สำนักงาน ป.ป.ช. 11 ก.พ.-ป.ป.ช. เผย CPI ปี 67 ของไทย ได้ 34 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก มี 4 แหล่งลดลง เหตุผู้ประเมินไม่มั่นใจนโยบายประชานิยมและการใช้จ่ายภาครัฐ เชื่อหากนายกฯประกาศชัดต้านทุจริต องคาพยพต่างๆพร้อมเดินตาม
นายศรชัย ชูวิเชียร รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภาค6 ในฐานะรองโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) ได้เผยแพร่ผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI) ประจำปี 2567 จำนวนประเทศ 180 ประเทศทั่วโลกนั้น อันดับ 1 คือ ประเทศเดนมาร์ก ได้คะแนนสูงที่สุด 90 คะแนน อันดับ 2 คือ ประเทศฟินแลนด์ ได้ 88 คะแนน อันดับ 3 คือ ประเทศสิงคโปร์ ได้ 84 คะแนน ในขณะที่ประเทศไทย ได้ 34 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก และอยู่ในอันดับที่ 5 ของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเชียน ซึ่งประเทศที่ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มอาเชียนคือประเทศสิงคโปร์ ได้ 84 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ ที่ 3 ของโลก
นายศรชัย กล่าวว่า ผลการสำรวจดัชนีการรับรู้ การทุจริตของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2567 นั้น เป็นการประเมินจากแหล่งข้อมูล 9 แหล่ง โดยประเทศ ไทยได้คะแนนเพิ่มขึ้น 5 แหล่ง คือ BF (TI) เพิ่มขึ้นจาก 33 คะแนนในปี 2566 เป็น 34 คะแนน. PRS เพิ่มขึ้นจาก 32 คะแนนในปี 2566 เป็น 33 คะแนน, V-DEM เพิ่มขึ้นจาก 26 คะแนนในปี 2566 เป็น 29คะแนน, PERC เพิ่มขึ้นจาก 37 คะแนนในปี 2566 เป็น 41 คะแนน, และ WJP เพิ่มขึ้นจาก 33 คะแนน ในปี 2566 เป็น 34 คะแนน ได้คะแนนลดลง 4 แหล่ง คือ IMD ลดลงจาก 43 คะแนนในปี 2566 เป็น 36 คะแนน, WEF ลดลงจาก 36 คะแนนในปี 2566 เป็น 34 คะแนน, EIU ลดลงจาก 37 คะแนนในปี 2566 เป็น 35 คะแนน, และ GI ลดลงจาก 35 คะแนนในปี 2566 เป็น 32 คะแนน
นายศรชัย กล่าวว่า จากคะแนนที่เพิ่มขึ้น มีการวิเคราะห์ว่าเนื่องจากมุมมองของผู้ประเมิน มองว่าภาครัฐได้แสดงออกอย่างชัดเจนเคร่งครัดเอาจริงในการบังคับใช้กฎหมาย ลดปัญหาการติดสินบนเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกลดขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้มีความโปร่งใสร่วมแก้ปัญหากับหน่วนงานต่างๆ อย่างตั้งใจจริง ซึ่งเป็นส่วนที่ป.ป.ช.ขับเคลื่อน และมีทิศทางดีขึ้นต้องพยายามต่อไปทุกภาคส่วนขับเคลื่อนไปด้วยกัน
นายศรชัยกล่าวอีกว่า สำหรับ แหล่งข้อมูลที่ขนาดลดลงถึง 4 แหล่งนั้น น่าจะมีสาเหตุมาจากมุมมองของผู้ประเมิน ในประเด็นไม่โปร่งใส เรื่องการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นการใช้งบประมาณขาดประสิทธิภาพทำประเทศเสียหาย มีกรณีสำคัญเช่นนโยบายประชานิยม นำงบประมาณไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนบุคคล ใช้จ่ายไม่สมเหตุสมผล ขาดความคุ้มค่าส่งผลให้ทรัพยากรรัฐ ไม่ได้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปัญหาดังกล่าวไม่เพียงส่งผลต่อการบริหารจัดการภาครัฐ ส่งผลกระทบด้านธรรมาภิบาลของประเทศด้วย ขณะที่นักลงทุนที่ประกอบธุรกิจในไทย ยังเห็นว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่ต้องเผชิญ กับการเรียกรับเงินและจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่รัฐในการประกอบธุรกิจ แม้ว่ารัฐบาลจะตั้งใจ แก้ไขปัญหาทุจริต บัญญัติกฎหมายอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุมัติอนุญาตของทางราชการ และพยายามพัฒนาระบบขั้นตอนอนุมัติอนุญาตหน่วยงานต่างๆ แต่อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญและผู้ตอบแบบสอบถามในแหล่งข้อมูลข้างต้น เห็นว่า ยังไม่มีความเชื่อมั่น ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมทำให้เกิดการรับรู้ในเชิงลบ ขณะที่มุมมองผู้ประเมินอาจเห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาทุจริตไม่เพียงพอ จากข่าวต่างๆเช่น การสร้างความเสียหายให้ประชาชนวงกว้างมีข้าราชการนักการเมืองเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง กับการกระทำความผิด และยังไม่มีกลไกตรวจสอบดำเนินคดีลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ทุจริตอย่างรวดเร็ว นโยบายความเสียหาย การดำเนินนโยบายอาจเอื้อประโยชน์ให้นายทุน หรือกลุ่มขนาดใหญ่ หรือบางนโยบายอาจเอื้อให้กลุ่มนายทุนหรือบริษัทขนาดใหญ่ รวมทั้งมีข่าวแต่งตั้งโยกย้าย ตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไม่เป็นธรรม
นายศรชัย กล่าวอีกว่าการยกระดับค่า CPI ของไทยผู้นำประเทศและรัฐบาล ต้องแสดงเจตจำนงในการแก้ไข ปัญหาทุจริต สร้างความร่วมมือขับเคลื่อนแก้ปัญหาทุจริตทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐเอกชนและภาคประชาคม โดยข้อเสนอแนะ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติหรือCPI ให้ความเห็นว่าต้องไม่ปล่อยให้มีการแทรกแซงหรือมีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายระดับชาติระดับนานาชาติ ต้องสร้างความโปร่งใสและสภาพแวดล้อมที่ดีในการดำเนินนโยบาย และการจัดสรรงบประมาณ เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการต่อต้านการทุจริต รวมทั้งการเปิดเผยข้อมูล เกี่ยวกับการดำเนินโครงการต่างๆ
สำหรับกรณีที่อยู่ระหว่างการจัดทำงบประมาณปี 2569 ป.ป.ช.จะร่วมตรวจสอบให้เข้มข้นหรือไม่นายศรชัยกล่าวว่า ในปี 2568 มีหน่วยงานต่างๆของ งบ 39 หน่วยงาน ที่จะส่งเสริมป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งรัฐบาลจัดสรรให้ 953 ล้านบาท ซึ่งป.ป.ช.เองร่วมขับเคลื่อนกับหน่วยงานเหล่านี้ และติดตามตรวจสอบกำกับ การใช้จ่ายงบประมาณเหล่านี้ เพื่อให้เกิดผลต่อค่า CPI ขณะที่ป.ป.ช. ได้ลงพื้นที่ดึงหน่วยงาน ต่างๆร่วมมือกันเพื่อลดประเด็นรับสินบน จากเจ้าหน้าที่รัฐและจะดำเนินการให้เข้มข้นขึ้น
ส่วนค่า CPI ที่ลดลงทำให้ป.ป.ช.ต้องเร่งทำงานมากขึ้น หรือไม่นั้น นายศรชัยกล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งแต่ต้องบูรณาการทุกภาคส่วน รัฐบาล พรรคการเมืองและภาค ประชาสังคม จะต้องแสดงเจตจำนงชัดเจน ในเรื่องการ ปราบปราม ทุจริต ต้องเอาจริงเอาจัง ซึ่งเชื่อว่าหากนายกรัฐมนตรีประกาศชัดเจนต่อต้านการทุจริตองคาพยพต่างๆพร้อมจะเดินตาม ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. ปปง. ป.ป.ท. จะมีความเข้มข้นในการตรวจสอบเพื่อลดปัญหาทุจริตและยกค่า CPI ให้เข้มข้นเราเข้มข้นอยู่และพร้อมดำเนินการ.-319.-สำนักข่าวไทย