กมธ.คมนาคม เล็งแก้กฎหมายกำหนดอายุรถโดยสารสาธารณะ

รัฐสภา 7 ต.ค.-กมธ.คมนาคม เล็งแก้กฎหมายกำหนดอายุรถโดยสารสาธารณะ และเงื่อนไขการจัดทัศนศึกษาตามเกณฑ์อายุ ชี้ปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย ยืนยันเดินหน้าบูรณาการมอนิเตอร์ถี่ยิบ พร้อมเผยประกันจ่ายเงินเยียวยาให้ครอบครัวผู้เสียหายแล้ว 90% แต่ยังติดปัญหารถขนผู้โดยสารมากกว่าจำนวนที่ทำประกัน ยันผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบ

ภายหลังจากการประชุมคณะกรรมาธิการการคมนาคมเสร็จสิ้น นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการฯ เป็นประธานการประชุม มีวาระเพื่อพิจารณากรณีเหตุไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษานักเรียน โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี เปิดเผยผลการประชุมว่า เบื้องต้นได้ให้กรมขนส่งทางบกรายงานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยคณะกรรมาธิการได้มีการตั้งข้อสังเกตและมีการพูดถึงประเด็นในเรื่องของเชื้อเพลิง ที่ต้องมีการกำกับดูแลมาตรฐานให้ตรงตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่แจ้งอีกอย่าง แต่กลับไปติดตั้งเพิ่ม เชิงรุก เพื่อป้องกันไม่ให้มีการไปติดตั้งถังเพิ่ม และปรับเป็นมาตรการเชิงรุก ซึ่งทางกรมขนส่งทางบกได้มีการเรียกประชุม เพื่อกำหนดมาตรการอย่างเข้มงวด ซึ่งเรา เห็นตรงกันว่าจะใช้วิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสในเรื่องของการปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยให้สูงขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้นลดการสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้น้อยที่สุด


ส่วนประเด็นประตูฉุกเฉินด้านนอก อาจจะต้องไปปรับให้ อยู่ในลักษณะที่บุคคลภายนอกสามารถเข้าไปเปิดได้ด้วย ซึ่งปัจจุบันมีความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2 เมตร ซึ่งควรจะลดมาตรฐานความสูงให้เหลือ 1.20 เมตร หรือไม่เกิน 1.50 เมตร เพื่อให้สามารถบุคคลภายนอกสามารถเปิดได้ทันท่วงที

สำหรับการกำหนดอายุการใช้งานของรถ แม้รถบัสจะมีข้อแตกต่างจากรถโดยสาร และรถส่วนบุคคลทั่วไป จะมีในเรื่องของการเปลี่ยนตัวถังใหม่แต่ยังใช้คัสซีเดิม ก็ควรกำหนดว่าคัสซีควรมีอายุการใช้งานเท่าไหร่เปลี่ยนตัวถังได้ไม่เกินกี่ครั้ง ซึ่งจากการตรวจสอบเรื่องนี้รถมีอายุการใช้งานถึง 54 ปี และผ่านการใช้งานมาตลอด สภาพภายนอกอาจจะดูใหม่ แต่อาจจะไม่สอดคล้องกับสภาพอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งทางกรมการขนส่งทางบก มีมาตรการว่าต่อไปจะมีปฏิบัติการเชิงรุก ออกคำสั่ง ให้รถโดยสารเข้ามาตรวจสภาพ10,000กว่าคันภายใน 60 วัน โดยให้ขนส่งจังหวัดเข้าตรวจสอบรถก่อน เพื่อป้องกันการ ดัดแปลงสภาพหรือการไปถอดถังแก๊ส ซึ่งการถอดถังแก๊สเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะจะมีร่องรอยอยู่


ส่วนการยกเลิก หรือพักใช้ใบอนุญาตของผู้ประกอบการรายนี้ เพราะสิ่งที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์คือการนำรถไปถอดถังแก๊สที่จังหวัดนครราชสีมา ทั้งที่ถูกเรียกเข้าไปตรวจสภาพที่ จ.อ่างทอง แต่ยังดีที่ยังมี GPS ที่สามารถติดตามสถานการณ์ได้ทันท่วงที ซึ่งทางกรรมาธิการมองว่าเรื่องนี้ไม่ตรงประเด็นแม้จะมีการปฏิบัติการเชิงรุก แต่ควรจะมีการติดตามกันทุกเดือน เพื่อที่จะดูว่ามีการดัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลงสภาพอย่างไร

