“พริษฐ์” รอหารือ 3 บุคคลสำคัญ ลุยทำประชามติ 2 ครั้งเพียงพอ

รัฐสภา 6 พ.ย.-“พริษฐ์” รอหารือ 3 บุคคลสำคัญ “ปธ.รัฐสภา-นายกฯ-ศาล รธน.” เดินหน้าทำประชามติ 2 ครั้งเพียงพอ ชี้หากไม่บรรจุร่างแก้ รธน. ให้มี ส.ส.ร.จัดทำ รธน.ใหม่ก่อน ก็ไม่สามารถมีรัฐธรรมนูญใหม่ได้ทันเลือกตั้งครั้งหน้า

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส. พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการร่วมพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กล่าวถึงการประชุม ร่วมพ.ร.บ.ประชามติฯ ว่า ว่าไม่ควรใช้เวลานานเพราะประเด็นที่เห็นต่างกันระหว่างสภาผู้แทนราษฎร กับวุฒิสภามีแค่ประเด็นเดียว คือ เรื่องใช้กติกาเสียงข้างมาก 1 ชั้นหรือ 2 ชั้น นอกจากนี้ หากรัฐบาลยึดแผนเดิม คือการทำประชามติ 3 ครั้ง และจะไม่ทำครั้งแรก จนกว่ามีการแก้พ.ร.บ.ประชามติเสร็จ ตนเกรงว่าจะมีความเป็นไปได้น้อยมาก ที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ถูกจัดทำโดย สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป เพราะตามแผนเดิมมีความประสงค์ที่จะให้ประชาติครั้งแรกพร้อมกับการเลือกตั้งท้องถิ่นในช่วงต้นปี 2568 ซึ่งร่างพ.ร.บ.ประชามติยังไม่สรุปก็มีความเป็นไปได้น้อยมากว่ากรอบเวลาดังกล่าวจะเป็นจริงได้ หนทางเดียวที่จะเราจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ถูกจัดทำโดยส.ส.ร. ใช้บังคับก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป คือการลดจำนวนประชามติจาก 3 ครั้งเหลือ 2 ครั้ง ซึ่งพรรคประชาชนก็ยืนยันมาโดยตลอดว่าหากยึดความจำเป็นทางกฎหมาย 2 ครั้งก็เพียงพอ แต่จะเป็นเช่นนั้นได้จะต้องหารือกับมี 3 บุคคลสำคัญ ซึ่งทางกรรมาธิการพัฒนาการเมืองสภาผู้แทนราษฎรได้ทำหนังสือเพื่อขอหารือแล้ว คือ 1. ประธานรัฐสภานายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ที่ได้มีการตอบกลับมา ให้เข้าหารือในวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้ เพราะความจำเป็นในการเข้าพบประธานรัฐสภาเพื่อชี้แจง ถึงกระบวนการการบรรจุ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการ มีส.ส.ร.ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนได้ยื่นไปตั้งแต่ต้นปี แต่ประธานรัฐสภาไม่บรรจุในระเบียบวาระ เพราะกังวลว่าจะขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงหวังว่าการหารือในช่วงปลายเดือนนี้ จะเป็นการคลายข้อกังวลให้กับประธานรัฐสภาว่า การบรรจุร่างดังกล่าวในระเบียบวาระไม่ขัดรัฐธรรมนูญ หากดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยก็จะเห็นภาพชัดมากกว่านี้ จึงหวังว่าประธานรัฐสภาจะทบทวนและบรรจุร่างดังกล่าว


