รัฐสภา 13 ก.ย.-“พริษฐ์” ถาม นายกฯ หรือแค่วาทกรรมหาเสียง หลังหลายนโยบายหายต๋อม ซัดแรงหน้าตา ครม.เหมือน 1 ครอบครัว 1 รัฐมนตรี เสี่ยงเป็น ครม.ตรายางไร้อำนาจตัดสินใจ หวั่นเป็นตัวประกันอำนาจเก่า ถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายภัยคุกคาม
ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา วาระพิเศษ คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายเป็นคนสุดท้ายของพรรคร่วมฝ่ายค้านระบุว่า เราต้องตั้งหลักและยอมรับร่วมกันว่า วาระ 2 วันนี้ไม่ใช่การแถลงนโยบายของรัฐบาลใหม่ แต่เป็นวาระของการแถลงความคืบหน้าของรัฐบาลเดิมที่ทำงานครบแล้ว 1 ปีเต็ม แม้นายกรัฐมนตรีจะเปลี่ยนคน แต่ไม่ได้เปลี่ยนพรรค รัฐมนตรีหลายคนอาจเปลี่ยนชื่อ แต่ไม่เปลี่ยนนามสกุล มีความเปลี่ยนแปลงเพียงอะไหล่เล็กน้อยที่ไม่มีความสำคัญอะไร
นายพริษฐ์ กล่าวว่าต้องย้อนดูว่ารัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี สามารถทำตามคำพูดสวยหรูเมื่อ 1 ปีที่แล้วหรือไม่ เชื่อว่าจะเป็นคำตอบให้อนาคตอีก 3 ปีของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้ และหากจะพิจารณาผลงานของรัฐบาลชุดที่แล้วอย่างจริงจัง ต้องดูจาก 5 นโยบายระยะสั้น ที่ควรสำเร็จภายใน 1 ปี
อย่างโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อจุดชนวนเศรษฐกิจให้กระตุก แต่ที่ผ่านมาไม่เห็นว่ารัฐบาลนายเศรษฐาจะจุดชนวนอะไรได้แม้แต่เรื่องเดียว มีเพียงพ่อค้าแม่ค้าที่จุดธูปอธิษฐานว่าตลาดและร้านค้าจะกลับมาคึกคัก ขณะที่แนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินก็ยังพลาดเป้า หนี้สินครัวเรือนก็ยังค้างอยู่ที่ 91% ของ GDP และหนี้เสียก็เพิ่มขึ้นมา 20-30%
สำหรับนโยบายด้านพลังงาน ทั้งค่าไฟและน้ำมันดีเซลที่เคยออกโปรโมชันลดราคาก็เด้งกลับมาแล้ว การเจรจากับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ทางพลังงานเพื่อแก้ไขสัญญาที่เป็นปัญหา ประชาชนกลับเห็นท่านไปตีกอล์ฟร่วมกันที่เขาใหญ่ ซึ่งนักวิเคราะห์ก็มองว่าเป็นการพูดคุยกันเรื่องต่ออายุรัฐบาลมากกว่า
ด้านการท่องเที่ยว แม้นายเศรษฐาจะสวมบทเป็นนักเดินทางบินไปทั่วโลก แต่ 1 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่านายเศรษฐา ขยันผิดจุด ปริมาณนักท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเทียบเท่าในสมัยก่อนโควิด-19 สะท้อนถึงผลงานที่ไม่สำเร็จของคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ที่นายกฯ คนปัจจุบันเคยเป็นประธาน
ส่วนการผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้ผ่านไป 1 ปี ประชามติรอบแรกที่ประกาศว่าจะทำตั้งแต่การประชุม ครม.รอบแรก ก็ยังไม่ได้จัดทำแต่อย่างใด ดังนั้น 5 นโยบายระยะสั้น จึงเปรียบเหมือนการขึ้นรถไฟเหาะ ซ้ายทีขวาที แต่ท้ายสุดก็กลับมาสู่จุดเริ่มต้น อาจจะเพิ่มเติมคืออาการเวียนหัวกับความเอาแน่เอานอนไม่ได้ และกลับไปกลับมาของรัฐบาล
แนวคิดของนายเศรษฐา ที่เคยระบุไว้หลังรับตำแหน่งว่าปัญหาที่ติดกฎหมายให้แก้ที่กฎหมาย แต่รัฐบาลไม่เคยเป็นฝ่ายริเริ่มแก้ไขกฎหมายแม้แต่ครั้งเดียว ขยันมากในการชะลอและขัดขวางกฎหมายที่เสนอโดยพรรคร่วมฝ่ายค้าน
