“โรม” จี้ “อนุทิน” ตัดไฟคู่สัญญานอมินี “หม่องชิตตู่”

รัฐสภา 23 ม.ค.-“โรม” จี้ “อนุทิน” ตัดไฟคู่สัญญานอมินี “หม่องชิตตู่” หวั่นถูกนินทาเอี่ยวอาชญากรข้ามชาติ ขณะปลัด มท. เบี้ยวแจง กมธ.มั่นคงฯ ส่ง กฟภ.แจงแทน เผยส่งข้อมูลให้ ปปง.-ป.ป.ส.-ดีเอสไอ-ตร. ตรวจสอบคุณสมับติคู่สัญญาเป็นภัยความมั่นคงหรือไม่ เล็งสรุปแนวทางตัดไฟ 29 ม.ค.นี้

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมพิจารณาศึกษาและติดตามความคืบหน้า การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการฟอกเงินการใช้บัญชีม้า และการซื้อขายไฟฟ้าบริเวณชายแดนแม่สาย


โดยวันนี้มีการเชิญปลัดกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อำเภอแม่สาย แต่ปรากฏว่า วันนี้ปลัดกระทรวงมหาดไทย ไม่ได้เข้ามาชี้แจง แต่ได้มอบหมายให้ตัวแทนจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ชี้แจงแทน โดยให้เหตุผลว่า ติดภารกิจที่จังหวัดสงขลา

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า กมธ.มีการประชุมพิจารณาปัญหานี้หลายครั้งแล้ว ซึ่งครั้งนี้จะมุ่งไปที่การใช้ทรัพยากรของไทยอย่างไฟฟ้า ที่ถูกป้อนให้กับอาชญากรข้ามชาติ พร้อมเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง โดยเฉพาะการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอแม่สาย ที่สัมพันธ์กับเครือข่ายยาเสพติด และในเรื่องเปิดบริษัทนอมินีเพื่อรับสัญญาแทน ซึ่งการที่ไทยยังต้องอยู่กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และกลุ่มค้ายาเสพติด โดยที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นผู้ขายไฟให้ จึงเห็นว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้


นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า มีข้อมูลใหม่ ตั้งแต่ยุครัฐมนตรีนายเศรษฐา ทวีสิน ที่มีคำสั่งทบทวนการพิจารณาตัดสาธารณูปโภคพื้นฐานแล้ว และมีคำสั่งกระทรวงมหาดไทยในการพิจารณาให้ติดตามตามมติคณะรัฐมนตรี โดยมีคำสั่งหลายอย่างที่ควรเดินหน้าได้ แต่ขณะนี้ติดอะไร ทำไมการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคถึงพิจารณาตัดไฟยากเย็น ทั้งที่หลักฐานหลายอย่างประจักษ์ชัดแจ้ง

นายรังสิมันต์ ยังฝากไปถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่าเป็นเรื่องที่กระทรวงมหาดไทยดูแลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งมีอำนาจดำเนินการได้เลย แต่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ อยากให้ประชาชนซุบซิบนินทาว่า สุดท้ายแล้วอาจจะมีส่วนร่วมกับขบวนการหรือเครือข่ายอาชญากรข้ามชาติ

ส่วนที่นายอนุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงถึงขั้นตอนการขายไฟฟ้าให้เมียนมา หากมีการนำไปทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย ก็ต้องเป็นสิ่งที่เมียนมาร์แก้ไขดำเนินการนั้น นายรังสิมันต์ ระบุว่า บริษัทที่เป็นคู่สัญญากับการไฟฟ้า เป็นบริษัทนอมินีของ นายหม่อง ชิตตู่ ผู้นำของกองกำลังแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือ KNA ซึ่งเป็นที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และไฟฟ้าเหล่านี้ถูกนำไปจำหน่ายให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งการที่บอกว่า บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทของตัวแทนทางเมียนมา ก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่สถานการณ์ในเมียนมา และรัฐบาลเมียนมาวันนี้ล้มเหลว มีการสู้รบเป็นสงครามกลางเมือง จะมองว่า เป็นประเทศปกติไม่ได้ นายอนุทินต้องเข้าใจ ซึ่งที่ผ่านมา ตนเคยเปิดเอกสารในสภาว่า มีหนังสือส่งมาที่กระทรวงมหาดไทยซึ่งมีการอ้างมติ ครม. คำถามคือแล้วกระทรวงมหาดไทยไม่ต้องทำตามมติครม. หรือใช่หรือไม่ และปลัดกระทรวงมหาดไทยก็เคยทำหนังสือส่งตามไปด้วยเช่นกัน แล้วทำไมการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจึงขายไฟฟ้าได้ต่อ ส่วนตัวคิดว่าการตัดไฟสามารถทำได้ แต่วันนี้ที่ตัดไม่ได้เพราะมีผลประโยชน์หรือไม่


