ศปช.เตือนประชาชน 11 จังหวัดท้ายเขื่อนเจ้าพระยา รับมือน้ำสูงขึ้น

ทำเนียบ 24 ต.ค.- ศปช.เตือนประชาชน 11 จังหวัดท้ายเขื่อนเจ้าพระยา เตรียมรับมือน้ำสูงขึ้น 30-50 ซม. คาดหลัง 26 ต.ค.สถานการณ์น้ำลดลง ย้ำพายุจ่ามี ไม่กระทบไทยโดยตรง ส่งผลฝนตก ลมแรงทางภาคอีสานบางพื้นที่ ขณะที่จ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมเร่งรัดแล้วเสร็จภายในสิ้น ต.ค.67

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีและโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม หรือ ศปช. เปิดเผยว่า จากปริมาณฝนที่ตกเหนือเขื่อนเจ้าพระยาในพื้นที่บริเวณจังหวัดอุทัยธานี กำแพงเพชร สุพรรณบุรี ทำให้มีปริมาณน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2,116 ลบ.ม./วินาที


ล่าสุด ศปช. ได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำอยู่ที่ 1,600 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะส่งผลให้ 11 จังหวัดท้ายเขื่อนเจ้าพระยา น้ำสูงขึ้นประมาณ 30 – 50 ซม. โดยกรมชลประทานได้ออกประกาศแจ้งเตือน 11 จังหวัด ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดแล้ว

“ขอแจ้งเตือนประชาชน และผู้ประกอบการริมน้ำ เตรียมพร้อมรับมือน้ำที่อาจเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 30 – 50 ซม. ในพื้นที่ 11 จังหวัด ประกอบด้วย จ.อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และ กรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ บริเวณคลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล ต.หัวเวียง อ.เสนา ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา (แม่น้ำน้อย) โดยจะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชน ขอให้ประชาชนเตรียมพร้อมยกของขึ้นที่สูงและติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด”


นายจิรายุ ยังกล่าวว่า ศปช. คาดการณ์ว่าจะปรับเพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาอีกระยะหนึ่ง โดยในวันที่ 25 ต.ค. 67 เพิ่มเป็น 1,750 ลบ.ม./วินาที ในวันที่ 26 ต.ค. 67 เพิ่มเป็น 1,900 ลบ.ม./วินาที หากในช่วงวันที่ 26 – 27 ต.ค. ปริมาณน้ำเหนือเขื่อนลดลงจะปรับลดการระบายน้ำลงให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ล่าสุดที่ประชุม ศปช. ได้สั่งการให้กรมชลประทานพิจารณาลดการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิต์ที่จะไหลลงมาสมทบที่เขื่อนเจ้าพระยาแล้ว เพื่อลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด

ขณะที่พายุโซนร้อนจ่ามี คาดว่าจะเคลื่อนตัวผ่านเกาะลูซอนประเทศฟิลิปปินส์ในวันนี้ จากนั้นจะเคลื่อนไปยังประเทศเวียดนามในช่วงวันที่ 26 – 27 ต.ค. นี้ ก่อนที่จะวนกลับไปในทะเลจีนใต้อีกครั้ง ซึ่งพายุลูกนี้จะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงกับประเทศไทย แต่อาจส่งผลให้ประเทศไทยมีเมฆเพิ่มขึ้นและมีฝนบางพื้นที่กับมีลมแรงโดยเฉพาะทางตะวันออกของภาคอีสานในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี อำนาจเจริญ มุกดาหาร ยโสธร ซึ่งยังต้องติดตามพายุลูกดังกล่าว เนื่องจากทิศทางยังมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นายจิรายุกล่าว

ส่วนความคืบหน้าการเร่งรัดจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ประสบอุทกภัยตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นั้น นายจิรายุ กล่าวว่า ล่าสุด (23 ต.ค.67) โอนจ่ายเงินผ่านพร้อมเพย์แล้ว 10 ครั้ง โอนสำเร็จ 63,276 ครัวเรือน จำนวน 569,420,000 บาท จังหวัดที่โอนสำเร็จแล้ว 8 จังหวัด 45 อำเภอ และอยู่ระหว่างการรอโอน 57,208 ครัวเรือน


“สำหรับประชาชนที่ไม่สามารถรับเงินได้ 1,669 ครัวเรือนนั้น ทราบข้อมูลว่า ไม่ได้ลงทะเบียนพร้อมเพย์กับเลข 13 หลัก มีการเปลี่ยนธนาคารระหว่างการโอน บัญชีถูกปิด บัญชีไม่เคลื่อนไหว กรณีที่โอนเงินไม่สำเร็จทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะส่งกลับข้อมูลให้จังหวัด-อำเภอ-อปท. ตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งตามลำดับ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จสิ้นในเดือน ต.ค. นี้”นายจิรายุ ระบุ.-316.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ล่าหนุ่มโมร็อกโก ฆ่าโหดหมอแซมมี่ เผ่นหนีฮ่องกง

