รัฐสภา 7 ต.ค.-กมธ.คมนาคม เล็งแก้กฎหมายกำหนดอายุรถโดยสารสาธารณะ และเงื่อนไขการจัดทัศนศึกษาตามเกณฑ์อายุ ชี้ปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย ยืนยันเดินหน้าบูรณาการมอนิเตอร์ถี่ยิบ พร้อมเผยประกันจ่ายเงินเยียวยาให้ครอบครัวผู้เสียหายแล้ว 90% แต่ยังติดปัญหารถขนผู้โดยสารมากกว่าจำนวนที่ทำประกัน ยันผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบ
ภายหลังจากการประชุมคณะกรรมาธิการการคมนาคมเสร็จสิ้น นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการฯ เป็นประธานการประชุม มีวาระเพื่อพิจารณากรณีเหตุไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษานักเรียน โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี เปิดเผยผลการประชุมว่า เบื้องต้นได้ให้กรมขนส่งทางบกรายงานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยคณะกรรมาธิการได้มีการตั้งข้อสังเกตและมีการพูดถึงประเด็นในเรื่องของเชื้อเพลิง ที่ต้องมีการกำกับดูแลมาตรฐานให้ตรงตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่แจ้งอีกอย่าง แต่กลับไปติดตั้งเพิ่ม เชิงรุก เพื่อป้องกันไม่ให้มีการไปติดตั้งถังเพิ่ม และปรับเป็นมาตรการเชิงรุก ซึ่งทางกรมขนส่งทางบกได้มีการเรียกประชุม เพื่อกำหนดมาตรการอย่างเข้มงวด ซึ่งเรา เห็นตรงกันว่าจะใช้วิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสในเรื่องของการปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยให้สูงขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้นลดการสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้น้อยที่สุด
ส่วนประเด็นประตูฉุกเฉินด้านนอก อาจจะต้องไปปรับให้ อยู่ในลักษณะที่บุคคลภายนอกสามารถเข้าไปเปิดได้ด้วย ซึ่งปัจจุบันมีความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2 เมตร ซึ่งควรจะลดมาตรฐานความสูงให้เหลือ 1.20 เมตร หรือไม่เกิน 1.50 เมตร เพื่อให้สามารถบุคคลภายนอกสามารถเปิดได้ทันท่วงที
สำหรับการกำหนดอายุการใช้งานของรถ แม้รถบัสจะมีข้อแตกต่างจากรถโดยสาร และรถส่วนบุคคลทั่วไป จะมีในเรื่องของการเปลี่ยนตัวถังใหม่แต่ยังใช้คัสซีเดิม ก็ควรกำหนดว่าคัสซีควรมีอายุการใช้งานเท่าไหร่เปลี่ยนตัวถังได้ไม่เกินกี่ครั้ง ซึ่งจากการตรวจสอบเรื่องนี้รถมีอายุการใช้งานถึง 54 ปี และผ่านการใช้งานมาตลอด สภาพภายนอกอาจจะดูใหม่ แต่อาจจะไม่สอดคล้องกับสภาพอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งทางกรมการขนส่งทางบก มีมาตรการว่าต่อไปจะมีปฏิบัติการเชิงรุก ออกคำสั่ง ให้รถโดยสารเข้ามาตรวจสภาพ10,000กว่าคันภายใน 60 วัน โดยให้ขนส่งจังหวัดเข้าตรวจสอบรถก่อน เพื่อป้องกันการ ดัดแปลงสภาพหรือการไปถอดถังแก๊ส ซึ่งการถอดถังแก๊สเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะจะมีร่องรอยอยู่
ส่วนการยกเลิก หรือพักใช้ใบอนุญาตของผู้ประกอบการรายนี้ เพราะสิ่งที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์คือการนำรถไปถอดถังแก๊สที่จังหวัดนครราชสีมา ทั้งที่ถูกเรียกเข้าไปตรวจสภาพที่ จ.อ่างทอง แต่ยังดีที่ยังมี GPS ที่สามารถติดตามสถานการณ์ได้ทันท่วงที ซึ่งทางกรรมาธิการมองว่าเรื่องนี้ไม่ตรงประเด็นแม้จะมีการปฏิบัติการเชิงรุก แต่ควรจะมีการติดตามกันทุกเดือน เพื่อที่จะดูว่ามีการดัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลงสภาพอย่างไร
