รัฐสภา 28 ม.ค.-สว. รุมจวกนโยบายปราบยาฯ รัฐบาล ไม่เอาจริง แฉ จนท.รัฐตัวการ “ขบวนการแชร์ลูกโซ่ตำรวจ-จับยัดยา” ต้นตอแก้ปัญหายาเสพติดท้องถิ่นไม่ได้ ด้าน “รองเลขาฯ ป.ป.ส.” ยอมรับกฎหมายปราบยาฯ ยังมีข้อบกพร่องที่ต้องปรับปรุงใหม่ เผย 30 ม.ค. ปิดล้อมชายแดนปราบยาอย่างจริงจัง
การประชุมวุฒิสภา ที่มีนายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้พิจารณารายงานผลปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ในการปราบปรามยาเสพติด ประจำปี พ.ศ.2566 โดยมี นายศิริสุข ยืนหาญ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นตัวแทนหน่วยงานชี้แจงต่อวุฒิสภา
นางประทุม วงศ์สวัสดิ์ สว. อภิปรายว่า เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่พบว่าปัญหายาเสพติดแก้ไม่ได้ เพราะ ดีมาน และซัพพลาย คือ เจ้าหน้าที่รัฐ จากประสบการณ์ของตน พบว่าตำรวจเป็นคนจัดหา คนขายคือ ตำรวจ ตนอยู่กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ชาวต่างชาติเสพยา เหตุที่แก้ไขไม่ได้และเป็นมากขึ้น คือ หากไม่สามารถแก้ไขตำรวจ หรือ แชร์ลูกโซ่ หรือดาวกระจายในตำรวจ ไม่มีทางแก้ปัญหายาเสพติดในท้องถิ่นได้
“แชร์ลูกโซ่ตำรวจ จะจับยัดยา ถ้าไม่อยากให้จับ ไปหาบัญชีมา 5-10 คนไม่งั้นไม่ปล่อย หาบัญชีม้า ต้องต่อยอดต่อไป เป็นดาวไลน์ และลูกโซ่ เป็นข้อเท็จจริงที่ ลูกน้องของดิฉันโดนกระทำ การจับยา10 ล้านเม็ด จับแล้วไปไหน ไปอยู่หน่วยงานใด แล้วทำไมต้องเวียนให้เจ้าหน้าที่รัฐ หรือคนที่เกี่ยวข้องจำหน่าย จ่ายแจก อีก เป็นปัญหาที่ไม่มีวันจบสิ้น ขอเสนอแนะต้องกำจัดพวกเจ้าหน้าที่รัฐ ฐานะผู้ใช้กฎหมายที่ทำผิดเอง ที่มีพฤติกรรมเป็นพวกนาโต้ คือ โนแอคชั่น ทอล์กโอลี่ จับ ถ่ายรูป แล้วจบ หูหนวก ตาบอด จับไม่ได้ ทั้งที่ทำอยู่ข้างบ้าน” นางประทุม ระบุ
ด้าน พล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสวย สว. อภิปรายว่าตน ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลตั้งแต่ก่อนปีใหม่จนถึงขณะนี้ยังไม่มาตอบเลยว่ารัฐบาลจะทำอะไรบ้าง อย่าให้ปปส.