เมื่อถามถึงกรณีที่รัฐบาลทหารเมียนมา ออกมาเปิดเผยว่า เพื่อนบ้านทำให้ปราบคอลเซนเตอร์ไม่ได้นั้น นายรังสิมันต์ ยอมรับว่า ก็เข้าใจในทางปฏิบัติรัฐบาลทหารเมียนมา ไม่สามารถจะเข้าไปปราบปรามได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่เขตอิทธิพลของชนกลุ่มน้อย เพราะฉะนั้นการปราบปรามก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สิ่งที่รัฐบาลทหารเมียนมาพูดมาก็ถือเป็นการยืนยันว่า ปัญหาที่ตนเคยพูดมาตลอดว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคต้องมีการตัดไฟเป็นเรื่องจริง ซึ่งสื่อที่มีการเผยแพร่ออกมาก็เป็นสื่อที่เป็นกระบอกเสียง ให้กับรัฐบาลทหารเมียนมา ตนจึงคิดว่า ไทยต้องทบทวนตัวเองว่าน่าละอายใจขนาดไหน ที่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น และวันนี้ไทยไม่ใช่แบตเตอรี่ธรรมดา แต่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างคอลเซนเตอร์ขึ้นมา

ขณะที่การชี้แจงนั้น ตัวแทนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ชี้แจงว่า การไฟฟ้าได้รับนโยบายและข้อสั่งการของกระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการ โดยเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2567 ได้หารือกับ ป.ป.ส. และ ปปง. เพื่อพิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่จะทำการซื้อขายไฟฟ้าหรือคู่สัญญา ที่จะซื้อขายไฟฟ้ากับไทย ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานได้ให้การไฟฟ้าส่งข้อมูลของผู้ที่จะซื้อไฟฟ้า เข้าสู่การตรวจสอบ เพราะ ป.ป.ส.และ ปปง. มีอำนาจหน้าที่ ในการตรวจสอบคุณสมบัติของนิติบุคคล คณะกรรมการบริหาร ผูุ้ถือหุ้นว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดหรือไม่ หลังตรวจสอบเสร็จจะส่งให้การไฟฟ้าพิจารณา และเพื่อความครบถ้วนทึ่ประชุมยังให้ การไฟฟ้าส่งข้อมูลให้กับ ดีเอสไอ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ช่วยตรวจสอบอีกทางหนึ่งด้วย จากนั้นในวันที่ 9 ธ.ค.2567 กฟภ. ได้ส่งเรื่องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ถึงแนวทางงดจำหน่ายไฟฟ้า ในวันที่ 24 ธ.ค.2567 กฟภ.ได้ประชุมร่วมกับ สมช.และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางการจัดการ พื้นที่ชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านและวันที่ 25 ธ.ค.2567 คณะกรรมการของ กฟภ.ลงไปสำรวจ ณ จุดซื้อขายไฟฟ้า ในพื้นที่ จ.ตาก ซึ่งเหลืออยู่ 2 จุด ในวันที่ 26 ธ.ค. 2567 กฟภ.ได้จัดประชุมกับแนวงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำแนวทางปฎิบัติ กรณีงดจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่ใกล้เคียงที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ เพื่อรวบรวมและนำเสนอต่อ ครม. กระทั่ง 7 ม.ค.2568 กฟภ.ได้ส่งข้อมูลผู้ขอซืัอไฟฟ้าไปถึง ป.ป.ส. ปปง. ดีเอสไอและ ตร. ให้ช่วยตรวจสอบ ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ในขณะที่ กฟภ.ได้ดำเนินการประสานกับคู่สัญญา เพื่อขอข้อมูลระบบจำหน่ายไฟฟ้าจากประเทศใกล้เคียง ที่เราให้บริการ

