กต.งัดสนธิสัญญากรุงสยาม-ฝรั่งเศส ระบุชัด เกาะกูด ของไทย

ก.ต่างประเทศ 4 พ.ย.- กต. ตั้งโต๊ะแถลง ป้อง MOU 44 ไม่ใช่ปีศาจร้าย ไม่ขัดพระบรมราชโองการประกาศไหล่ทวีป งัดสนธิสัญญากรุงสยาม-ฝรั่งเศส ระบุชัด “เกาะกูด” ของไทย เส้นกัมพูชาเคลม ไร้ผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ รอ ครม. ตั้ง คกก.เทคนิค JTC “ภูมิธรรม” นั่งประธาน

กระทรวงการต่างประเทศเชิญสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ รับ การบรรยายสรุปสถานะล่าสุด เรื่องพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (Overlapping Claims Area: OCA) ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ นางสุพรรณวษา โชติกญาณ ถัง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เพื่อคลี่คลายข้อสงสัยของสาธารณชน


อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ได้อธิบายถึงเขตทางทะเลประเภทต่าง ๆ และกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 รวมทั้งชี้แจงที่มาของ OCA ระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งมีขนาดประมาณ 26,000 ตร.กม. ที่เกิดจากการประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทยของทั้งไทยและกัมพูชา โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะแก้ไขปัญหาร่วมกันผ่านการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทย และกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 หรือที่เรียกกันว่า MOU 2544

ต่อมา อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ชี้แจงว่า MOU 2544 เป็นความตกลงที่กำหนดกรอบและกลไกการเจรจาระหว่างกัน โดยมิได้เป็นการยอมรับการอ้างสิทธิทางทะเลของอีกฝ่ายแต่อย่างใด ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะต้องเจรจากันต่อไป


ทั้งนี้ MOU 2544 ระบุให้ดำเนินการทั้งในเรื่องการแบ่งเขตทางทะเลและการพัฒนาพื้นที่ร่วมไปพร้อมกัน โดยให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาหารือกันบนพื้นฐานของหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และผลประโยชน์ร่วมกัน กลไกหลักของการเจรจาแก้ไขปัญหา OCA ภายใต้ MOU 2544 คือ คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC) ซึ่งประกอบด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ด้านความมั่นคง กฎหมายและพลังงาน โดยที่ผ่านมา มีการประชุม JTC 2 ครั้ง เมื่อปี 2544 และ 2545 นอกจากนี้ ยังมีกลไกย่อยอื่น ๆ ได้แก่ คณะอนุกรรมการร่วมด้านเทคนิค (Sub-JTC) คณะทำงานร่วมไทย-กัมพูชาเกี่ยวกับการกำหนดเขตทางทะเล และคณะทำงานร่วมไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับระบอบพัฒนาร่วม

แนวทางร่วมในการแก้ไขปัญหา OCA ที่ทั้งไทยและกัมพูชาเห็นสอดคล้องกันทั้งในระดับนโยบายและระดับเทคนิค คือ (1) ประชาชนของทั้งสองประเทศจะต้องยอมรับข้อตกลงได้ (2) จะต้องนำเรื่องให้รัฐสภาของทั้งสองประเทศ
พิจารณาให้ความเห็นชอบ และ (3) ข้อตกลงจะต้องสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน กระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแต่งตั้งองค์ประกอบ JTC (ฝ่ายไทย) โดยเมื่อทั้งสองฝ่ายได้แต่งตั้งองค์ประกอบ JTC เรียบร้อยแล้ว ในส่วนของไทย จะมีการเสนอกรอบการเจรจาให้รัฐบาลเห็นชอบ หลังจากนั้น จะทาบทามการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา รวมถึงแต่งตั้งกลไกย่อยต่างๆ ต่อไป


กระทรวงการต่างประเทศยืนยัน คำมั่นที่จะเจรจาเรื่อง OCA บนพื้นฐานของกฎหมายไทย พันธกรณีของไทย ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ และกรอบการเจรจาที่ได้รับความเห็นชอบ ดังที่ได้ปฏิบัติเช่นนี้กับประเทศอื่น ๆ มาโดยตลอด ด้วยความเป็นมืออาชีพและยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง

จากนั้น อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ได้ชี้แจงคำถามสื่อมวลชน 5 ข้อ คือ