แบกรับภาระอยู่ฝ่ายเดียว ถึงเวลาที่ต้องเป็นวาระแห่งชาติ นายกรัฐมนตรีต้องมานั่งหัวโต๊ะเรียกทุกกระทรวง ทบวง กรม มาทำงานร่วมกัน กว่า 80% เปอร์เซนต์ คนอายุ 18 ถึง 25 ปีติดอยู่ในเรือนจำ ซึ่งถือเป็นแรงงานของประเทศหายหมด มีแต่แรงงานต่างชาติมาทดแทน ตนขอให้กำลังใจปปส. ที่มาถูกทางแล้ว และขอให้ทำต่อไป อย่างไรก็ตามตนขอท้วงติงว่างบประมาณปราบยาเสพติด ที่ขณะนี้เข้าไปอยู่ ตามหน่วยต่างๆ 20 กว่าหน่วย บางหน่วยไม่รู้จะทำอะไรก็เอามาแปะเป็นงบต้านยาเสพติด ตนขอให้ยกเลิกนโยบายกีฬาต้านยาเสพติด เพราะไม่ได้เป็นการต้านอย่างแท้จริง จึงขอให้ทบทวนหากตรงไหนไม่เหมาะสมขอให้ตัดแล้วมารวมกันอย่างจริงจัง ปราบปรามให้เข้มข้น
“ตอนนี้ยาเสพติด ยาบ้า ลงไปเด็กประถมแล้ว 7-8 ขวบก็เล่นยาแล้ว ยังไม่พอบุหรี่ไฟฟ้าลงไปถึงเด็กอนุบาลแล้ว แล้วประเทศไทยจะเหลือ อะไรวันดีคืนดีท่านประธานเดินออกไปจากสภาอาจจะโดนปาดคอเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะพวกบ้าเต็มเมือง บางอำเภอตผมลงไปตรวจงาน สอบถามว่ามีคนติดยาทั้งอำเภอประมาณเท่าไหร่ ได้รับคำตอบว่า 800 คน และพวกพร้อมที่จะบ้าเกิน 100 คนจึงขอให้ปปส.ทำและสู้ต่อไป ผมจะกระทุ้งรัฐบาลว่าไม่ใช่ดีแต่วาจา ต้องลงมือทำอย่างจริงจัง พูดกันเป็นวาระไม่รู้กี่ชาติแล้ว ไม่รู้ชาติหน้าหรือเปล่า เราจะแพ้สงครามรอบประเทศแล้วหากยังปล่อยให้เยาวชนใกล้ยาเสพติดอยู่อย่างนี้” พล.ต.ท.บุญจันทร์ กล่าว
ด้านนายอะมัด อายุเคน สว. อภิปรายว่า ตนเคยลงพื้นที่กับกรมราชทัณฑ์ พบว่านักโทษในเรือนจำ 3 แสนคน เป็นนักโทษติดยาเสพติดไปแล้วกว่า 2.8 แสนคน คุกไทยเป็นพื้นที่รองรับคนค้ายาเสพติดที่ดีมาก เคยคุยกับชาวเมียนมาที่ค้ายาเสพติดก็บอกว่าไม่กลัวคุกไทยเพราะมีอาหารให้กิน 3 มื้อ และอาหารครบ 5 หมู่ด้วย มีการออกกำลังกายตอนเช้า และมีสถานพยาบาลดูแล แต่ถ้าติดคุกในเมียนมาหรือต่างประเทศกลัวว่าจะเสียชีวิต
“ผมเสนอให้แก้กฎหมายของประเทศไทยที่ยังอ่อนแอ แก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก แก้ที่ปลายเหตุโดยมีแนวคิดที่จะเสนอให้ยาเสพติดหมดไปภายใน 6 เดือน อย่างสิงคโปร์ที่มีกฎหมายประหารชีวิตคดียาเสพติด แค่มียาไอซ์ ยาบ้าเม็ดเดียว เขาแขวนคอประหารชีวิตเลย ถ้าผมมีอำนาจจะเสนอว่าประเทศไทยควรมีโทษประหารชีวิตเหมือนกัน ถ้าเรามีจุดยืนกล้าทำ ทำไปเลย แต่ถ้ากฎหมายออกไปจริง ผมอาจจะโดนคนแรก หน้าบ้านผมอาจจะมีพวกสิทธิมนุษยชน ภาคประชาสังคม มาดักหน้าบ้านเต็มไปหมด มาดูว่าผมถูกสั่งมาเกิดจากนรกหรือเปล่า ถึงใจร้ายใจดำ ซึ่งไม่ใช่เพราะผมเห็นว่าประชากรของเราต้องมีคุณภาพ“นายอะมัด กล่าว