ในเรื่องของสมาคมขนส่งฯ ตอนนี้มีการสอดส่องและมีการตรวจเช็คสภาพกันเอง เพื่อสร้างมาตรฐานว่าถ้าอะไร ไม่ตรงมาตรฐาน ก็คงต้องแจ้งกรมการขนส่งทางบกเพื่อไปตรวจ เพื่อให้เห็นว่าเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

สำหรับศูนย์วิชาการความปลอดภัยเห็นตรงกันว่า ความปลอดภัยซื้อไม่ได้ด้วยราคา ฉะนั้นด้วยงบประมาณที่มีข้อจำกัด ในเรื่องของการว่าจ้างรถ เช่นมาตรฐานของรถ ในการว่าจ้างในระยะ 300 กิโลเมตรไปกลับ คิดค่าบริการที่ 10,000 บาทแต่งบประมาณที่ได้รับมาเพียงแค่ 8,000 บาท ก็ต้องอาจจะลดกันคนละครึ่งเช่นราคานี้อาจจะ ลดระยะทางลงมา และในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ก็ควรที่จะมีการแยกประเภทของ นักเรียนที่จะไปทัศนศึกษา ว่าเด็กอายุเท่าไหร่ควรเดินทางระยะไหนและควรมีการอบรม หรือบรรจุในหลักสูตรการเรียนสำหรับการช่วยเหลือเอาตัวรอดในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน


อย่างไรก็ตามในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ คณะกรรมาธิการคมนาคมจะไปตรวจเยี่ยมกระทรวงคมนาคมโดยจะนำเรื่องนี้ไปหารือกัน จึงอยากเห็นแผนบูรณาการร่วมกันว่าต่อไปหากเกิดเหตุเหล่านี้ขึ้นจะมีการแก้ไขปัญหาเพื่อลดความสูญเสียได้อย่างไร และการบูรณาการภาพรวมว่ามีแผนการพัฒนาการขนส่งอย่างไร เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันไม่ใช่ต่างคนต่างทำ

นายวุฒิชาติ กล่าวว่าข้อเสนอทั้งหมด ของคณะกรรมาธิการจะรวบรวม เสนอ ต่อสภาเพื่อส่งต่อให้รัฐบาลรับไปดำเนินการ ซึ่งในวันนี้ก็ได้มีการเสนอญัติด่วนและรวบรวมข้อเสนอจากสว. ไปแล้ว และยืนยันเรื่องนี้คงไม่ปล่อยผ่านเลย โดยจะต้องมีการ Monitor ติดตาม ต่อไปนี้ ตั้งผู้เชี่ยววชาญเลขานุการและผู้ที่จะเข้ามาช่วยงาน จะบูรณาการ ในภาพรวมร่วมกัน ขับเคลื่อนร่วมกันโดยหน่วยงานไหนมีส่วนเกี่ยวข้องอาทิ มูลนิธิต่างๆ กรมการขนส่งทางบก สมาคมผู้ประกอบการจะต้องส่งตัวแทนมาช่วยคณะกรรมาธิการจะได้คุยกันเป็นภาพรวมเลยทีเดียวไม่ใช่ว่าพอเกิดเหตุก็เรียกคนนู้นมาที คนนี้มาที วันนี้เราจะไม่โทษกันเพียงแต่ว่าใครทำอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบ ซึ่งทางรองอธิบดีกรมการขนส่งทางบกก็รับปากว่า กรณีของการตรวจสภาพรถถ้าเป็นการตรวจทิพย์ ก็คงต้องมีบทลงโทษกับผู้ที่รับผิดชอบ

ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นช่องโหว่ทางข้อกฎหมายหรือทางปฏิบัตินั้นนายวุฒิชาติกล่าวว่า ข้อกฎหมายค่อนข้างจะครอบคลุมอย่างน้อย 80-90% แต่ช่องโหว่ของการปฏิบัติต่างหากที่ตนและทุกคนมองตรงกัน ว่าน่าจะเป็นสาเหตุของการไม่ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ จนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นทางกรรมาธิการยืนยันจะติดตามและ Monitor เรื่องเหล่านี้โดยจะไม่ปล่อยอย่างแน่นอน ซึ่งในกรรมาธิการได้พูดคุยกันแล้วว่าวันนี้เราจะสร้างมิติใหม่ของการทำงาน โดยจะทำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำให้ได้ข้อสรุปผลการศึกษาออกมา ซึ่งตรงนี้ ถือเป็นบทบัญญัติและธรรมนูญในการทำงานร่วมกัน