ในเรื่องของสมาคมขนส่งฯ ตอนนี้มีการสอดส่องและมีการตรวจเช็คสภาพกันเอง เพื่อสร้างมาตรฐานว่าถ้าอะไร ไม่ตรงมาตรฐาน ก็คงต้องแจ้งกรมการขนส่งทางบกเพื่อไปตรวจ เพื่อให้เห็นว่าเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
สำหรับศูนย์วิชาการความปลอดภัยเห็นตรงกันว่า ความปลอดภัยซื้อไม่ได้ด้วยราคา ฉะนั้นด้วยงบประมาณที่มีข้อจำกัด ในเรื่องของการว่าจ้างรถ เช่นมาตรฐานของรถ ในการว่าจ้างในระยะ 300 กิโลเมตรไปกลับ คิดค่าบริการที่ 10,000 บาทแต่งบประมาณที่ได้รับมาเพียงแค่ 8,000 บาท ก็ต้องอาจจะลดกันคนละครึ่งเช่นราคานี้อาจจะ ลดระยะทางลงมา และในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ก็ควรที่จะมีการแยกประเภทของ นักเรียนที่จะไปทัศนศึกษา ว่าเด็กอายุเท่าไหร่ควรเดินทางระยะไหนและควรมีการอบรม หรือบรรจุในหลักสูตรการเรียนสำหรับการช่วยเหลือเอาตัวรอดในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
อย่างไรก็ตามในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ คณะกรรมาธิการคมนาคมจะไปตรวจเยี่ยมกระทรวงคมนาคมโดยจะนำเรื่องนี้ไปหารือกัน จึงอยากเห็นแผนบูรณาการร่วมกันว่าต่อไปหากเกิดเหตุเหล่านี้ขึ้นจะมีการแก้ไขปัญหาเพื่อลดความสูญเสียได้อย่างไร และการบูรณาการภาพรวมว่ามีแผนการพัฒนาการขนส่งอย่างไร เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันไม่ใช่ต่างคนต่างทำ
นายวุฒิชาติ กล่าวว่าข้อเสนอทั้งหมด ของคณะกรรมาธิการจะรวบรวม เสนอ ต่อสภาเพื่อส่งต่อให้รัฐบาลรับไปดำเนินการ ซึ่งในวันนี้ก็ได้มีการเสนอญัติด่วนและรวบรวมข้อเสนอจากสว. ไปแล้ว และยืนยันเรื่องนี้คงไม่ปล่อยผ่านเลย โดยจะต้องมีการ Monitor ติดตาม ต่อไปนี้ ตั้งผู้เชี่ยววชาญเลขานุการและผู้ที่จะเข้ามาช่วยงาน จะบูรณาการ ในภาพรวมร่วมกัน ขับเคลื่อนร่วมกันโดยหน่วยงานไหนมีส่วนเกี่ยวข้องอาทิ มูลนิธิต่างๆ กรมการขนส่งทางบก สมาคมผู้ประกอบการจะต้องส่งตัวแทนมาช่วยคณะกรรมาธิการจะได้คุยกันเป็นภาพรวมเลยทีเดียวไม่ใช่ว่าพอเกิดเหตุก็เรียกคนนู้นมาที คนนี้มาที วันนี้เราจะไม่โทษกันเพียงแต่ว่าใครทำอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบ ซึ่งทางรองอธิบดีกรมการขนส่งทางบกก็รับปากว่า กรณีของการตรวจสภาพรถถ้าเป็นการตรวจทิพย์ ก็คงต้องมีบทลงโทษกับผู้ที่รับผิดชอบ
ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นช่องโหว่ทางข้อกฎหมายหรือทางปฏิบัตินั้นนายวุฒิชาติกล่าวว่า ข้อกฎหมายค่อนข้างจะครอบคลุมอย่างน้อย 80-90% แต่ช่องโหว่ของการปฏิบัติต่างหากที่ตนและทุกคนมองตรงกัน ว่าน่าจะเป็นสาเหตุของการไม่ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ จนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นทางกรรมาธิการยืนยันจะติดตามและ Monitor เรื่องเหล่านี้โดยจะไม่ปล่อยอย่างแน่นอน ซึ่งในกรรมาธิการได้พูดคุยกันแล้วว่าวันนี้เราจะสร้างมิติใหม่ของการทำงาน โดยจะทำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำให้ได้ข้อสรุปผลการศึกษาออกมา ซึ่งตรงนี้ ถือเป็นบทบัญญัติและธรรมนูญในการทำงานร่วมกัน