นายอะมัด กล่าวว่า หากจะลงโทษด้วยการประหารชีวิต ก็ไม่ต้องทำใต้ดิน ไม่ต้องไปวิสามัญฆาตกรรม เหมือนสมัยใครไม่รู้ที่วิสามัญไป 2,000 กว่าคน ขอให้ประหารเลยภายใน 3 เดือน และถ่ายทอดโทรทัศน์ด้วย รับประกันได้ว่าไม่มีใครกล้าทำผิดแน่นอนพร้อมย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งชุด แต่งตั้งชุดใหม่ ลองดูว่าทำได้หรือไม่
“หากลูกหลานของใครไม่เคยติดยาก็จะไม่รู้ว่าช้ำใจแค่ไหน เราไม่ควรต้องสนใจต่างชาติ ควรตั้งศาลพิเศษขึ้นมาให้ตัดสินภายใน 3 เดือน มีโทษประหารชีวิตและโฆษณาผ่านสื่อ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่นายอะมัดอภิปรายอยู่นั้น มี สว. หลายคนมายืนอยู่ด้านหลัง ทำให้นายอะมัด กล่าวขึ้นว่า “ท่านว่าทำได้ไหม กองเชียร์ผมบอกว่าทำได้หมด” พร้อมกล่าวอีกว่า ข้อเสนอตนอาจรุนแรงไปหน่อย มันไม่ใช่ความรุนแรงแต่เป็นความเด็ดขาด แต่หากยังลูบหน้าปะจมูกอยู่ อนาคตของเด็กไทยจะไม่มีแล้ว อย่าให้ยาเสพติดมาทำร้าย ตนเป็นอิสลาม เคยกล่าวว่าศาสนานี้ไม่มีขโมย เพราะในมุสลิมมีกฎหมายตัดมือผู้ลักขโมย แต่ประเทศไทยทำไม่ได้ เพราะคนไทยใจบุญสุนทาน
ด้านนายศิริสุข ชี้แจงว่า แม้กฎหมายเราจะแรง เรามีกฎหมายที่เกี่ยวข้องถึง7 ฉบับ แต่ก็มีความขัดแย้งกันจนปรับปรุงกลายเป็นประมวลกฎหมายยาเสพติด แต่ใช้ 3 ปีแล้วมีบางมาตราที่ต้องปรับปรุงเพื่อให้เป็นประโยชน์กับการแก้ปัญหา ที่ผ่านมานายกฯเคยเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวต้องประชุมหลายครั้ง โดยวันที่ 30 ม.ค.นี้จะมีปฏิบัติการปิดล้อมชายแดนเพื่อปราบปรามยาสเพติด ยอมรับว่าขณะนี้ปปส.มีกำลังจริงเพียง 1,040 คน ขณะที่ชายแดนไทยมี5,656 ตร.กม. จึงให้ ปปส.เป็นหน่วยยุทธศาตร์ นโยบาย และอำนวยการบังคับใช้กฎหมาย แต่เราทำทุกคดีไม่ไหว เพราะมีคดีเป็นแสน จึงทำให้โหลด ซึ่งการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่พบการทำผิดต้องโดนลงโทษถึง 3 เท่า สำหรับการจับยาหากตรวจจากนักวิทยาศาสตร์แล้ว จะไม่มีเวียน และต้องนำไปทำลายเมื่อมีปริมาณณถึง 30 ตัน ยืนยันว่าไม่เวียน โดยตั้งแต่ 26 ธ.ค.2566 ต้องเผา และเร่งเผาทุกๆ 2-3 เดือน ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
“ยืนยันว่าค่านิยมของเราคือทุ่มเท เสียสละ และทำงานเพื่อส่วนรวม ขอให้ไว้ใจได้ จะเห็นว่าข่าวปปส.ไปพัวพันยาเสพติดจะน้อยมาก หากมีข้อมูลและพยานหลักฐานให้แจ้งมา หรือ แจ้งต่อ ผบ.ตร. ได้” นายศิริสุข ระบุ.-316.-สำนักข่าวไทย