โดยปัญหาหลัก 3 ด้านของนโยบายนางสาวแพทองธาร ปัญหาแรกคือ เป็นนโยบายที่รัฐบาลคิดไม่ครบมาตั้งแต่ต้น กลับกลอกไปมา หรือต้องยอมถอย ที่เห็นได้ชัดคือโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่คำว่า 10,000 บาท หายไปจากคำแถลงนโยบาย รวมถึงกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ระบุว่า การจ่ายเงินงวดที่ 2 ต้องรอความพร้อมของงบประมาณ ยิ่งสะท้อนว่ารัฐบาลไม่มีความชัดเจนเลย
อีกเรื่องคือค่าแรงขั้นต่ำ ที่สะท้อนว่านโยบายดี ๆ ใครก็พูดได้ แต่จะทำได้จริงหรือไม่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ และคำว่าค่าแรงขั้นต่ำได้หายสาบสูญไปจากคำแถลงนโยบายของรัฐบาลแพทองธาร ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยเคยระบุว่า การขึ้นค่าแรงทำได้ไม่ยาก หากเศรษฐกิจโตขึ้น 5% การลบคำสัญญาออกจึงไม่ได้มีอะไรซับซ้อนไปกว่าคำสารภาพต่อประชาชน ว่าเศรษฐกิจจะโตไม่ถึง 5% ต่อปีโดยเฉลี้ย
เมื่อวานนายกฯ ได้ให้คำแนะนำกับพวกเราว่าในเมื่อตอนนี้ไม่ใช่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง เราไม่จำเป็นต้องสร้างวาทกรรมเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด ตนเองจึงขอถามนายกฯ ว่าวันนี้รัฐบาลได้ถอยหลายนโยบายที่เคยหาเสียงไว้กับประชาชน ตกลงทั้งหมดเป็นเพราะท่านมองว่าช่วงหาเสียงเลือกตั้งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมใช่หรือไม่ ในการสร้างวาทกรรมเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดของพี่น้องประชาชน
ปัญหาที่สองคือ นโยบายที่คิดไม่ออก จึงต้องเขียนกว้าง ๆ ไว้ก่อน เช่น การกระจายอำนาจ สวัสดิการทุกช่วงวัย และปัญหาที่สามคือ คิดไม่ซื่อ แต่นำประชาชนมาบังหน้า เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเครือข่ายของตัวเอง อาทิ สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ดูแนวโน้มว่ารัฐบาลอาจตั้งกาสิโนอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวมากอยู่แล้ว แม้ไม่มีกาสิโน ผลประโยชน์น่าจะตกอยู่กับกลุ่มทุนใหญ่ และมีสมาชิกจากพรรคภูมิใจไทยที่เห็นตรงกันว่าควรกระจายสถานบันเทิงไปหลายภูมิภาค
นายพริษฐ์ กล่าวขอบคุณนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่แสดงออกว่ายอมรับแนวทางที่พรรคประชาชนเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา คู่ขนานไปกับการแก้ไขทั้งฉบับ พร้อมหวังให้การร่างรัฐธรรมนูญโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มาจากการเลือกตั้ง 100% และเปิดกว้างให้ประชาชนมีส่วนร่วม ไม่ถูกล็อกโดยคนบางกลุ่มที่กำหนดว่าอะไรแก้ได้หรือไม่ได้
นอกจากนี้จะต้องฟื้นฟูหลักนิติธรรม ให้ทุกคนเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย แต่ต้องถามนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคเพื่อไทยว่าจะทำอย่างไรกับ สส.พรรคเพื่อไทย ที่ตกเป็นจำเลยในคดีตากใบ สามารถสัญญากับสภาแห่งนี้ได้หรือไม่ว่า จะกำชับให้ สส. คนดังกล่าวไปรายงานตัวต่อศาลหรือไม่
