รัฐสภา 29 ม.ค.-สภาฯ เอกฉันท์ รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ด้าน “มนพร” ยันเพื่อให้ประชาชนเดินทางได้ทุกระบบด้วยบัตรใบเดียว ลดค่าใช้จ่าย-ลดโลกร้อน ขณะที่ “สุรเชษฐ์” ชี้ร่างของ ปชน. ค่าโดยสาร 8-45 บาท ตลอดทาง ทั้งรถไฟ รถไฟฟ้า รถเมล์ เรือ เหน็บ “ตั๋วร่วม” อาจไม่ตอบโจทย์นโยบาย 20 บาท ที่มีแต่ระบบราง
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง เป็นประธานในที่ประชุม วาระพิจารณาเรื่องด่วน ร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ….ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)เป็นผู้เสนอ และร่างที่นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และคณะเป็นผู้เสนอ
นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจงหลักการและเหตุผล เพื่อเป็นการสนับสนุน การให้บริการขนส่งสาธารณะ ทั้งรถไฟ รถไฟฟ้า รถเมล์ และเรือโดยสาร โดยในสถานการณ์ปัจจุบันการขนส่งสาธาณณะและการบริการที่มีความหลากหลาย โดยให้ผู้บริการแต่ละรายมีต้นทุนในการจัดการและบริหาร รวมทั้งการจัดเก็บผู้โดยสารหรือค่าธรรมเนียมของตนเอง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ต้นทุนของการให้บริการขนส่งสาธารณะอยู่ในอัตราที่สูงและผู้ใช้บริการต้องรับผิดชอบต้นทุนดังกล่าว และยังทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้บริการขนส่งสาธารณะ ดังนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายแก้ประชาชนผู้ใช้บริการโดยใช้บัตรโดยสารใบเดียว เดินทางได้ทุกระบบของการบริการขนส่งสาธารณะ ซึ่งจะทให้ประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมจากขนส่งส่วนบุคคลมาเป็นขนส่งสาธารณะ ช่วยลดค่าใช้จ่าย ลดภาวระโลกร้อน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาล
นางมนพร กล่าวต่อว่า ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีหลัการสำคัญ 5 ประการ คือ 1.การจัดทำมาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วมเพื่อให้เป็นมาตรฐานกลาง โดยมีสำนักงานนโยบายและแผนและการขนส่งการจราจาร หรือสนข.และใช้เป็นมาตราฐานกลางสำหรับตั๋วร่วมในอนาคต 2.เป็นการกำหนดอัตราโดยสารร่วม โดยนอำนาจของรมว.คมนาคมในการออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม และเป็นการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐจะต้องนำอัตราค่าโดยสารร่วมไปใช้บังคับในการทำสัญญาสัมปทานขนส่งสาธารณะในอนาคต 3.จัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม 4.ผู้ประกอบการที่จะมีสิทธิ์ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตตามกฏหมายฉบับนี้ และ 5.ในกรณีมีความจำเป็นให้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้มีการประกอบกิจการขนส่งสาธารณะใดเป็นกิจการที่ต้องใช้ระบบตั๋วร่วม และต้องได้ใบรับอนุญาตตามกฏหมายฉบับนี้ เพื่อรักษาการให้บริการระบบตั๋วร่วม หรือเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดในการส่งเสริมระบบตั๋วร่วมเพื่อป้องกันการเสียหายต่อสาธารณะ
“ภาพรวมทั้งหมดของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้มีทั้งหมด 7หมวด 54 มาตรา เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายและอำหนวยความสะดวกให้กับประชาชนด้วยการใช้บัตรโดยสารใบเดียวเดินทางได้ทุกระบบของการบริการขนส่งสาธารณะ ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางจากขนส่งส่วนบุคคลมาเป็นการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาล” นางมนพรกล่าว
ด้าน นายสุรเชษฐ์ กล่าวเสนอหลักการและเหตุผลของร่างกฎหมายที่ได้เสนอ โดยสรุปถึงข้อแตกต่างระหว่างร่างของร่างรัฐบาลและร่างของพรรคประชาชน เพื่อชี้เห็นว่าเหตุใดถึงต้องใช้ร่างของพรรคประชาชนเป็นร่างหลัก ว่าโดยหลักการเราสนับสนุนให้มีระบบตั๋วร่วม แต่เราต้องการให้เอาประชาชเป็นตัวตั้ง ระบบสาธารณะที่ดีไม่ใช่มีเฉพาะร่าง ต้องทำให้รถเมล์กับรถไฟฟ้าทำงานร่วมกันได้ ไม่ใช่สร้างโลกคู่ขนานอุดหนุนแต่รถไฟฟ้า แล้วละเลยรถเมล์ ซึ่งมีหลายประเด็นที่ ร่างพ.ร.บ.ของ ครม.และพรรคประชาชนแตกต่างกัน เช่น คำว่าตั๋วร่วม กับค่าโดยสารร่วม ซึ่งคำว่า “ค่าโดยสารร่วม”จะส่งผลโดยตรงต่อชีวิตประชาชนจริงๆ หรือ กรณี ตั๋วร่วม 20 บาทตลอดทางของพรรคเพื่อไทย ซึ่งหมายถึงเฉพาะรถไฟ รถไฟฟ้า แต่ค่าโดยสารร่วมตามข้อเสนอของพรรคประชาชนมีราคา 8-45 บาทตลอดทาง ที่รวมถึงทั้งรถไฟ รถไฟฟ้า รถเมล์ เรือ ดังนั้นจะต้องเขียนกฎหมายให้ครอบคลุมกับการบริการขนส่งสาธารณะทั้งหมดของประเทศ
“พ.ร.บ.ตั๋วร่วม อาจจะไม่ได้ตอบนโยบาย 20 บาทโดยตรง แต่อย่างน้อยให้กรอบอำนาจที่จะไปทำ แม้เราจะมีนโยบายที่แตกต่างกัน แต่เราต้องการ พ.ร.บ.เดียวกัน ดังนั้นจะต้องคิดว่าจะเขียน พ.ร.บ.อย่างไรให้ครอบคลุม และไม่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนไปอย่างไร พ.ร.บ.ฉบับนี้จะต้องยังอยู่” นายสุรเชษฐ์ กล่าว
นายสุรเชษฐ์ กล่าวว่า ร่างของพรรคประชาชน มีนิยามที่ชัดเจน ครอบคลุมและไม่สับสน โดยเพิ่มสัดส่วนผู้แทนประชาชนในคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม เพิ่มความชัดเจนและกลไกโดยคำนึงถึงความชัดเจนและการบังคับใช้จริง เพิ่มหน้าที่ผู้ประกอบการระบบร่วมให้เปิดเผยสถานะทางการเงิน เพิ่มความชัดเจนในการใช้เงินกองทุน โดยมุ่งหวังสร้างสมดุลย์การอุดหนุนบริการขนส่งสาธารณะ พร้อมคำนึงถึงภาระทางการคลังระยะยาว
จากนั้นสมาชิกได้อภิปรายแสดงความเห็นที่หลากหลายกว้างขวาง และเห็นด้วยกับการมีร่างพ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม โดยที่ประชุมลงมติเห็นด้วยรับหลักการ 367 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนน 3 เสียง ตั้งคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ…. จำนวน 31 คน ระยะเวลาแปรญัตติ 15 วัน โดยทั้งครม.และพรรคประชาชน ต่างเสนอให้ใช้ร่างที่ตนเสนอเป็นนร่างหลัก และเมื่อลงมติที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้ร่าง ครม.เป็นหลักในการพิจารณา ด้วยคะแนน 226 ต่อ 142 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนน 2 เสียง จึงถือว่าใช้ร่างของ ครม.เป็นร่างหลักในการพิจารณา.-312.-สำนักข่าวไทย