เมื่อถามว่าจะให้เวลานานแค่ไหนในการติดตามนั้น นายวุฒิชาติกล่าวว่า อันนี้คงต้องให้ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องได้ทำงาน ซึ่ง เราอาจจะต้องประเมินและติดตามเป็นระยะๆ และจะแถลงต่อสื่อมวลชน ระยะระยะว่าสิ่งที่เราตามวันนี้อีก 1 เดือนอีก 45 วัน มีความคืบหน้าคืออะไร และการปรับปรุงยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบมีการบูรณาการไปถึงไหน
สำหรับเรื่องการเยียวยา ให้กับผู้ได้รับผลกระทบนั้น นายวุฒิชาติ กล่าวว่า จากการที่สอบถามมาไม่ว่าจะเป็นการทำประกันภาคบังคับหรือภาคสมัครใจ ส่วนใหญ่เป็นไปตามกฎหมายหมดแล้วแต่มีประเด็นว่า ประกันภัยผู้รับผิดชอบนั้นได้รับแจ้งจากผู้ประกอบการว่า ในรถคันนั้นมีผู้โดยสาร 20 ที่นั่ง แต่ผู้โดยสารมีมากกว่านั้น คงเป็นประเด็นที่ต้องไปติดตามดู ซึ่งเราก็คงยอมไม่ได้ โดยในส่วนที่นอกเหนือความรับผิดชอบของประกันก็ต้องเป็นความรับผิดชอบที่ผู้ประกอบการต้องรับไป

เมื่อถามว่าที่มีการจ่ายเงินเยียวยาช้า เป็นเพราะเหตุผลข้างต้นใช่หรือไม่ นายวุฒิชาติ กล่าวว่า ส่วนใหญ่ที่ทำประกันภัย กลับทิพยประกันภัยและมิตรแท้ประกันภัยภาคสมัครใจ ภาคบังคับ 90% จ่ายกันไปหมดแล้ว เหลือแต่เฉพาะที่ไม่ลงตัว อันในเรื่องของประกันว่าจำนวนผู้โดยสาร ทั้งหมดกี่คนแล้วจริงๆแล้ว เกิดอุบัติเหตุมีจำนวนผู้โดยสารมากกว่าที่ทำประกันไว้ ดังนั้นทั้งหมดนี้คงต้องไปดูกันในแง่ของกฎหมาย เพราะการทำประกัน ที่ผู้ประกอบการทำ การแจ้งจำนวนผู้โดยสาร มีผลต่อค่าเบี้ยประกัน

เมื่อถามว่าในที่ประชุมได้รับทราบข้อมูลหรือไม่ว่า มีการเปลี่ยนสเปครถจากดีเซลมาเป็นก๊าซเมื่อปีไหน นายวุฒิชาติกล่าวว่า เป็นช่วงที่รัฐบาลได้มีการรณรงค์ จากดีเซลมาเป็น NGV ซึ่งขอยืนยันว่าทุกอย่างที่มีการตรวจสอบตามมาตรฐานแล้ว ไม่ได้เกิดอันตรายและก่อให้เกิดความเสียหายถ้าไม่ได้มีการไปดัดแปลง ลงไว้ว่ามีถังแก๊ส 3-4 ถัง แต่ ไปเพิ่มเป็น 11 ถังซึ่งตรงนี้ต่างหากที่ก่อให้เกิดปัญหาความปลอดภัย เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐาน ที่เกิดขึ้นซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นเมื่อเจอแล้ว ฝากว่ากรมการขนส่งทางบกต้องลงโทษให้หนักต้องยกเลิกใบอนุญาตประกอบการ ซึ่งกรณีเช่นนี้เราปล่อยไว้ไม่ได้แน่นอน

ด้านนายนายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมขนส่งทางบก กล่าวว่รถแต่ละคันมีถังแก๊สได้กี่ถังนั้นขึ้นอยู่กับสมรรถนะรถซึ่ง ในการจดทะเบียนจะมีระบุไว้ว่ารถแต่ฉันละชนิดมีการติดตั้งถังแก๊สได้กี่ถัง ซึ่งหากเป็นสเปคของรถลักษณะนี้จะมีถังแก๊สได้ประมาณ 5-6 ถังเท่านั้น

สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ในครั้งนี้นั้นรองอธิบดีกรมการขนส่งทางบกกล่าวว่า จากวัตถุพยานและจากตัวรถเราพบว่า เอาหักและขณะนี้อยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวนและกองพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งน่าจะเกิดจากการบรรทุกน้ำหนักเกินแต่ทั้งหมดขอให้รอผลการพิสูจน์หลักฐาน

เมื่อถามว่าตัวท่อที่หลุดออกมาก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุนั้นหลุดออกมานานหรือยังรองอธิบดีกรมการขนส่งทางบกกล่าวว่า ผลการสอบสวนยังไม่ออกมาแต่ตอนนี้ ทางกองพิสูจน์หลักฐานไปเก็บข้อมูลมาหมดแล้ว ได้ตรวจสอบรถทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว
และจากข้อมูลจำนวนผู้โดยสารสอดคล้องกับรถที่จดทะเบียน.-312.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดเนื้อหาหนังสือแจง UNSC กัมพูชาวางทุ่นระเบิด-เริ่มยิงก่อน

25 ก.ค.- เปิดเนื้อหาหนังสือจากผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นิวยอร์ก เพื่อชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ส่งหนังสือชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ขอแจ้งให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกท่านทราบ ถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.     เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี ค.ศ. […]

“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน”

ก.มหาดไทย 25 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน” ชี้รับฟังทุกความไม่พอใจ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามยุทธวิธี ให้ทหารมีอิสระในการทำงาน มอง “ก่อแก้ว” ขอศาล รธน. คืนอำนาจให้ “แพทองธาร” เป็นความเห็นเหมือนประชาชนจำนวนมาก แต่ให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุถึง อยากให้กองทัพสั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซนก่อน ว่า ก็เหมือนประชาชนทั่วไป ที่เวลานี้มีความรู้สึกเช่นนั้น หลายคนแสดงความเห็นให้ทำแบบนู้นแบบนี้ เราก็รับฟังความห่วงใยความไม่พอใจที่เราถูกกระทำ ตนเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น และเห็นว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพราะเรื่องอธิปไตยของประเทศ การรุกล้ำเข้ามา กระทบประชาชนเรายอมไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายจะเห็นว่าเราประนีประนอม (Compromise) ให้มากที่สุด แต่เมื่อสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และเป็นปัญหา วันนี้จึงได้สั่งการให้ทหารมีอิสระในพื้นที่ โดยผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้คุมยุทธการ ปฏิบัติได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงได้มีการทำความเข้าใจกับ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการโทรคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด […]

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร” ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% ไม่พอใจเข้มปราบแก๊งคอลฯ

กระทรวงวัฒนธรรม 26 ก.ค.- “แพทองธาร” เปิดใจ ขอคนไทยรักกัน หันไปทะเลาะกับคนนอกประเทศก่อน ชี้ขัดแย้งกันเองยังรอได้ แฉกัมพูชาไม่พอใจไทยร่วมมือลาว – เมียนมา ปราบคอลเซ็นเตอร์ เผยสื่อนอกยังตั้งข้อสังเกต “กพช.” สั่งปิด รร.ยิงวันแรก เหมือนรู้ล่วงหน้าจะมีการรบ ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมติดตามมาตรการการรับมือ และช่วยช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 4 จังหวัด ที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยนางสาวแพทองธารได้ยืนยันแถลงการณ์ของรัฐบาล ตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้แถลงไปเมื่อวานนี้ ที่ระบุว่ากัมพูชาถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามขั้นรุนแรง วิธีการต่าง ๆ ขัดต่อหลักสันติวิธีของกฎหมายระหว่างประเทศ และขัดหลักมนุษยธรรมที่ได้ปฏิบัติมาตลอด สถานการณ์ความรุนแรง เป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ย้ำตลอดว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือชีวิตของประชาชน เป็นสิ่งที่เรายึดถือ และพยายามไม่ให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ จนฝ่ายกัมพูชาได้ยิงก่อน ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา นางสาวแพทองธารยังกล่าวว่า มีสำนักข่าวต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้วเรามีหลักฐาน มีดิจิทัลฟุตปริ้นท์ที่สามารถทำให้เห็นว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน และมีการตั้งข้อสังเกตว่าในวันนั้นนักเรียนของเราที่อยู่ชายแดนไปโรงเรียนตามปกติ […]