เมื่อถามว่าจะให้เวลานานแค่ไหนในการติดตามนั้น นายวุฒิชาติกล่าวว่า อันนี้คงต้องให้ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องได้ทำงาน ซึ่ง เราอาจจะต้องประเมินและติดตามเป็นระยะๆ และจะแถลงต่อสื่อมวลชน ระยะระยะว่าสิ่งที่เราตามวันนี้อีก 1 เดือนอีก 45 วัน มีความคืบหน้าคืออะไร และการปรับปรุงยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบมีการบูรณาการไปถึงไหน
สำหรับเรื่องการเยียวยา ให้กับผู้ได้รับผลกระทบนั้น นายวุฒิชาติ กล่าวว่า จากการที่สอบถามมาไม่ว่าจะเป็นการทำประกันภาคบังคับหรือภาคสมัครใจ ส่วนใหญ่เป็นไปตามกฎหมายหมดแล้วแต่มีประเด็นว่า ประกันภัยผู้รับผิดชอบนั้นได้รับแจ้งจากผู้ประกอบการว่า ในรถคันนั้นมีผู้โดยสาร 20 ที่นั่ง แต่ผู้โดยสารมีมากกว่านั้น คงเป็นประเด็นที่ต้องไปติดตามดู ซึ่งเราก็คงยอมไม่ได้ โดยในส่วนที่นอกเหนือความรับผิดชอบของประกันก็ต้องเป็นความรับผิดชอบที่ผู้ประกอบการต้องรับไป
เมื่อถามว่าที่มีการจ่ายเงินเยียวยาช้า เป็นเพราะเหตุผลข้างต้นใช่หรือไม่ นายวุฒิชาติ กล่าวว่า ส่วนใหญ่ที่ทำประกันภัย กลับทิพยประกันภัยและมิตรแท้ประกันภัยภาคสมัครใจ ภาคบังคับ 90% จ่ายกันไปหมดแล้ว เหลือแต่เฉพาะที่ไม่ลงตัว อันในเรื่องของประกันว่าจำนวนผู้โดยสาร ทั้งหมดกี่คนแล้วจริงๆแล้ว เกิดอุบัติเหตุมีจำนวนผู้โดยสารมากกว่าที่ทำประกันไว้ ดังนั้นทั้งหมดนี้คงต้องไปดูกันในแง่ของกฎหมาย เพราะการทำประกัน ที่ผู้ประกอบการทำ การแจ้งจำนวนผู้โดยสาร มีผลต่อค่าเบี้ยประกัน
เมื่อถามว่าในที่ประชุมได้รับทราบข้อมูลหรือไม่ว่า มีการเปลี่ยนสเปครถจากดีเซลมาเป็นก๊าซเมื่อปีไหน นายวุฒิชาติกล่าวว่า เป็นช่วงที่รัฐบาลได้มีการรณรงค์ จากดีเซลมาเป็น NGV ซึ่งขอยืนยันว่าทุกอย่างที่มีการตรวจสอบตามมาตรฐานแล้ว ไม่ได้เกิดอันตรายและก่อให้เกิดความเสียหายถ้าไม่ได้มีการไปดัดแปลง ลงไว้ว่ามีถังแก๊ส 3-4 ถัง แต่ ไปเพิ่มเป็น 11 ถังซึ่งตรงนี้ต่างหากที่ก่อให้เกิดปัญหาความปลอดภัย เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐาน ที่เกิดขึ้นซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นเมื่อเจอแล้ว ฝากว่ากรมการขนส่งทางบกต้องลงโทษให้หนักต้องยกเลิกใบอนุญาตประกอบการ ซึ่งกรณีเช่นนี้เราปล่อยไว้ไม่ได้แน่นอน
ด้านนายนายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมขนส่งทางบก กล่าวว่รถแต่ละคันมีถังแก๊สได้กี่ถังนั้นขึ้นอยู่กับสมรรถนะรถซึ่ง ในการจดทะเบียนจะมีระบุไว้ว่ารถแต่ฉันละชนิดมีการติดตั้งถังแก๊สได้กี่ถัง ซึ่งหากเป็นสเปคของรถลักษณะนี้จะมีถังแก๊สได้ประมาณ 5-6 ถังเท่านั้น
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ในครั้งนี้นั้นรองอธิบดีกรมการขนส่งทางบกกล่าวว่า จากวัตถุพยานและจากตัวรถเราพบว่า เอาหักและขณะนี้อยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวนและกองพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งน่าจะเกิดจากการบรรทุกน้ำหนักเกินแต่ทั้งหมดขอให้รอผลการพิสูจน์หลักฐาน
เมื่อถามว่าตัวท่อที่หลุดออกมาก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุนั้นหลุดออกมานานหรือยังรองอธิบดีกรมการขนส่งทางบกกล่าวว่า ผลการสอบสวนยังไม่ออกมาแต่ตอนนี้ ทางกองพิสูจน์หลักฐานไปเก็บข้อมูลมาหมดแล้ว ได้ตรวจสอบรถทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว
และจากข้อมูลจำนวนผู้โดยสารสอดคล้องกับรถที่จดทะเบียน.-312.-สำนักข่าวไทย