นายพริษฐ์ กล่าวว่าบุคคลที่ 2 คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าฝ่ายรัฐบาล หากประธานรัฐสภาบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมร่างดังกล่าวจะผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการลงมติความเห็นชอบของสส.แต่ละพรรคและสว.จึงอยากเข้าหารือกับนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเพื่อพยายามที่จะเชิญชวนให้ทุกพรรคการเมืองในซีกรัฐบาลเห็นตรงกันถึงแนวทางการทำประชามติ 2 ครั้ง และ พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับการ มีส.ส.ร.จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และขอความร่วมมือสส.ทุกพรรคการเมืองโน้มน้าว ให้สว.ให้ความเห็นชอบด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อวานได้ทราบด้วยวาจาจากคำสัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีที่ยินดีให้เราเข้าไปพบ ซึ่งหนังสือขอเข้าพบได้ออกไปเมื่อวันศุกร์ ที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และอยู่ในขั้นตอนของสำนักเลขานายกรัฐมนตรีแล้ว

นายพริษฐ์ กล่าวถึงบุคคลสุดท้ายที่อยากหารือคือ ตัวแทนจากศาลรัฐธรรมนูญ แม้ตนเองจะยืนยันว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้บอกว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้ง แต่เพื่อให้เกิดความชัดเจนของทุกฝ่าย ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งหากศาลรัฐธรรมนูญจะมาขยายความเพิ่มเติมว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หมายถึงขั้นตอนอย่างไร เพราะก่อนหน้านี้ที่สภาผู้แทนราษฎรได้ส่งหนังสือไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยเรื่องนี้อีกครั้ง แต่ศาลไม่รับไว้ วินิจฉัยโดยบอกว่าคำวินิจฉัยก่อนหน้านี้ชัดเจนแล้ว ดังนั้นหากมีตัวแทนของศาลรัฐธรรมนูญมาขยายความเรื่องนี้ก็จะเป็นประโยชน์ให้ทุกฝ่ายสบายใจในการเดินหน้าทำประชามติ 2 ครั้ง


เมื่อถามว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญดูเหมือนน.ส.แพทองธารกังวลเรื่องถูกฟ้อง นายพริษฐ์ กล่าวยืนยันว่าการขอเข้าพบ ประธานรัฐสภา นายกฯ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะปิดช่องโหว่ และทำให้นายกฯ คลายกังวลได้

นายพริษฐ์ หวังว่าทั้ง 3 บุคคลที่คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองสภาผู้แทนราษฎรขอหารือจะสำเร็จได้ภายในเดือนนี้ ส่วนกรณีที่ในการประชุมครั้งแรกของกรรมาธิการร่วม ดูเหมือนเสียงสส.จะแพ้โหวตฝั่งสว.นั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ถ้าดูผลการลงมติ เลือกประธานในที่ประชุม ตัวแทนจากทางวุฒิสภาได้คะแนนมากกว่า จำนวนสว. ที่เข้าประชุมในวันนั้นดังนั้นหมายความว่า คงมีกรรมาธิการสัดส่วนสภาผู้แทนราษฎรที่ไปลงมติให้กับทางซีกสว. แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นใครเพราะเป็นการลงมติแบบลับ

ส่วนตัวแทนฝั่งสส.ของพรรคภูมิใจไทย มีแนวโน้มว่าจะเห็นด้วยกับการทำ ประชามติ 2 ชั้น ซึ่งเป็นความเห็นเดียวกับทางฝั่งวุฒิสภานั้น นายพริษฐ์กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการคุยในรายละเอียดลงลึกในเนื้อหาแต่ถ้าวิเคราะห์จากการลงมติในห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎรก็จะเห็นว่า สส.ทุกพรรคมีการลงมติ ยืนยันร่างของสส. มีเพียงพรรคเดียวที่งดออกเสียง คือพรรคภูมิใจไทยจึงพอจะอนุมานได้ว่าหากจะมีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งจะเห็นด้วยกับสว. ก็อาจจะเป็นพรรคภูมิใจไทยแต่จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ก็ต้องพูดคุยกันในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งในวันนี้คงจะได้รับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายเพิ่มมากขึ้น ตนเองในฐานะกรรมาธิการก็ไปย้อนฟังการอภิปรายของสว.และเชื่อว่าจะสามารถตอบข้อกังวล ของทางฝั่งสว.ได้


