกักขังในกรุงโซลตามธรรมเนียมปฏิบัติของเกาหลีใต้ โฆษกคณะอัยการพิเศษที่ได้รับการแต่งตั้งเมื่อต้นเดือนมิถุนายนแถลงว่า อัยการยื่นขอหมายจับนางคิม เนื่องจากเกรงว่าเธอจะทำลายหลักฐานและแทรกแซงการสอบสวน สำนักข่าวยอนฮับของทางการเกาหลีใต้รายงานว่า ศาลอนุมัติหมายจับตามคำแถลงเรื่องเธอมีความเสี่ยงที่จะทำลายหลักฐาน อดีตสตรีหมายเลข 1 ของเกาหลีใต้ถูกตั้งข้อหาหลายคดี ตั้งแต่การปั่นหุ้นไปจนถึงการรับสินบนและการใช้อิทธิพลแทรกแซงอย่างผิดกฎหมายที่พัวพันกับเจ้าของธุรกิจ บุคคลทางศาสนา และผู้มีอิทธิพลทางการเมือง เธอถูกกล่าวหาว่า ทำผิดกฎหมายเรื่องสร้อยคอประดับจี้ยี่ห้อหรูที่สวมไปร่วมการประชุมสุดยอดองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ที่สเปน พร้อมกับสามีในปี 2565 เนื่องจากไม่ได้แจ้งรายการทรัพย์สินจี้ดังกล่าวที่มีข่าวว่าราคาสูงกว่า 60 ล้านวอน (กว่า 1.4 ล้านบาท) เธอให้การกับอัยการว่าเป็นของปลอมที่ซื้อในฮ่องกงเมื่อ […]

สภาถกงบฯ 69 วันแรก “พิชัย” แจงหั่นงบ 8,920 ล้าน

รัฐสภา 13 ส.ค. – ที่ประชุมสภาฯ เริ่มถกงบฯ 69 วันแรกแล้ว “พิชัย” แจงรายงาน กมธ. เหตุหั่นงบ 8,920 ล้านบาท เพราะไม่สอดคล้องภาาวะปัจจุบัน-การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ในการประชุมสภาฯ เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระสอง ซึ่งกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาแล้วเสร็จเป็นวันแรก โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2569 ว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณาร่างงบประมาณ 69 เรียบร้อยแล้ว โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ให้ความสำคัญกับการดำเนินภารกิจเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคแห่งชาติ เป้าหมายพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งแผนปฏิบัติราชการของกระทรวง โดยพิจารณาตามความจำเป็นและภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ และแผนพัฒนาพื้นที่ตามความต้องการของประชาชน […]

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]