สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ 10 ต.ค.- “ธีรยุทธ” หอบเอกสาร 5,080 แผ่น ร้องศาลรัฐธรรมนูญ 6 กรณี ชี้ “ทักษิณ-เพื่อไทย” มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง ขอสั่งหยุดการกระทำ
นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร นำเอกสารทั้งคำร้องและพยานหลักฐาน 5,080 แผ่น เดินทางมายื่นศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะประชาชน เพื่อขอให้วินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคเพื่อไทยผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 หลังเคยไปยื่นกับอัยการสูงสุดมาแล้ว แต่ไม่ได้มีการดำเนินการใดและครบตามตลอดเวลา กฎหมายจึงเปิดช่องให้สามารถเดินทางมายื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
โดยนายธีรยุทธ กล่าวว่า ตนดำเนินการร้องใน 6 ประกอบด้วย
- กรณีที่ 1.เนื่องจากนายทักษิณได้รับพระราชทานพระมหากรุมาอภัยโทษ เหลือโทษจำคุก 1 ปี โดยพบว่านายทักษิณใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารรราชการแผ่นดินสั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรมเอื้อประโยชน์ให้ได้พักอาศัยชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไม่ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว
- กรณีที่ 2. นายทักษิณมีพฤติกรรมฝักใฝ่คบหาร่วมคิดกับสมเด็จฯฮุนเซน ซึ่งเป็นผู้นำทางการเมืองประเทศกัมพูชา ที่มีระบบการปกครองที่ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนายทักษิณมีพฤกกรณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำและเป็นผู้สั่งการ ใช้พรรคเพื่อไทย เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์กับสมเด็จฯฮุน เช่น ให้ประเทศกัม อธิปไตยทางทะเลของไทย โดยให้มีการเจรจาพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าเป็นเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (MOUแบ่ง ผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตย ทางทะเลของไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา
- กรณีที่ 3. นายทักษิณ สั่งการให้พรรคเพื่อไทย ร่วมมือเพื่อแก่รัฐธรรรรกับพรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมือง หรือ พรรคก้าวไกลเดิม ที่ต้องคำวินิจฉัยศาล รัฐธรรมนูญ 3/2567 ว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิบไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งนายทักษิณมีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และ เป็นผู้สังการให้พรรคเพื่อไทยรัฐธรรมนูญ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ถูกร้องที่ 1 และพวก
- กรณีที่ 4. นายทักษิณ มีพฤการณ์เป็นข้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และ เป็นผู้สิ่งการ ให้พรรคเพื่อไทย ในการเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีหารือการเสนอบุคคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 สิ่งหาคม 2566 บ้านพักส่วนตัวของนายทักษิณ(บ้านจันทร์ส่องหล้า)
- กรณีที่ 5. นายทักษิณ มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ เป็รผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการ พรรคเพื่อไทย ให้มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล
- กรณีที่ 6. นายทักษิณมีพฤการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการ พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ให้นำนโยบายของ ที่ตัวเองแสดงวิสัยทัศน์ไว้ เมื่อวันที่22 สิงหาคม 2567 ไปดำเนินการให้เป็นบโรบายคณะรัฐมมเตรีที่แถลงต่อรัฐสถาในวันที่ 12 กันยายน 2557
จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ โปรดพิจารณาวินิจฉัยว่า ทั้ง 6 กรณี ว่า นายทักษิณและพรรคเพื่อไทย มีการกระทำอันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการทำให้สถาบันพระมหากษ์สูญเสียสถานะที่จะต้องอยู่เหนือการเมืองหรือดำรงความเป็นกลางทางการเมือง ย่อมเป็นการเซาะกร่อนสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง และยังมีการกระทำเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบบพรรคการเมือง ที่เป็นสถาบันทางการเมืองที่สำคัญของระบอบมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ชำรุดทำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง การกระทำดั่งกล่าวเป็นการกระทำที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุดเพื่อป้องกันความเสียหายร้ายแรงที่อาจจะเกิดแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นสถาบันหลักของประเทศและสถาบันพรรคการเมืองที่มีความสำคัญต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ชำรุดสุดโทรมเสื่อมทรามหรืออ่อนแอ การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
พร้อมขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสั่งการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง ดังนี้
- ให้นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกร้องที่ 1 เลิกกระทำการใช้พรรคเพื่อไทย ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นเครื่องมือกระทำการอันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์
- ให้นายทักษิณ เลิกกระทำการเป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบจำ และเป็นผู้สั่งการ
การดำเนินงานของพรรคเพื่อไทย - ให้นายทักษิณเลิกใช้พรรคเพื่อไทยเป็นครื่อมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน สั่งการรัฐบาลให้ดำเนินการตามความต้องการของนายทักษิณ และให้เลิกใช้พรรคเพื่อไทยเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธธรรมนูญนี้
- ให้พรรคเพื่อไทย เลิกยินยอมให้นายทักษิณ ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการอันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์
- ให้พรรคเพื่อไทยเลิกยินยอมให้นายทักษิณ ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการเป็นเจ้าของ ผู้ครอบครองผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการ การดำเนินงานของพรรคเพื่อไทย
- ให้พรรคเพื่อไทยเลิกยอมให้นายทักษิณใช้ เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินสั่งการรัฐบาลให้ดำเนินการตามความต้องการ
- ให้พรรคเพื่อไทย เลิกยินยอมให้นายทักษิณ ใช้เป็นเครื่องมือให้ได้มาซึ่งอำนาจปกครองประเทศโดยวิธีการที่มีได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้
เมื่อถามว่าการยื่นร้อง ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ครั้งนี้คาดหวังผล การยื่นยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่าในชั้นนี้เราคาดหวังตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าขอให้โปรดสั่งการก่อน ส่วนท่านจะเมตตาไต่สวนและจะเห็นเหตุประการใดหรือไม่ถือเป็นอำนาจดุลพินิจของศาลซึ่งไม่อาจก้าวล่วงได้
เมื่อถามว่าได้มีการปรึกษาเรื่องข้อกฎหมายกับนายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ หรือไม่ เพราะนายไพบูลย์ เป็นผู้ที่ออกมาระบุจะแถลงข่าวและส่งหมายข่าวรายละเอียดเรื่องคดีให้กับผู้สื่อข่าว นายธีรยุทธ กล่าวว่า สืบเนื่องจากคำวินิจฉัยของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ศาลรัฐธรรมนูญย้ำว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องปรากฏชัดตามที่วิญญูชนหรือ สาธารณะชนรับทราบ เมื่อได้อ่านคำวินิจฉัยนั้นแล้วเรื่องแรก ก็ต้องวินิจฉัย ว่าสิ่งที่ตนเองคิดจะเป็นไปตามที่คิดหรือคาดการณ์เองแต่เพียงผู้เดียวหรือไม่ จึงจำเป็นต้องขอคำปรึกษาจากผู้ที่มีความรู้ มีประสบการณ์ มีคุณวุฒิ วัยวุฒิอันสมควร ซึ่งตนก็เห็นแต่นายไพบูลย์ เพราะเป็นคนหนึ่งที่ได้พบปะพูดคุยกันจึงได้โทรสอบถามในบางประเด็น
เมื่อถามว่านอกจากนายไพบูลย์ ได้ปรึกษานักกฎหมายคนอื่นคนอื่นๆอีกหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า นักกฎหมายคนอื่นตนขออนุญาตที่จะไม่นำเรียน
ส่วนหลักฐานที่เกี่ยวกับนายทักษิณชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรีระหว่างพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ มีรูปภาพ หรือคลิปที่นำมายื่นเป็นหลักฐานด้วยหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า ตนจะกราบเรียนนำเสนอพยานบุคคล ซึ่งเป็นประจักษ์พยานที่น่าจะมี ความสำคัญยิ่งกว่าคลิปเสียง เพราะไม่ว่าจะคลิป รูปภาพหรือวิดีโอ ที่นายไพบูลย์ได้แสดงความเห็นไว้ว่าคลิปเหล่านั้นถ้าหากนำมาเผยแพร่โดยผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ได้อนุญาตก็จะผิดกฏหมาย และตนไม่ปรารถนาให้เกิดการกระทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น