ทั้งนี้ หากกรรมาธิการร่วมได้ข้อสรุป ที่สภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบ สภาผู้แทนราษฎรก็สามารถยืนยันร่างของสภาผู้แทนราษฎรได้ เพียงแต่จะต้องบวกเวลาเพิ่มอีก 6 เดือนและหลายคนก็กังวลจะกระทบกับไทม์ไลน์ ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ข้อกังวลเหล่านี้จะหายไป หากเราหันไปใช้กระบวนการที่มีการทำประชามติ 2 ครั้ง ซึ่งใน 6 เดือนตรงนี้จะไม่ส่งผลกระทบกับไทม์ไลน์ดังกล่าว เพราะขั้นตอนแรก ไม่ใช่การจัดทำประชามติเลยแต่เป็นการที่รัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับส.ส.ร. ซึ่งกว่าที่รัฐสภาจะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับ ส.ส.ร.สำเร็จ ข้อสรุปเรื่องพร.บ.ประชามติก็เรียบร้อยแล้ว และ การทำประชามติก็จะไม่ล่าช้าออกไป

ดังนั้น การที่เราหันมาใช้แผนการทำประชามติ 2 ครั้ง ดูน่าจะเป็นทางออกที่ทำให้เราได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่บังคับใช้ก่อนการเลือกตั้งมากที่สุดและรัฐบาลสามารถที่จะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนได้

“ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ความสำคัญกับการประชุมกมธ.ร่วมพ.ร.บ.ประชามติฯ ทำเต็มที่อยู่แล้วแต่จะบอกว่าถ้าเราอยากจะหาช่องทางที่ทำให้เราไม่ต้องมากังวลว่า กระบวนการในการหาข้อสรุปเรื่องพรบประชามติจะใช้เวลาเท่าไหร่คือหันไปใช้แผนการทำประชามติ 2 ครั้งก็จะทำให้เราไม่เจออุปสรรคและไม่เป็นอุปสรรคต่อแผน” นายพริษฐ์กล่าว

ส่วนการไม่บรรจุระเบียบวาระของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ก่อนหน้านี้นั้น เหมือนเป็นเครื่องยืนยันว่า ประธานรัฐสภาทำถูกต้องแล้ว นายพริษฐ์ กล่าวว่าไม่เคยมีใครวินิจฉัย ว่าการบรรจุหรือไม่บรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระถูกต้องหรือไม่ถูกต้องแต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมา ว่ารัฐสภามีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แต่จะต้องมีการทำประชามติ 1 ครั้งก่อนและหลังแต่สิ่งที่แต่ละฝ่าย ตีความกันการทำประชามติ 1 ครั้งก่อนคือก่อนอะไร ซึ่งถ้าเป็นในมุมมองของตนและพรรคเพื่อไทย คือก่อนที่จะมีส.ส.ร.จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ถ้า เป็นในมุมมองของที่ปรึกษาของประธานสภาไปตีความว่า 1 ครั้งก่อน คือก่อนที่เสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขใดๆ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตั้งแต่วาระ 1 จึงทำให้จำนวนการทำประชามติเพิ่มขึ้นอีก 1 ครั้ง นี่คือข้อแตกต่าง ของการตีความคำวินิจฉัยของสารรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าไปดูความเห็นของตุลาการแต่ละคน ส่วนใหญ่เขียนชัดว่าประชามติ 2 ครั้งพอ ก็หวังว่าข้อมูลตรงนี้จะเอากลับมาขยายความละเอียดมากขึ้นและหารือกับประธานสภาเพื่อเห็นว่า การบรรจุร่างดังกล่าวไม่ได้ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