“เสธ.เบิร์ด” ชี้เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” ถือเป็นภัยคุกคาม

26 ก.ค.- “เสธ.เบิร์ด” ชี้ เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” วิถีไกล 130 กม. ถือเป็นภัยคุกคาม มองไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากกรณีกองทัพภาคที่ 2 เตือนเฝ้าระวังกัมพูชายิงขีปนาวุธ PHL-03 วิถีไกล 130 กม. เพื่อพุ่งเป้าหมายพื้นที่ยุทธศาสตร์และที่ตั้งทหารนั้น ล่าสุด พล.ต.วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กล่าวว่า การขยับขีปนาวุธ PHL-03 เป็นการขู่ และถือเป็นภัยคุกคาม ดังนั้นถ้าไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากการที่กัมพูชากล่าวหาว่า ไทยใช้ปฏิบัติการทางอากาศเกินกว่าเหตุนั้น เราไม่ทำเกินกว่าเหตุ แต่สิ่งที่เราทำนี้เป็นเหตุผล เพราะฝ่ายกัมพูชา เคลื่อนกำลังจำนวนมากมาประชิดชายแดน ใช้อาวุธยิงระยะไกลทำร้ายประชาชนของไทย ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน สถานีบริการน้ำมัน ทำให้ประชาชนชาวไทยบาดเจ็บ และเสียชีวิต จากการมีภาพข่าวการเคลื่อนอาวุธยิงระยะไกล ถือว่าเป็นการข่มขู่คุกคามความมั่นคงของไทยอย่างชัดเจน ดังนั้นการปฏิบัติการทางอากาศ เพื่อลดการสูญเสีย สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้การปฏิบัติการทางอากาศของไทยทำลายเป้าหมายทางทหารเท่านั้น และมีความแม่นยำ -สำนักข่าวไทย

น้ำท่วมน่านลดต่อเนื่อง ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย

น่าน 26 ก.ค.- สถานการณ์น้ำท่วมตัวเมืองน่าน ลดลงต่อเนื่อง ส่วนอีกหลายจุดยังอ่วม ท่วมสูงกว่า 1 เมตร ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย ย่านการค้าและเศรษฐกิจสำคัญของเมืองน่าน บริเวณถนนสุมณเทวราช ซึ่งเคยน้ำท่วมสูงเกือบถึงคอ แต่ตอนนี้น้ำลดลงเหลือประมาณหน้าขา เท่ากับลดไปราว 1 เมตร แต่บริเวณโดยรอบยังมีน้ำท่วมเต็มพื้นที่ โดยเฉพาะที่ลุ่มต่ำ ยังท่วมสูงกว่า 1 เมตร ทีมข่าวได้เข้าไปสำรวจความเสียหายของโรงแรงแห่งหนึ่งกลางเมืองน่าน ซึ่งสภาพภายในเต็มไปด้วยคราบโคลน รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ที่จอดไว้เสียหายจำนวนมาก ขณะที่เจ้าของร้านค้าย่านนี้ เริ่มสำรวจความเสียหายจากน้ำท่วม อีกจุดหนึ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักคือที่โรงพยาบาลน่านที่ถูกน้ำท่วมสูงเต็มพื้นที่ 40 ไร่ บางจุดท่วมเกือบมิดหัว ตอนนี้น้ำลดแล้ว แต่ตามอาคารต่างๆ น้ำทะลักท่วมยาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ได้รับความเสียหาย แต่ผู้ป่วยใน ราว 3 ร้อยคน ยังปลอดภัย คุณหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่เร่งช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาด เพื่อให้โรงพยาบาลกลับมาเปิดบริการตามปกติให้เร็วที่สุด ช่วงสายที่ผ่านมา นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายใจกลางเขตเศรษฐกิจเมืองน่านด้วย -สำนักข่าวไทย