เมื่อถามว่าพยานบุคคลใช่พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ใช่หรือไม่เพราะเป็นผู้ออกมาเปิดเผยว่าได้ไปเยี่ยมนายทักษิณ ที่โรงพยาบาลนายธีรยุทธกล่าวว่าตนคงไม่อาจก้าวล่วงศาล เพราะบริบทหนึ่งศาลได้เห็นอยู่แล้วว่าพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ได้ออกมาดำเนินการตามวิถีของท่าน แต่สิ่งที่ตนใช้คือรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ซึ่งในรายงานนั้นจะมีพยานบุคคลมีรายละเอียด และพยานเอกสารอื่นที่มั่นคงตามระบบราชการอยู่แล้ว
เมื่อถามถึงพยานที่คณะกรรมการสิทธิฯอ้าง เมื่อได้ทำการยื่นร้องต่อศาลแล้วศาลรัฐธรรมนูญมีสิทธิ์ที่จะเรียกพยานบุคคลเหล่านั้นมาไต่สวนใช่หรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า ระบบไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญมีความพิเศษยิ่งกว่าระบบของศาลยุติธรรมอย่างหนึ่ง คือ มีอำนาจโดยตรงที่เห็นควรเรียกพยานเอกสาร พยานวัตถุ พยาน ภาพถ่ายวิดีโอจากท่านใดก็ได้ที่ท่านเห็นสมควร โดยมีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ และเนื้อข่าวที่ปรากฏขึ้นอยู่กับว่าท่านจะใช้ดุลพินิจเห็นสมควรอย่างไร ทั้งนี้ตนได้นำเรียนพยานแต่ในชั้นยื่นคำร้องยังคงสงวนชื่ออยู่และชื่อจะเปิดเผยหลังจากนี้ และพยานที่หมายใจไว้อยู่ที่ 3-4 คน ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้มีการติดต่อทาบทามไปยังผู้ที่จะจะให้มาเป็นพยานเนื่องจากพยานลักษณะนี้ตนปรารถนาอยากจะให้เป็นพยานบริสุทธิ์ ที่จะขอให้ศาลมีเมตตาเรียก และการติดต่อก่อนล่วงหน้าจะทำให้เกิดความไม่บริสุทธิ์ขึ้น
เมื่อถามว่า จะให้ศาลใช้อำนาจในการเรียกพยาน ในการให้ข้อมูลใช่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า คงอยู่ที่ดุลพินิจท่าน
ส่วนกรณีนี้ปลายทางถึงขั้นยุบพรรคใช่หรือไม่ นายธีรยุทธกล่าวว่าตนไม่อาจทราบได้ ซึ่งตนปรารถนาแค่ว่าบริบทบางอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้กระทบ กับสถาบันหลักทั้งสองสถาบัน จึงปรารถนาให้เกิดการหยุดเสียก่อน
เมื่อถามถึงหลักฐานที่เป็นคลิป หรือหลักฐานการไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ที่นายไพบูลย์เคยออกมาพูดก่อนหน้านี้ว่ามีหลักฐานหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่ทราบ
เมื่อถามว่าแปลว่ามีหลายส่วนที่ร่วมมือกันในการแยกกันยื่นเรื่องร้องเรียนต่างๆใช่หรือไม่ นายธีรยุทธ ระบุว่า ไม่ ท่านอื่นเป็นยังไงตนไม่ทราบ แต่ตนนั่งทำคนเดียว
ส่วนที่มีการตั้งคำถามว่าตัวของนายธีรยุทธ มีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่ นายธีรยุทธ ยืนยันว่า ไม่มี เพราะตนไม่ใช่สมาชิกของพรรคการเมืองใด การทำงาน ก็เป็นการทำงานเงียบเงียบอยู่คนเดียว และเริ่มจากที่เคยไปออกรายงานของสื่อโทรทัศน์ช่องหนึ่ง โดยมีคำถามว่าเรื่องที่ยื่นร้อง จุกจิกหยุมหยิมหรือไม่ ที่มายื่นคำร้องทีละคำร้องตนจึงตอบไปว่า การร้องของผู้ร้องแต่ละท่านก็ร้องกันไปในขณะที่เกิดเหตุปัจจุบัน หนึ่งถึงสองวันจึงยื่นเรื่อง และมีเพียงแค่ประเด็นเดียวที่จะยื่นจึงมองว่าเป็นเรื่องหยุมหยิม แต่หากมองเป็นจิ๊กซอว์ แล้วนำมาผูกรวมกันก็จะเห็นภาพหนึ่ง
เมื่อถามว่ามีออเดอร์ให้มายื่นคำร้องหรือไม่ นายธีรยุทธ ยืนยันว่า ไม่มี เพราะตนยื่นตั้งแต่ยังไม่มีข่าว ตนก็ทำของตนยื่นอัยการ และไม่ได้ปรารถนามาก เป็นเพียงการส่งสัญญาณ
ส่วนมองว่าเป็นการรับงานพลเอกประวิตร หรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า “ตนยังไม่เคยเจอตัวท่านเลย และยังไม่เคยได้คุยสักครั้ง หน้าท่านก็ไม่เคยเห็น ก็เลยไม่ได้มีโอกาสเราก็อาจจะเป็นเพียงแค่คนตัวเล็กๆ“ แต่ได้เล่าให้นายไพบูลย์ฟังเรื่องจิ๊กซอว์ที่ตนเห็น โดยเฉพาะจากการเห็นการยุบพรรคไทยรักธรรม และพรรคก้าวไกล ซึ่งนายไพบูลย์ก็มองว่าเป็นไปได้
ขณะเดียวกันนายธีรยุทธ กล่าวว่า ใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลประมาณ 2-3 เดือน .-316 -สำนักข่าวไทย