แต่ทั้งนี้หากมีการหารือแล้วแต่ยังไม่บรรจุร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญอีก ตนมองว่าเราคุยด้วยเหตุและผลทางพรรคแกนนำฝ่ายค้านพรรคแกนนำรัฐบาลก็เห็นตรงกันในเรื่องนี้มาโดยตลอดว่าประชามติ 2 ครั้งเพียงพอแล้ว จึงคิดว่าฉันทามติของทั้งพรรคแกนนำฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลจะชี้ให้ประธานได้เห็น.-319.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ธปท.ย้ำเร่งปลดล็อกบัญชีผู้บริสุทธิ์ ทำให้ร้านค้ามั่นใจ

กรุงเทพฯ 15 ก.ย. – ธปท. ย้ำทุกหน่วยงานร่วมกำหนดเงื่อนไขปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้ร้านค้ามั่นใจรับโอนเงินซื้อสินค้า นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงินฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากปัญหาชาวบ้านถูกระงับธุรกรรมและระงับวงเงิน แต่ไม่ได้ระงับเงินในบัญชีในช่วงเดือนกันยายน 68 ตรวจพบบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชี/สัปดาห์ ยอมรับว่าการคุมเข้มในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการกวาดเอาเส้นทางบัญชีที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งโอนเงินผ่าน e-money และคริบโตฯ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบในบางส่วน ในการทำธุรกรรมทางการเงิน ธปท. จึงเร่งหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดเงื่อนไขร่วมกันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ “ธปท., ธนาคาร, ตำรวจ ศปอท. พร้อมปลดล็อกให้กับผู้บริสุทธิ์ มุ่งเน้นบัญชีจำนวนไม่มาก เช่นวงเงิน 100-500 บาท หรือร้านค้า ที่มีการซื้อของมาประกอบอาหารหรือสินค้าในร้านเป็นประจำในยอดที่ไม่สูงมากนัก กลุ่มเหล่านี้จะเร่งตรวจสอบ เพื่อแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าบัญชีรับทราบ พร้อมทำอย่างรวดเร็ว และมุ่งทำความเข้าใจกับร้านค้า ให้เกิดความเชื่อมั่น และรับเงินโอนจากลูกค้า เพราะที่ผ่านมายอดปฏิเสธรับโอนเงินไม่สูงมากนัก หากตรวจสอบเสร็จแล้วคาดว่าใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึง 1 […]

ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ”

กทม. 15 ก.ย.-ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ” หลังครบ 5 วันกักโรค และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำเรื่องขอเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม หลังครบ 5 วัน การกักตัวเฝ้าระวังโรคโควิด-19 และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติตามรายชื่อ 10 คน และทนายความ เข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก โดยก่อนหน้านี้ พันตำรวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ โฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่าอาการของนายทักษิณ โดยรวมดีขึ้น ความดันสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งการเข้าเยี่ยมจะเป็นการพูดคุยผ่านกระจกใส เพื่อความปลอดภัย ล่าสุด ครอบครัวชินวัตรเดินทางมาถึงเรือนจำคลองเปรมแล้ว นำโดยคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์, น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาวคนโต และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี.-สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุม เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน

บช.ก. 15 ก.ย. – “บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุมธานี เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน ฝากให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหาย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกระแสข่าวพระวัดดังจังหวัดปทุมธานี ที่มีความเกี่ยวข้องกับเงินวัดจำนวน 12.2 ล้านบาท ที่โอนเข้าบัญชีสีการายหนึ่ง ว่า เรื่องนี้ทราบว่ามีคนแจ้งความและเป็นคดีความอยู่ที่กองบังคับการปราบปรามแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ และได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากพอสมควร ซึ่งสีกาคนดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสีกาที่ทางตำรวจเพ่งเล็งอยู่หรือไม่จะต้องตรวจสอบในประเด็นนี้ด้วย แต่คดีนี้หลักๆ จะดูที่เส้นทางการเงินของบัญชีวัด หากพบใครเกี่ยวข้องก็จะต้องดำเนินการ ส่วนกรณีที่ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม นำหลักฐานออกมาโพสต์ผ่านโซเชียลนั้น ก็ถือว่ามีประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนจะเรียกเข้าสอบหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานเรื่องนี้จะชัดเจน มีรายงานว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้พบว่ามี 8 คน รวมพระด้วยเป็น 9 คน จึงอยากฝากถึงพระว่า ให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหายเนื่องจากมีหลักฐานจำนวนมาก.-419-สำนักข่าวไทย

บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กทม. 16 ก.ย.-บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เกือบ 5 ล้าน แต่ยายไม่ฟัง ไม่เชื่อว่าโดนหลอก ไล่ตำรวจกลับไป แถมโทรฟ้องมิจฉาชีพว่าตำรวจมากวน สุดท้ายเข้าแจ้งความแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง ตะโกนคุยกับคุณยายวัย 83 ปี ข้ามรั้วประตูบ้าน ว่า อย่าโอนเงินให้มิจฉาชีพอีก หลังธนาคารพบความผิดปกติ เนื่องจากคุณยายถอนเงินออกมาหลายล้านบาท จึงประสานงานไปที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ให้แจ้งมายังตำรวจนครบาล เพื่อตรวจสอบการโอนเงินของคุณยายโดยด่วน ปรากฏว่า เมื่อตำรวจมาถึงบ้าน คุณยายไม่เชื่อ แถมยังคุยโทรศัพท์กับตำรวจปลอมในมือถือตลอดเวลา แล้วไม่เชื่อว่า ตำรวจที่มาหน้าบ้านเป็นตำรวจจริง จนตำรวจตัวจริงอ่อนใจ ทำได้เพียงแค่ประสานงานผู้นำในชุมชนให้ช่วยดูแลคุณยาย และเตือนเรื่องนี้ ล่าสุดคุณยายมาแจ้งความแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน แต่ยังไม่ได้เงินคืน ข้อมูลของตำรวจพบว่า คุณยายโอนเงินไปทั้งหมด 5 ครั้งครั้งแรกวันที่ 3 กันยายน ฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง 3.5 ล้านบาทวันที่ 4 กันยายน โอนเงินสดไป 400,000 บาทวันที่ […]

ข่าวแนะนำ

ประชุมความร่วมมือไทย-กัมพูชา ปราบสแกมเมอร์

สระแก้ว 16 ก.ย.-วันนี้ที่จังหวัดสระแก้ว มีการประชุมสำคัญระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อหวังแนวทางร่วมมือในการปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสแกมเมอร์.-สำนักข่าวไทย

ผู้ค้าทองคำเสนอตั้งเคลียริ่งเฮาส์ ค้านเก็บภาษีเทรดทอง

กรุงเทพฯ 16 ก.ย. – ราคาทองคำนิวไฮตามตลาดโลก การค้าทองคึกคัก ผู้ค้าทองคำค้านแนวคิดภาครัฐเก็บภาษีเทรดทองคำออนไลน์ เพื่อป้องกันบาทแข็งค่า ระบุถอยหลังเข้าคลอง ทำลายการค้า เสนอ ธปท. “ตั้งเคลียริ่งเฮาส์-ปรับสูตรดูแลค่าเงิน” นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด (MTS Gold) กล่าวว่า ในการประชุมระหว่างผู้ค้าทองคำและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วานนี้ ทาง ธปท.มีการสอบถามความเห็นเรื่อง การที่กระทรวงการคลังอาจออกมาตรการเก็บภาษีในการซื้อ-ขายทองคำ โดยเฉพาะธุรกรรมออนไลน์และมีการชำระเป็นเงินบาท เพื่อลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำต่อเงินบาท ซึ่งทางผู้ค้าทองคำ คัดค้านเพราะจะกระทบต่อการค้าทองคำในองค์รวมของทั้งในและต่างประเทศ ทำลายระบบเศรษฐกิจ โดยในขณะนี้การค้าทองคำทั้งในและต่างประเทศแต่ละปีมีมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านล้านบาท/ปี และความนิยมเทรดระบบออนไลน์เพิ่มสูงขึ้น ตามทิศทางเศรษฐกิจดิจิทัล ตอบสนองนพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ ที่นิยมเทรดออนไลน์ทั้งผ่านแอปฯ ต่างๆ และเทรดผ่าน Gold Futures ตลาด TFEX ซึ่งเป็นการเทรดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำภายในประเทศ โดยยอดเทรดเติบโตอย่างมากราว 9-20 ตัน/วัน หรือ 20,000-35,000 สัญญาต่อวัน […]