ซึ่งในวันที่ 29 ม.ค.ที่จะถึงนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการ กฟภ. เพื่อเสนอแนวทางการงดจำหน่ายไฟฟ้า ให้กับประเทศใกล้เคียง ในกรณีที่มีผลกระทบเรื่องความมั่นคงของประเทศ เพื่อเสนอเป็นความเห็นให้ ครม.พิจารณา

ขณะที่ตัวแทน สมช.ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า จากการประชุมหารือกับ กฟภ. รวมถึงการตรวจสอบล่าสุด ยังไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะยืนยันว่า บริษัทที่นำกระแสไฟฟ้า จาก กฟภ.ไปใช้ กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ แต่สมช.ก็เข้าใจว่า การใช้ไฟฟ้าก็ต้องวนกันไป ดังนั้น สมช.จะประสานกับหน่วยงานด้านความมั่นคง รวมถึงการไฟฟ้า เพื่อให้ได้ความชัดเจนว่า สรุปแล้วการใช้ไฟฟ้ากระทบต่อความมั่นคงหรือไม่.-315.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดเนื้อหาหนังสือแจง UNSC กัมพูชาวางทุ่นระเบิด-เริ่มยิงก่อน

25 ก.ค.- เปิดเนื้อหาหนังสือจากผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นิวยอร์ก เพื่อชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ส่งหนังสือชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ขอแจ้งให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกท่านทราบ ถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.     เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี ค.ศ. […]

“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน”

ก.มหาดไทย 25 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน” ชี้รับฟังทุกความไม่พอใจ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามยุทธวิธี ให้ทหารมีอิสระในการทำงาน มอง “ก่อแก้ว” ขอศาล รธน. คืนอำนาจให้ “แพทองธาร” เป็นความเห็นเหมือนประชาชนจำนวนมาก แต่ให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุถึง อยากให้กองทัพสั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซนก่อน ว่า ก็เหมือนประชาชนทั่วไป ที่เวลานี้มีความรู้สึกเช่นนั้น หลายคนแสดงความเห็นให้ทำแบบนู้นแบบนี้ เราก็รับฟังความห่วงใยความไม่พอใจที่เราถูกกระทำ ตนเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น และเห็นว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพราะเรื่องอธิปไตยของประเทศ การรุกล้ำเข้ามา กระทบประชาชนเรายอมไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายจะเห็นว่าเราประนีประนอม (Compromise) ให้มากที่สุด แต่เมื่อสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และเป็นปัญหา วันนี้จึงได้สั่งการให้ทหารมีอิสระในพื้นที่ โดยผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้คุมยุทธการ ปฏิบัติได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงได้มีการทำความเข้าใจกับ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการโทรคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด […]

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร” ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% ไม่พอใจเข้มปราบแก๊งคอลฯ

กระทรวงวัฒนธรรม 26 ก.ค.- “แพทองธาร” เปิดใจ ขอคนไทยรักกัน หันไปทะเลาะกับคนนอกประเทศก่อน ชี้ขัดแย้งกันเองยังรอได้ แฉกัมพูชาไม่พอใจไทยร่วมมือลาว – เมียนมา ปราบคอลเซ็นเตอร์ เผยสื่อนอกยังตั้งข้อสังเกต “กพช.” สั่งปิด รร.ยิงวันแรก เหมือนรู้ล่วงหน้าจะมีการรบ ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมติดตามมาตรการการรับมือ และช่วยช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 4 จังหวัด ที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยนางสาวแพทองธารได้ยืนยันแถลงการณ์ของรัฐบาล ตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้แถลงไปเมื่อวานนี้ ที่ระบุว่ากัมพูชาถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามขั้นรุนแรง วิธีการต่าง ๆ ขัดต่อหลักสันติวิธีของกฎหมายระหว่างประเทศ และขัดหลักมนุษยธรรมที่ได้ปฏิบัติมาตลอด สถานการณ์ความรุนแรง เป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ย้ำตลอดว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือชีวิตของประชาชน เป็นสิ่งที่เรายึดถือ และพยายามไม่ให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ จนฝ่ายกัมพูชาได้ยิงก่อน ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา นางสาวแพทองธารยังกล่าวว่า มีสำนักข่าวต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้วเรามีหลักฐาน มีดิจิทัลฟุตปริ้นท์ที่สามารถทำให้เห็นว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน และมีการตั้งข้อสังเกตว่าในวันนั้นนักเรียนของเราที่อยู่ชายแดนไปโรงเรียนตามปกติ […]

