รัฐสภา 21 ม.ค.-วุฒิสภา พิจารณาผลงาน กกต. แนะให้เข้มการทำงานเลือกตั้งท้องถิ่น ด้าน “แสวง” แจง กกต. ต้องรักษาระบบ พร้อมยอมรับเลือกตั้งที่ผ่านมามีข้อผิดพลาดแต่เปอร์เซ็นต์น้อย ระบุอีโหวตดิ้ง พร้อมใช้เลือกตั้งท้องถิ่น-ประชามติ
ในการประชุมวุฒิสภา ซึ่งมีพล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้พิจารณา รายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำปีงบประมาณ 2566 ตามมาตรา 22(8) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พ.ศ.2560 โดยมีนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. และคณะร่วมชี้แจง โดยในการอภิปรายของสว. นั้น มีการท้วงติงต่อการทำงานของกกต.ในกระบวนการเลือกสว. ที่มีข้อครหาว่ามีกระบวนการเลือกกันเองของผู้สมัครกลุ่มต่างๆ ไม่โปร่งใส จนมีประเด็นฟ้องร้องต่อศาลหลายกรณี นอกจากนั้นแล้วยังมีข้อเสนอให้ กกต. ได้พิจารณานำเครื่องออกเสียงลงคะแนนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์มาทดลองใช้ในการเลือกตั้ง เพื่อสามารถพัฒนาระบบไม่ให้มีข้อผิดพลาดในการใช้ลงคะแนนในการเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงหนึ่งของการอภิปราย สว. ได้ซักถามถึงความพร้อมต่อการเลือกตั้งท้องถิ่น รวมถึงการกำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันเสาร์ที่ 1 ก.พ. แทนวันอาทิตย์ รวมถึงความพร้อมของเจ้าหน้าที่ โดยนายนิคม มากรุ่งแจ้ง สว. อภิปรายเป็นข้อเสนอให้ กกต. สั่งการไปยังผู้อำนวยการการเลือกตั้งจังหวัดให้จัดการอบรมผู้ปฏิบัติงานในการเลือกตั้งท้องถิ่นในวันที่ 1 ก.พ. อย่างเข้มงวดจริงจัง ทั้งนี้ทราบว่ามีงบประมาณจัดอบรม 1 วัน แต่พบการจัดอบรมจริงแค่ครึ่งวัน อาจทำให้ผู้ปฏิบัติงานไม่มีความรู้ในการปฏิบัติหน้าที่วันเลือกตั้ง ขณะที่ชุดเคลื่อนที่เร็วสำหรับการเลือกตั้ง อบจ. และส.อบจ. ที่จะปฏิบัติหน้าที่ 23 ม.ค. นี้ ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ควรทำได้จริง หากผู้ตรวจการเลือกตั้งเรียกใช้บุกจับยามวิกาลต้องพร้อมตลอดเวลาไม่ใช่แค่ตรวจตามหน่วย ขอให้กกต.สั่งการไปยังจังหวัดให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถทำงานได้จริง
นายแสวง ชี้แจงว่า กกต. ไม่ได้คิดต่างจากประชาชนทุกเรื่อง แต่บางอย่างที่คิดต่างออกไปเพราะกฎหมายกำหนด ที่อภิปรายเช่น รูปแบบบัตรออกเสียงลงคะแนน การประกาศผลที่ล่าช้า หรือการจัดให้บางอาชีพของสว.จัดอยู่ในกลุ่มเลือกของสว. เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนลงสมัครเป็น สว. ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้การประกาศผลช้านั้นเป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนด หากประกาศน้อยกว่าหรือมากกว่าจะไม่ปลอดภัยต่อกระบวนการการเลือกตั้ง ทั้งนี้ กกต. ไม่ใช่ผู้วินิจฉัยว่าการเลือกตั้งจะเป็นโมฆะหรือไม่ หากทำเกินกฎหมาย
“สำหรับการเลือกตั้ง 1 ก.พ. นั้น มีหน้าที่รักษากระบวนการการเลือกตั้งให้สำเร็จ หากเกินจากนั้นเวลาที่กฎหมายกำหนด อาจมีคนไปร้องและทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้ ดังนั้นต้องรักษากระบวนการการเลือกตั้ง ผมเข้าใจคนที่ลงแข่งขันอยากให้ประชาชนมีส่วนร่วม แต่ กกต.ต้องรักษาระบบ” นายแสวง ชี้แจง
นายแสวง ชี้แจงต่อว่าสำหรับการลงคะแนนเลือกตั้งด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือ อีโหวตดิ้งนั้น ขณะนี้กฎหมายไม่ให้ใช้ แต่หากพิจารณาการเลือกตั้งที่อาจนำมาใช้ได้ คือ ระดับท้องถิ่นและการออกเสียงประชามติ เพราะกฎหมายเปิดโอกาสให้ใช้ได้ ขณะที่การตรวจสอบนโยบายของพรรคการเมืองนั้น เป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมาย อย่างการเลือกตั้งที่ผ่านมา พบว่ามีพรรคที่เสนอนโยบาย พบว่า มี 700 โครงการ งบประมาณรวม 7 แสนล้านบาท ที่มองว่าเป็นนโยบายประชานิยมนั้นสุดแล้วแต่ประชาชน แต่การตรวจสอบของกกต.ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ในการทำงานของ กกต.ยืนยันหลักความโปร่งใส มีส่วนร่วมของประชาชน อำนวยความสะดวกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง สำหรับการเลือกตั้งที่ผ่านมายอมรับว่า มีปัญหาอยู่ 30 -40 หน่วย ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์น้อย.-319.-สำนักข่าวไทย