รอลุ้นโฉมหน้า ครม.อนุทิน 1 คาดช้าสุดทูลเกล้าฯ พรุ่งนี้

พรรคภูมิใจไทย 16 ก.ย.-รอลุ้นโฉมหน้า ครม.อนุทิน 1 คาดช้าสุดทูลเกล้าฯ พรุ่งนี้ หลังนายกฯ ลั่นเสร็จสิ้นภายในสัปดาห์นี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความคืบหน้าการนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีอนุทิน 1 คาดว่าจะมีความชัดเจนเร็วสุดในเย็นวันนี้ (16 ก.ย.) หรืออย่างช้าวันพรุ่งนี้ (17 ก.ย.) ซึ่งต้องรอความชัดเจนจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขณะที่บรรยากาศพรรคภูมิใจไทยในช่วงเช้าวันนี้ยังคงเงียบเหงา มีแกนนำพรรคเดินทางเข้าที่ทำการพรรค อาทิ นายทรงศักดิ์ ทองศรี ว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทย ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เบื้องต้นยังไม่มีกำหนดการเดินทางเข้าพรรคในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายอนุทิน ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ไว้ว่า รายชื่อคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งจะสามารถทูลเกล้าฯ ถลายได้ภายในสัปดาห์นี้.-สำนักข่าวไทย

เตือนภาวะน้ำทะเลหนุนสูง 17-22 ก.ย.

กรุงเทพฯ 16 ก.ย.-สทนช. ออกประกาศเตือน เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง 17-22 ก.ย.นี้ คาดระดับน้ำบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้าและพื้นที่ใกล้เคียงจะสูงกว่าจุดวิกฤติ 0.20 เมตร เสี่ยงน้ำเอ่อล้นริมเจ้าพระยา-ท่าจีน-แม่กลอง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ออกประกาศเตือน เรื่อง “เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง” เตือนประชาชนและหน่วยงานในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง ให้เฝ้าระวังระดับน้ำเอ่อล้นตลิ่ง ระหว่างวันที่ 17–22 กันยายน 2568 ในช่วงเวลา 16.00–19.00 น. ของแต่ละวัน โดยเฉพาะพื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำและแนวเขื่อนชั่วคราว ซึ่งยังไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร หรือที่เรียกว่า “แนวฟันหลอ” นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสทนช. กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์ร่วมกับกรมอุทกศาสตร์ คาดว่าช่วงเวลาดังกล่าวจะเป็นช่วงที่ระดับน้ำทะเลหนุนสูง โดยระดับน้ำบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้าและพื้นที่ใกล้เคียงอาจสูงถึง 1.70–1.90 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำวิกฤติประมาณ 0.20 เมตร ปัจจัยที่ส่งผลต่อการหนุนสูงของน้ำทะเลในช่วงนี้ได้แก่ ร่องมรสุมที่พาดผ่านประเทศไทย ประกอบกับลมตะวันออกเฉียงใต้และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกำลังปานกลาง ซึ่งยังคงพัดปกคลุมประเทศไทยและบริเวณอ่าวไทย ส่งผลให้บางพื้นที่ยังคงมีฝนตก และเมื่อรวมกับปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุน จะทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้น เกิดน้ำเอ่อล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำริมน้ำ พื้นที่เสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ […]