ทำเนียบ 4 พ.ย.-“อนุทิน” เผย ก.ต่างประเทศ เข้าแจงพรรคร่วม MOU 44 ไม่เกี่ยวที่ดินเกาะกูด ชี้ต้องตั้งคณะกรรมการไทย-กัมพูชา เจรจาจัดสรรผลประโยชน์ขุมทรัพย์ใต้ทะเลร่วมกัน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวภายหลังประชุมพรรคร่วมรัฐบาล ว่า ในที่ประชุมได้มีการพูดถึงพื้นที่ผลประโยชน์ทับซ้อนทางทะเล MOU 44 บริเวณเกาะกูด จ.ตราด ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ มาชี้แจงเชิงเทคนิคให้กับพรรครวมรัฐบาลได้ฟัง โดยจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาใหม่ แทนชุดเดิมที่สิ้นสุดตามวาระรัฐบาล
“ยืนยันว่า เกาะกูด เป็นอำเภอที่ถูกยกระดับจากกิ่งอำเภอ และไม่มีช่วงใดที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่าเกาะกูดเป็นของแผ่นดินอื่น เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน ระบุว่า เป็นประเด็นที่ยกขึ้นมาจากอะไรไม่ทราบ และ MOU 44 ก็ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเกาะกูด เป็นเพียงการลงนามข้อตกลงหาวิธีการพัฒนาพลังงานในอ่าวไทย ระหว่างสองประเทศ ซึ่งมีกรอบอยู่เพียงเท่านี้ คือ เรื่องการพัฒนาพื้นที่ในทะเล ไม่ใช่พื้นที่ที่เป็นแผ่นดิน ซึ่งต้องยกเรื่องเกาะกูด และเขตแดนออกไป
เมื่อถามย้ำว่า MOU 44 เป็นการพูดถึงทรัพยากรใต้ทะเล นายอนุทิน ได้พยายามอธิบายการลากเขตแดน ว่า เมื่อลากกันคนละเส้น จึงจำเป็นต้องทำ MOU เพื่อมีกรรมการทั้ง 2 ประเทศ เพื่อหาข้อยุติให้ได้ และให้เห็นพ้องร่วมกันทั้งสองฝ่าย แต่ก็มีช่องที่เปิดไว้เป็นข้อตกลงว่าส่วนที่ยังไม่เห็นพ้องจะสามารถร่วมกันพัฒนาร่วมกันได้หรือไม่ หรือจะตกลงผลประโยชน์กันอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องการเจรจาของทางคณะกรรมการ
“ตอนนี้เขาตีมาเส้นหนึ่งตั้งแต่ปี 15 เราก็ตีไปอีกเส้นหนึ่งตั้งแต่ปี 16 เขาตีเฉียงมาทางเราเยอะ เราเองก็ตีไปข้างล่าง การตี 2 เส้นไม่เท่ากัน ทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนจึงต้องมาคุยการคุยก็มีการกำหนดกรอบไว้ว่ามี MOU 44 เพื่อให้หาบทสรุป แต่ตอนนี้ยังหาบทสรุปไม่ได้ ก็ต้องคุยกันต่อไป” นายอนุทิน กล่าว
ส่วนรัฐบาลนี้จะหาบทสรุปในเรื่องนี้ได้หรือไม่ นายอนุทิน ระบุว่า ต้องเป็นการเจรจา ไม่ใช่กำหนดฝ่ายเดียว ถ้าเจรจาไม่ได้ก็ต้องเจรจาต่อ หากรอบที่ 1 ไม่ได้ก็ต้องรอบ 2 รอบ 3 รอบ 4 และในระหว่างเจรจา ต้องมาดูว่าจะสามารถพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนร่วมกันได้หรือไม่ ซึ่งก็ต้องมีการสำรวจหรือหาผลตอบแทนทางเศรษฐกิจได้หรือไม่ ถ้าได้แล้วจะแบ่งปันผลประโยชน์จากพื้นที่ตรงนั้นได้อย่างไรสุดท้ายก็ต้องจบที่คำว่า “ก็ต้องเจรจาไปจนกว่าจะได้ข้อตกลงร่วมกัน”.-314.-สำนักข่าวไทย