1.Mou 2544 นี้ จะทำให้ไทยเสียเกาะกูดหรือไม่ ว่า ไม่ เพราะ ในตัวสนธิสัญญากรุงสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ระบุชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทย ถือเป็นหลักฐานสำคัญ ยืนยันกรรมสิทธิ์เหนือตัวเกาะ โดยไม่เคยเป็นประเด็นสงสัย มีความชัดเจนอยู่แล้ว ในอดีตถึงปัจจุบัน เราใช้อำนาจอธิปไตย เหนือเกาะ 100%

2.Mou 2544 ขัดพระบรมราชโองการ การประกาศเขตไหล่ทวีป หรือไม่ว่า การดำเนินการตาม Mou 2544 สอดคล้องกับข้อความที่อยู่ในพระบรมราชโองการ ตามหลักเขตและแผนที่ ซึ่งการประกาศนี้ก็ระบุไว้ ตามจุดพิกัดต่างๆ ซึ่งเป็นการแสดงแนวทางโดยทั่วไป ของเส้นที่กำหนดไหล่ทวีป ซึ่งเราใช้พื้นฐานของตัวอนุสัญญาเจนิวา ว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 เป็นพื้นฐานการประกาศพระบรมราชโองการตรงนี้ แต่ทั้งนี้เรื่องสิทธิเหนืออธิปไตย และการแสวงหาผลประโยชน์ทรัพยากรใต้ท้องทะเล ขึ้นอยู่กับการเจรจา กับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งสิ่งที่แต่ละประเทศประกาศเคลม ก็ผูกพันเฉพาะภายในประเทศตัวเองเท่านั้น แต่เมื่อเกิดการทับซ้อนก็ต้องเป็นเรื่องของการเจรจา และ Mou 2544 คือเจตนารมย์ที่จะบอกว่า เป็นข้อตกลงแนวทางให้ไปพูดคุยกัน ซึ่งก็ตรงกับแนวทางที่กำหนดไว้ในกฎหมายไทย

3.Mou 2544 เป็นการยอมรับเส้นของกัมพูชาหรือไม่ อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ยืนยันว่า ถือ เป็นหลักสากล ต่างฝ่ายต่างมีสิทธิ์ที่จะเคลม แต่ผูกพันเฉพาะภายในภายในประเทศเท่านั้น ไม่มีผลต่อกฎหมายระหว่างประเทศ “Mou ไม่ใช่ปีศาจร้าย ที่จะจะมาสร้างพันธะอะไรให้กับเรา เพราะต่างฝ่ายต่างมีเส้นของตัวเอง” และในตัวของ Mou ก็เข้าใจในประเด็นนี้ และระบุในข้อที่ห้า ไว้ว่า “เงื่อนไขภายใต้เงื่อนไขการมีผลใช้บังคับของการแบ่งเขตสำหรับการอ้างสิทธิทางทะเลของภาคีผู้ทำสัญญาในพื้นที่ที่ต้อง มีการแบ่งเขต บันทึกความเข้าใจนี้และการดำเนินการทั้งหลายตามบันทึกความเข้าใจนี้จะไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิทางทะเลของแต่ละภาคีผู้ทำสัญญา“ ขอย้ำว่า เราไม่ได้ยอมรับเส้นของกัมพูชา

4.Mou 2544 ทำให้ไทยเสียเปรียบ เหตุใดจึงไม่ยกเลิก เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็เสนอครม.ยกเลิกไปแล้ว ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ จะดำเนินการต่อหรือไม่ ว่า ช่วงปี 2552 เรามีความสัมพันธ์ ท้าทายหลายประเด็นกับกัมพูชา ทั้งการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร นำไปสู่ศาลโลก ความตึงเครียดชายแดน การเจรจาจึงเป็นไปด้วยความลุ่มๆดอนๆ ทั้งนี้การเจรจาเรื่องเขตแดน อยู่ที่ความไว้เนื้อเชื่อใจ ความสัมพันธ์ดีหรือไม่ ซึ่งเรื่องเขตแดน ที่ต้องอาศัยเทคนิค และเกี่ยวข้องกับความรักชาติ จึงเกิดปัญหาในยุคนั้น กระทรวงการต่างประเทศจึงเสนอ ครม. ให้ยกเลิก Mou 2544 เพราะมองว่าไม่มีความคืบหน้า ก็ไม่มีมีความจำเป็น ซึ่งขณะนั้น ครม. รับในหลักการและให้ไปพิจารณาให้ดีและรอบคอบ ในแง่ของข้อกฎหมาย ซึ่งหลังจากนั้นกระทรวงการต่างประเทศได้หารือกับทีมที่ปรึกษาจากต่างประเทศ ดังนั้น ปี 2557 เห็นว่า Mou 2544 มีประโยชน์ข้อดีมากกว่าข้อเสีย และกัมพูชาก็ ยอมรับ จึงได้เสนอกลับครม. ให้ทบทวนมติครม. หลังจากนั้นทุกครั้งที่มีรัฐบาลเข้ามาใหม่ กระทรวงการต่างประเทศ ก็จะเสนอให้ใช้กรอบการเจรจา Mou 2544 เป็นหลักพื้นฐาน ถือเป็นกลไกที่เหมาะสมที่สุด และเป็นการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ และทุกรัฐบาลก็ยอมรับ ว่านี่เป็นแนวทางที่น่าจะเหมาะสม ว่า Mou2544 จะเป็นแนวทางสร้างความโปร่งใส ซึ่งทุกครั้งที่มีการดำเนินงานก็จะรายงานให้ ครม. ทราบทุกครั้ง

5.ส่วนการสร้างเขื่อนกันคลื่นของกัมพูชา ชี้แจง ชี้แจงว่า เขื่อนดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ทางทะเล เกี่ยวโยงกับพื้นที่ OCA ตามข้อเท็จจริง มีเอกชนไปสร้างท่าเทียบเรือ โดยการถมดินในทะเลประมาณ 100 เมตรออกมาจากฝั่ง ซึ่งเราได้ประท้วงทันทีจำนวนสามครั้ง ตั้งแต่ปี 2541 2544 และปี 2564 ซึ่งผลของการประท้วงทำให้หยุดการก่อสร้างของเอกชน เพราะมีบางส่วนกินพื้นที่เส้นที่เราเคลมไว้ เราก็ต้องแสดงสิทธิเหนืออธิปไตย และเรื่องดังกล่าวอยู่ในการติดตามของกองทัพเรือ และสมช. อย่างใกล้ชิด

จากนั้นนางสุพรรณวษา โชติกญาณ ถัง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีการเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (เจทีซี) ว่า กระทรวงการต่างประเทศได้เสนอรายชื่อให้ ครม. พิจารณามาสักพักแล้ว คาดว่า ครม. จะอนุมัติองค์ประกอบของเจทีซี เร็วๆนี้ ที่จะใช้เป็นองค์ประกอบในการเจรจากับประเทศกัมพูชา โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพราะดูแลทั้งด้านความมั่นคงและด้านทรัพยากร

ส่วนคณะกรรมการฯ ประกอบไปด้วย รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับคลัง และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง สภาความมั่นคงแก่งชาติ (สมช.) คณะกรรมการกฤษฎีกา และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กรมเอเชียตะวันออก เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ รวมประมาณ 20 คน หาก ครม. เห็นชอบ กรมสนธิสัญญาและกฎหมายก็จะเรียกประชุมฝ่ายไทยเพื่อดูกรอบการเจรจากับกัมพูชา โดยจะดำเนินการทาบทามฝ่ายกัมพูชาเพื่อจัดประชุมด้วย ว่าจะใช้รูปแบบใด เช่น ประชุมระดับอนุกรรมการ หรือระดับ คณะกรรมการ หรือ ประชุมคณะกรรมการ เจทีซี ชุดใหญ่ ซึ่งต้องคุยกับทางกัมพูชาต่อไป

ตอนนี้ยังไม่ได้มีการเริ่มประชุม แต่ที่ผ่านมาเคยดำเนินการไปแล้วในอดีต จึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันระดับเจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติ ที่ผ่านมามีการประชุมเจทีซีอย่างเป็นทางการ 2 ครั้ง และไม่เป็นทางการ 7 ครั้ง และในปี 2564 มีการประชุมระดับอนุกรรมการไปแล้ว

สำหรับความสำคัญของ MOU 44 นั้น ใช้เป็นกรอบของการเจรจาและกลไกต่างๆที่มีอยู่ แต่ยังไม่มีการคุยในเรื่องรายละเอียดที่เป็นความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม.-312.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ค้น 17 จุดกรุงเทพฯ-ลพบุรี คุมตัว “หลวงพ่ออลงกต-หมอบี”

26 ส.ค.- ตำรวจสอบสวนกลาง ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด “กรุงเทพฯ-ลพบุรี” บุกรวบ “หลวงพ่ออลงกต” หลังพฤติกรรมชัดทุจริตยักยอกเงินบริจาค ขณะที่ “หมอบี” โดนด้วย หิ้วตัวเค้นสอบ เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 26 ส.ค. มีรายงานว่าทางตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผบช.ก. พล.ต.ต. วิทยา ศรีประเสิรฐภาพ ผบก.ป.พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปปพ.ต.อ.มนูญ แก้วก่ำ ผกก.1 บก.ป ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ลพบุรี เพื่อควบคุม หลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี และนายเสกสันน์ หรือหมอบี และพวก ตามหมายจับ ความผิด ม.147, 157 […]

ศาล รธน. สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก”

ศาล รธน. 25 ส.ค.-ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก” ชี้บิดเบือน-ทำเสียหาย ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารข่าว ระบุว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งพิจารณาคดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2568 ไต่สวนพยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกมาให้ถ้อยคำ จำนวน 2 ปาก ได้แก่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางขวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เรื่อง ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ เมื่อเสร็จสิ้นการไต่สวนแล้ว ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้ผู้เข้าฟังการไต่สวนนำข้อมูลการไต่สวนไปเผยแพร่ และห้ามไม่ให้บิดเบือนข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายในลักษณะที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน อันเป็นคำสั่งศาลตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 […]

“แพทองธาร” รีโพสต์โต้คลิปบิดเบือน ยันศาลบอก “นั่งลงครับ”

กรุงเทพฯ 25 ส.ค.- “แพทองธาร” รีโพสต์สตอรี่ไอจี โต้ดรามาคลิปบิดเบือน ยันศาล รธน. บอก “นั่งลงครับ” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รีโพสต์สตอรี่ในอินสตราแกรมของสำนักข่าว VOICE TV ยืนยันไม่เป็นความจริง ต่อกระแสดรามาปล่อยคลิปเสียงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พูดว่า “นั่งลงลูก” ภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวคําปฏิญาณ ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยาน คดีคลิปสนทนากับ ฮุน เซน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งในคลิปดังกล่าวมีข้อความระบุว่า ฟังชัดๆๆ ศาลบอกว่า “นั่งลงครับ” ไม่ใช่ “นั่งลงลูก” อย่างที่มีคนปั่น!! อย่ามั่ว อย่าบิดเบือนข่าว อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงเช้าวันนี้ (25 ส.ค.) นางสาวแพทองธาร จะดำเนินการเรื่องการส่งคำแถลงปิดคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากศาลนัดยื่นคำแถลงปิดคดีภายในวันนี้ ก่อนจะนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม เวลา 15.00 น.-316 -สำนักข่าวไทย

ปลัด มท. สั่งสอบด่วน ปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ

ไอคอนสยาม 25 ส.ค.- ปลัด มท. เผยยังไม่ได้รับรายงานปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ สั่งกรมการปกครองสอบด่วน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานว่า มีกลุ่มบุคคลสแกนม่านตาประชาชนและชักชวนให้เข้าไปใช้แอปพลิเคชันเพื่อแลกกับเงินหรือเหรียญในระบบ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน แต่หากเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง กระทรวงมหาดไทยจะสั่งการให้กรมการปกครองดำเนินการแก้ไขและจัดการอย่างถูกต้องทั่วประเทศอย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง สามารถแจ้งเรื่องมายังกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ทุกจังหวัดดำเนินการตรวจสอบตามข้อเท็จจริง ส่วนกรณีที่มีรายงานว่ายังมีการดำเนินการในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปลัดกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าจะเร่งตรวจสอบทั้งที่สุราษฎร์ธานีและทุกจังหวัดที่ได้รับเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้ การตรวจสอบจะพิจารณาว่าความผิดปกติเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่น หากพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยย้ำให้ประชาชนมั่นใจว่า กระทรวงพร้อมตรวจสอบอย่างโปร่งใส.-319 -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

“มาริษ” เผยสวีเดนกังวลสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ยกหารือเวที UN พรุ่งนี้

สวีเดน 26 ส.ค.-“มาริษ” เผยสวีเดนกังวลสถานการณ์ไทย-กัมพูชา หลังกัมพูชาใช้โล่มนุษย์ยั่วยุในพื้นที่ต่อเนื่อง เตรียมยกเรื่องนี้หารือเวที UN ที่เจนีวา พรุ่งนี้ ยันยังไม่ส่งทูตกลับ จนกว่าเขมรแสดงให้เห็นว่าจริงใจ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวภายหลังการหารือทวิภาคีกับนางมารีอา มัลเมอร์ สเตเนอร์การ์ด (Maria Malmer Stenergard) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสวีเดน ถึงสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ที่มีการยั่วยุโดยใช้พลเรือนเป็นเครื่องมืออย่างต่อเนื่อง ว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นที่หน่วยงานในพื้นที่ต้องช่วยกันระมัดระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน เพราะเมื่อมีพลเรือนเข้ามาเกี่ยวข้อง ในการทำงานของทางทหารก็จะยากลำบาก อาจจะนำไปสู่การสร้างความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหน่วยงานที่เป็นพลเรือนในพื้นที่ก็จำเป็นจะต้องเข้ามาดูแลและแก้ไขสถานการณ์ตรงนี้ นายมาริษ กล่าวว่า ในการพบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสวีเดน ตนได้อธิบายให้เข้าใจว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่กัมพูชาพยายามใช้ ซึ่งขัดต่อความตกลงในกฎบัตรสหประชาชาติเป็นอย่างมาก เหมือนกับใช้ประชาชนและพลเรือนเป็นโล่มนุษย์ เพื่อที่จะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ซึ่งประเทศสวีเดนก็เข้าใจ และพรุ่งนี้ (27 ส.ค.) ตนจะมีโอกาสได้ชี้แจงกับที่ประชุม UN ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ตนจะยกประเด็นนี้ขึ้นแสดงความห่วงกังวลว่า การใช้วิธีเอาพลเรือนมาเป็นตัวกดดัน หรือมาสร้างความตึงเครียด หรือขยายความตึงเครียดบริเวณชายแดนมากยิ่งขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ […]

พายุคาจิกิเริ่มแผลงฤทธิ์ถล่มหลายจังหวัดภาคเหนือ น่านยกระดับรับมือ

26 ส.ค. – พายุคาจิกิเริ่มแผลงฤทธิ์แล้ว หลายจังหวัดทางภาคเหนือมีฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก จนมีน้ำท่วมหลายพื้นที่ และต้องจับตาไปที่จังหวัดน่าน ซึ่งพายุคาจิกิเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่และเริ่มส่งผลกระทบตั้งแต่ช่วงค่ำวันนี้ ทำให้จังหวัดน่านยกรระดับมาตรการป้องกันและเตรียมรับมือกับน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม.-สำนักข่าวไทย

Gripen ที่จัดซื้อใหม่ประสิทธิภาพดีกว่าลำเดิมที่มีอยู่

สวีเดน 26 ส.ค. – แม้รัฐบาลไทยและสวีเดนได้ลงนามความร่วมมือซื้อเครื่องบินขับไล่โจมตีกริพเพน E และ F ไปแล้ว แต่กว่าจะได้รับเครื่อง จะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 4 ปี ระหว่างนี้จะมีการวางกรอบพัฒนาร่วมกัน แน่นอนว่ารุ่นใหม่สเปกใหม่ดีกว่ารุ่นเก่าที่เรามี แตกต่างอย่างไร ติดตามจากรายงาน.-สำนักข่าวไทย

คนไทยรวมพลังร้องเพลงชาติกึกก้องบ้านหนองจาน

26 ส.ค. – ชาวไทยกว่า 500 คน รวมตัวร้องเพลงชาติ ชูธงไตรรงค์เหนือศีรษะ บริเวณชายแดนบ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว แสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ว่าแผ่นดินนี้คือแผ่นดินไทย เมื่อเวลา 12.30 น. วันนี้ (26 ส.ค.68) ประชาชนไทยกว่า 500 คน มารวมตัวกันบริเวณชายแดนบ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ชูธงไตรรงค์เหนือศีรษะ และร่วมกันร้องเพลงชาติไทย จนเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เพื่อแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ว่าแผ่นดินนี้คือแผ่นดินไทย และพร้อมยืนหยัดเคียงข้างกองทัพในการปกป้องอธิปไตย ชาวบ้านยังจัดเตรียมอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็น ไปมอบให้ทหาร เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ ด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เข้าควบคุมสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอความร่วมมือประชาชนที่มาร่วมชุมนุมให้อยู่ในแนวพื้นที่ที่กำหนดไว้เพื่อป้องกันการเผชิญหน้า “เจ๊เอ๋” ณัฐฐารินทร์ เกษมสารพิพัฒน์ เจ้าหนี้คนดัง บอกว่า วันนี้ประชาชนคนไทยต้องมาเผชิญหน้ากับชาวกัมพูชาด้วยตัวเอง เพราะผู้มีหน้าที่โดยตรงนิ่งเฉย ส่วนที่บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว พลเอกมนัส จันดี เสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และพลโทวันชนะ สวัสดี นำคณะลงพื้นที่ พบมีชาวกัมพูชาสร้างบ้านเรือนรุกล้ำเขตไทย 18 หลัง […]