ตำรวจประสานตำรวจสากล เร่งล่าตัวแฟนหนุ่มชาวโมร็อกโก ผู้ต้องสงสัยฆ่าโหดหมอแซมมี่ แพทย์ความงามสาวสอง เจ้าของคลินิกเวชกรรมชื่อดังเชียงใหม่ พบเผ่นหนีไปฮ่องกงแล้ว

ผู้เสียหายร้องตำรวจ ปคบ.ตรวจสอบบริษัท K4 ชวนลงทุนซิม-ตู้เติมเงิน

ผู้เสียหายร้องตำรวจ ปคบ.ตรวจสอบบริษัท K4 ชักชวนลงทุนซิมและตู้เติมเงิน อ้างสิทธิ กสทช. พบมีผู้เสียหาย 5,000 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,000 ล้านบาท

รถตู้กลับจากแข่งเรือเสียหลักชนต้นไม้ ดับ 4 เจ็บ 9

สลด! รถตู้กลับจากแข่งเรือยาวที่ จ.ปทุมธานี เสียหลักพุ่งชนต้นไม้ บนถนนสายลำปาง-งาว จ.ลำปาง เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 9 ราย

ตั้ง กก.สอบ 7 ตำรวจ บก.จร.ทำร้ายลูกชายอดีต ตร. พ่อยันเอาเรื่องถึงที่สุด

กองบังคับการตำรวจจราจร ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรง 7 ตำรวจ บก.จร. รุมทำร้ายลูกชายอดีตตำรวจ พ่อและน้องสาวยืนยันไม่ยอมความ เอาเรื่องถึงที่สุด พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย

ครอบครัวผู้เสียหายที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เผยอาการยังสาหัส ยันไม่ยอมความ แม้มีกระเช้าปริศนามาให้แล้ว 3 กระเช้า พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผยพฤติกรรมตัวเอง ด้าน รอง ผบช.น. ยันตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่กระทำไป

ครอบครัวของผู้บาดเจ็บที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เดินทางไปพบพนักงานสอบสวน และชุดสืบสวนของ สน.บางเขน ก่อนเดินไปชี้จุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่าน และเป็นจุดเดียวกับที่ตำรวจพาผู้บาดเจ็บเข้ามาจอดรถไว้หลังก่อเหตุทำร้ายร่างกาย เพื่อตรวจสอบว่ารถของผู้บาดเจ็บเป็นรถคันเดียวกับที่ได้ขับแหกด่านหรือไม่ โดยก่อนการชี้จุด พ่อและน้องสาวของผู้ได้รับบาดเจ็บเดินทางมาพร้อมกับร้อยเวร สถานีตำรวจนครบาลบางเขน เจ้าของพื้นที่ เพื่อชี้จุดและให้ข้อมูลกับตำรวจเพิ่มเติม ระหว่างรอตัวผู้บาดเจ็บพักรักษาตัวจนสามารถเข้าให้การกับตำรวจได้

นางสาวธนัชตา น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกว่า พี่ชายยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จุดที่น่าเป็นห่วงคือบริเวณศีรษะทั้งหมด โดยเฉพาะดวงตาขวามีเลือดออก การมองเห็นยังไม่ปกติ ส่วนตามร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำ แต่ยังโชคดีที่ไม่มีส่วนใดต้องผ่าตัด

เหตุการณ์ครั้งนี้รู้สึกรับไม่ได้ ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเข้าข้อกฎหมายข้อไหนพร้อมจะต่อสู้ มองว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เพราะพี่ชายของตนไปคนเดียวและไม่มีอาวุธ แต่คู่กรณีเป็นถึงตำรวจ และมีด้วยกันถึง 7 นาย ทันทีที่รู้เรื่องตนเองรีบเดินทางมาที่ด่านทันที พยายามสอบถามว่าตำรวจนายไหนเป็นคนทำพี่ชายของตนเอง แต่ไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งพี่ชายพยายามบอกแล้วว่าไม่ใช่คนขับรถหนีด่าน

นางสาวธนัชตา ยังฝากถึงตำรวจตั้งด่านทุกนายว่าทุกคนมีกล้องติดหน้าอก ตนเองพยายามขอดูแต่มีการอ้างว่ากล้องเสียบ้าง เปิดไม่ได้บ้าง จึงอยากฝากไปถึงตำรวจตั้งด่านในวันนั้นทุกนายให้เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย เพื่อเป็นการยืนยันเหตุการณ์ทั้งหมด เพราะเหตุการณ์วันนั้นตนเองก็มีหลักฐาน รวมถึงพยานคือคนที่เข้าด่านตรวจก็เห็นทุกคนว่าเหตุการณ์ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น อยู่ที่ตำรวจจะกล้าหรือไม่กล้า

น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกอีกว่าเมื่อวานนี้ (4 ธ.ค.) มีกระเช้าผลไม้-ดอกไม้ปริศนา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของใคร หรือของตำรวจสังกัดใดบ้างนำมาเยี่ยม ขอย้ำว่าไม่ขอรับกระเช้า เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านำเอามาให้ด้วยเหตุผลอะไรแอบแฝง

ด้าน พันตำรวจโท ธนชัย เกิดศรี หรือสารวัตรเจี๊ยบ อดีตพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. ซึ่งเป็นพ่อของผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจรมาก่อนไปอยู่ บก.ปทส. ตามปกติแล้วตำรวจมีขั้นตอนในการใช้ยุทธวิธีเพื่อจับผู้ต้องหาด้วยเครื่องพัฒนาการอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุแบบนี้ กรณีหากผู้ต้องหามีการต่อสู้หรือขัดขวาง ตำรวจไม่มีสิทธิที่จะไปรุมทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ซึ่งจะพยายามเลี่ยงการใช้กำลังให้น้อยที่สุด การจับกุมตำรวจต้องมีการแสดงตัวเป็นตำรวจ พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าทำอะไรผิด จากนั้นจะเชิญตัวมาที่ด่านหรือโรงพักในพื้นที่ เพื่อดำเนินการสอบปากคำและพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่คาดคิดว่าจะมาเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เพราะมีโซเชียลเป็นหูเป็นตา ยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย แม้ว่าจะให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาพูดคุยก็ตาม เมื่อวานนี้ทางพยาบาลแจ้งว่ามีตำรวจนำกระเช้ามามอบให้แล้ว 3 กระเช้า แต่ตนไม่รับ เพราะไม่รู้ว่ามาด้วยวัตถุประสงค์อะไร และไม่รู้ว่าเป็นของหน่วยงานใด เนื่องจากพยาบาลแจ้งแค่ว่าเป็นตำรวจเท่านั้น

ส่วนความคืบหน้าคดี พันตำรวจเอก อนันต์ วรสาตร์ ผู้กำกับการ สน.บางเขน ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สอบปากคำน้องสาวและแม่ของผู้บาดเจ็บในฐานะพยาน ส่วนผู้บาดเจ็บตอนนี้แพทย์ยังไม่อนุญาตให้พนักงานสอบสวนเข้าไปสอบปากคำ เนื่องจากยังอยู่ในอาการสาหัส

ส่วนกรณีผู้ก่อเหตุทั้ง 7 นายที่เป็นตำรวจ ตอนนี้ยังไม่มีการสอบปากคำ เนื่องจากพนักงานสอบสวนอยากทราบพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุจากผู้เสียหายก่อน ยืนยันว่าจะไม่มีการช่วยเหลือแม้ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจะเป็นตำรวจก็ตาม

ด้าน พลตำรวจตรี ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งดูแลรับผิดชอบงานจราจร ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เบื้องต้นผู้บังคับการตำรวจจราจรกลาง รายงานมาเบื้องต้นว่าผู้ก่อเหตุที่เป็นตำรวจทั้ง 7 นาย บอกว่ามีการเข้าใจผิด คิดว่าจะขับรถแหกด่านจึงมีการตามไป ก่อนที่ผู้เสียหายจะมีการขัดขืน ทำให้ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องใช้กำลังในการระงับเหตุ ยอมรับว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุจริงๆ ตอนนี้ทราบว่ากองบังคับการตำรวจจราจรมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงขึ้นแล้ว ส่วนทางคดีอาญาอยู่ที่ สน.บางเขน

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องชี้แจงและยอมรับกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป รวมทั้งอาจจะต้องทบทวนเรื่องยุทธวิธีที่่ใช้ในการระงับเหตุ แต่ยืนยันว่าตำรวจไม่เคยมีวิธีระงับเหตุด้วยการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด.-414-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ชายขับเก๋งแดงแหกด่านเข้ารับทราบ 3 ข้อหา

ชายขับเก๋งแดงแหกด่าน เข้ารับทราบข้อกล่าวหา พร้อมขอโทษหลังเป็นชนวนเหตุตำรวจทำร้ายผิดตัว แต่ยังไม่ตอบคำถามว่าเมาหรือไม่

สธ.ยืนยันนักร้องสาวเสียชีวิตไม่ได้เกิดจากนวดบิดคอ

“สมศักดิ์” ยัน “ผิง ชญาดา” ไม่ได้นวดบิดคอเสียชีวิต ชี้ผลตรวจ MRI ไม่มีกระดูกคอหักหรือเคลื่อน เผยผลวินิจฉัยเป็น “โรคไขสันหลังอักเสบ” จนติดเชื้อในกระแสเลือด ขอประชาชนมั่นใจ ไม่เกี่ยวการนวด