“เสธ.เบิร์ด” ชี้เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” ถือเป็นภัยคุกคาม

26 ก.ค.- “เสธ.เบิร์ด” ชี้ เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” วิถีไกล 130 กม. ถือเป็นภัยคุกคาม มองไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากกรณีกองทัพภาคที่ 2 เตือนเฝ้าระวังกัมพูชายิงขีปนาวุธ PHL-03 วิถีไกล 130 กม. เพื่อพุ่งเป้าหมายพื้นที่ยุทธศาสตร์และที่ตั้งทหารนั้น ล่าสุด พล.ต.วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กล่าวว่า การขยับขีปนาวุธ PHL-03 เป็นการขู่ และถือเป็นภัยคุกคาม ดังนั้นถ้าไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากการที่กัมพูชากล่าวหาว่า ไทยใช้ปฏิบัติการทางอากาศเกินกว่าเหตุนั้น เราไม่ทำเกินกว่าเหตุ แต่สิ่งที่เราทำนี้เป็นเหตุผล เพราะฝ่ายกัมพูชา เคลื่อนกำลังจำนวนมากมาประชิดชายแดน ใช้อาวุธยิงระยะไกลทำร้ายประชาชนของไทย ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน สถานีบริการน้ำมัน ทำให้ประชาชนชาวไทยบาดเจ็บ และเสียชีวิต จากการมีภาพข่าวการเคลื่อนอาวุธยิงระยะไกล ถือว่าเป็นการข่มขู่คุกคามความมั่นคงของไทยอย่างชัดเจน ดังนั้นการปฏิบัติการทางอากาศ เพื่อลดการสูญเสีย สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้การปฏิบัติการทางอากาศของไทยทำลายเป้าหมายทางทหารเท่านั้น และมีความแม่นยำ -สำนักข่าวไทย

น้ำท่วมน่านลดต่อเนื่อง ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย

น่าน 26 ก.ค.- สถานการณ์น้ำท่วมตัวเมืองน่าน ลดลงต่อเนื่อง ส่วนอีกหลายจุดยังอ่วม ท่วมสูงกว่า 1 เมตร ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย ย่านการค้าและเศรษฐกิจสำคัญของเมืองน่าน บริเวณถนนสุมณเทวราช ซึ่งเคยน้ำท่วมสูงเกือบถึงคอ แต่ตอนนี้น้ำลดลงเหลือประมาณหน้าขา เท่ากับลดไปราว 1 เมตร แต่บริเวณโดยรอบยังมีน้ำท่วมเต็มพื้นที่ โดยเฉพาะที่ลุ่มต่ำ ยังท่วมสูงกว่า 1 เมตร ทีมข่าวได้เข้าไปสำรวจความเสียหายของโรงแรงแห่งหนึ่งกลางเมืองน่าน ซึ่งสภาพภายในเต็มไปด้วยคราบโคลน รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ที่จอดไว้เสียหายจำนวนมาก ขณะที่เจ้าของร้านค้าย่านนี้ เริ่มสำรวจความเสียหายจากน้ำท่วม อีกจุดหนึ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักคือที่โรงพยาบาลน่านที่ถูกน้ำท่วมสูงเต็มพื้นที่ 40 ไร่ บางจุดท่วมเกือบมิดหัว ตอนนี้น้ำลดแล้ว แต่ตามอาคารต่างๆ น้ำทะลักท่วมยาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ได้รับความเสียหาย แต่ผู้ป่วยใน ราว 3 ร้อยคน ยังปลอดภัย คุณหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่เร่งช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาด เพื่อให้โรงพยาบาลกลับมาเปิดบริการตามปกติให้เร็วที่สุด ช่วงสายที่ผ่านมา นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายใจกลางเขตเศรษฐกิจเมืองน่านด้วย -สำนักข่าวไทย