ขณะที่องค์ประกอบของ ครม.ชุดนี้ ดูเหมือนเป็นการต่อยอดโครงการ 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ แต่เป็น 1 ครอบครัว 1 ที่นั่งรัฐมนตรี ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหาหลัก เพราะเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่านรู้ดีว่าท้ายสุดแล้วประชาชนจะประเมินท่านจากผลงานและความสามารถ ครม. ชุดนี้เสี่ยงจะเป็น ครม.ต่างคนต่างอยู่ ที่ไม่สามารถประสานงานข้ามกระทรวงได้ เพราะก่อนหน้านี้ อดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์ แนะนำคนที่วิจารณ์ท่านว่า ให้ “ต่างคนต่างอยู่” และต่อมาอดีตนายกฯ ก็ได้แสดงวิสัยทัศน์ด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม แทบทุกข้อได้มาบรรจุอยู่ในนโยบายของรัฐบาล หลายเรื่องที่อดีตนายกฯ ไม่ได้พูดถึง เช่น การศึกษา แรงงาน หรือสวัสดิการ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐมนตรีจากคนละพรรคกับลูกสาวของอดีตนายกฯ ท่านนั้น
ครม. ชุดนี้เสี่ยงจะเป็นตรายางที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างการลงพื้นที่ร่วมกันของ 5 รัฐมนตรี 3 ตำแหน่ง แต่คนที่ไม่มีตำแหน่งอะไรกลับนั่งสั่งการอยู่หัวโต๊ะ เชื่อว่าเรื่องนี้จะทำให้เกิดปัญหาด้านการบริหารราชการแผ่นดินแน่นอน การประชุม ครม.จะเป็นเพียงพิธีกรรมที่มีการตัดสินใจกันมาก่อน
นายพริษฐ์ ยังกล่าวถึงวิกฤตน้ำท่วมภาคเหนือที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนนับหมื่นแสนคน ประชาชนอย่างพวกเราจะสามารถฝากความหวังไว้กับนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ อะไรควรหรือไม่ควรทำในจังหวะชี้เป็นชี้ตายของพี่น้องประชาชน
ปัญหาสุดท้ายคือ ครม. ชุดนี้ เสี่ยงจะเป็น ครม.ตัวประกัน ที่จะเจออุปสรรคในการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้าง อำนาจรัฐที่พรรคเพื่อไทยได้มาก็ไม่สามารถผลักดันความเปลี่ยนแปลงได้แม้แต่เรื่องเดียว ภายหลังตัดขาดจากพรรคก้าวไกลเข้าสู่เครือข่ายอำนาจเก่า ทั้งการปฏิรูปกองทัพ การนิรโทษกรรมคดีการเมือง และต้องทิ้งวาระทางการเมืองที่สัญญาไว้กับประชาชนเพื่อเอาใจอำนาจเก่า แต่ท้ายสุดก็หนีไม่พ้นการถูกระบบและสถาบันทางการเมืองของสถาบันอำนาจเก่าหันกลับมาทิ่มแทง
รัฐบาลและนายกฯ กำลังยืนอยู่บนทาง 2 แพร่ง หากท่านยังเลือกวิ่งเข้าหาเครือข่ายอำนาจเดิม โดยเอาอนาคตของประชาชนทุกคนไปแลก ก็อย่าหวังว่าจะได้รับความเห็นใจจากประชาชน และแม้เครือข่ายอำนาจเก่าอาจจะยังปราณีท่านไว้ชั่วคราว เพราะหวังจะใช้พวกท่านเป็นเครื่องมือในการทำลายล้างภัยคุกคามใหม่อย่างพวกตนเอง ท้ายที่สุดแล้ว หากเขาทำสำเร็จ ตนเองเชื่อว่าเขาก็อาจจะไม่เก็บภัยคุกคามเก่าอย่างพวกท่านไว้ด้วยเช่นกัน
หากรัฐบาลเลือกหันหลังให้กับอำนาจเก่า แล้ววิ่งเข้าหาประชาชน มาร่วมมือกับพรรคประชาชนในบางวาระ เพื่อปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองให้กลับมาเป็นประชาธิปไตยปกติ ให้อำนาจจากการเลือกตั้งอยู่เหนืออำนาจจากการแต่งตั้ง เชื่อว่าแม้จะเห็นต่างกัน จะสามารถฝ่าฟันกับดักและนิติสงครามของอำนาจเก่าไปได้อย่างแน่นอน
นายพริษฐ์ ฝากไปถึงนายกรัฐมนตรีว่าเวลาของท่านในการตัดสินใจมีอยู่ไม่มาก ความอดทนของพี่น้องประชาชนมีขีดจำกัด เชื่อว่าอีก 3 ปีหลังจากนี้ ท่านจะต้องเผชิญกับหลายสถานการณ์ที่ท่านต้องตัดสินใจแทนพวกเราทุกคน ว่าท่านจะทำให้อนาคตข้างหน้า เป็นอนาคตที่อำนาจลงตัว แต่ประชาชนลงเหว หรือเป็นอนาคตที่อำนาจเปลี่ยนผ่าน และประเทศชาติเปลี่ยนแปลง ตนเองเพียงแต่หวังว่าท่านจะตัดสินใจทุกครั้ง โดยไม่ยอมให้ประโยชน์ส่วนตัวของใคร มาอยู่เหนือประโยชน์ส่วนรวมของของประเทศชาติและประชาชนทุกคน.-317.-สำนักข่าวไทย