“พริษฐ์” ซัดแรงหน้าตา ครม. เหมือน 1 ครอบครัว 1 รัฐมนตรี

รัฐสภา 13 ก.ย.-“พริษฐ์” ถาม นายกฯ หรือแค่วาทกรรมหาเสียง หลังหลายนโยบายหายต๋อม ซัดแรงหน้าตา ครม.เหมือน 1 ครอบครัว 1 รัฐมนตรี เสี่ยงเป็น ครม.ตรายางไร้อำนาจตัดสินใจ หวั่นเป็นตัวประกันอำนาจเก่า ถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายภัยคุกคาม

ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา วาระพิเศษ คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายเป็นคนสุดท้ายของพรรคร่วมฝ่ายค้านระบุว่า เราต้องตั้งหลักและยอมรับร่วมกันว่า วาระ 2 วันนี้ไม่ใช่การแถลงนโยบายของรัฐบาลใหม่ แต่เป็นวาระของการแถลงความคืบหน้าของรัฐบาลเดิมที่ทำงานครบแล้ว 1 ปีเต็ม แม้นายกรัฐมนตรีจะเปลี่ยนคน แต่ไม่ได้เปลี่ยนพรรค รัฐมนตรีหลายคนอาจเปลี่ยนชื่อ แต่ไม่เปลี่ยนนามสกุล มีความเปลี่ยนแปลงเพียงอะไหล่เล็กน้อยที่ไม่มีความสำคัญอะไร


นายพริษฐ์ กล่าวว่าต้องย้อนดูว่ารัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี สามารถทำตามคำพูดสวยหรูเมื่อ 1 ปีที่แล้วหรือไม่ เชื่อว่าจะเป็นคำตอบให้อนาคตอีก 3 ปีของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้ และหากจะพิจารณาผลงานของรัฐบาลชุดที่แล้วอย่างจริงจัง ต้องดูจาก 5 นโยบายระยะสั้น ที่ควรสำเร็จภายใน 1 ปี

อย่างโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อจุดชนวนเศรษฐกิจให้กระตุก แต่ที่ผ่านมาไม่เห็นว่ารัฐบาลนายเศรษฐาจะจุดชนวนอะไรได้แม้แต่เรื่องเดียว มีเพียงพ่อค้าแม่ค้าที่จุดธูปอธิษฐานว่าตลาดและร้านค้าจะกลับมาคึกคัก ขณะที่แนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินก็ยังพลาดเป้า หนี้สินครัวเรือนก็ยังค้างอยู่ที่ 91% ของ GDP และหนี้เสียก็เพิ่มขึ้นมา 20-30%


สำหรับนโยบายด้านพลังงาน ทั้งค่าไฟและน้ำมันดีเซลที่เคยออกโปรโมชันลดราคาก็เด้งกลับมาแล้ว การเจรจากับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ทางพลังงานเพื่อแก้ไขสัญญาที่เป็นปัญหา ประชาชนกลับเห็นท่านไปตีกอล์ฟร่วมกันที่เขาใหญ่ ซึ่งนักวิเคราะห์ก็มองว่าเป็นการพูดคุยกันเรื่องต่ออายุรัฐบาลมากกว่า

ด้านการท่องเที่ยว แม้นายเศรษฐาจะสวมบทเป็นนักเดินทางบินไปทั่วโลก แต่ 1 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่านายเศรษฐา ขยันผิดจุด ปริมาณนักท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเทียบเท่าในสมัยก่อนโควิด-19 สะท้อนถึงผลงานที่ไม่สำเร็จของคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ที่นายกฯ คนปัจจุบันเคยเป็นประธาน

ส่วนการผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้ผ่านไป 1 ปี ประชามติรอบแรกที่ประกาศว่าจะทำตั้งแต่การประชุม ครม.รอบแรก ก็ยังไม่ได้จัดทำแต่อย่างใด ดังนั้น 5 นโยบายระยะสั้น จึงเปรียบเหมือนการขึ้นรถไฟเหาะ ซ้ายทีขวาที แต่ท้ายสุดก็กลับมาสู่จุดเริ่มต้น อาจจะเพิ่มเติมคืออาการเวียนหัวกับความเอาแน่เอานอนไม่ได้ และกลับไปกลับมาของรัฐบาล


แนวคิดของนายเศรษฐา ที่เคยระบุไว้หลังรับตำแหน่งว่าปัญหาที่ติดกฎหมายให้แก้ที่กฎหมาย แต่รัฐบาลไม่เคยเป็นฝ่ายริเริ่มแก้ไขกฎหมายแม้แต่ครั้งเดียว ขยันมากในการชะลอและขัดขวางกฎหมายที่เสนอโดยพรรคร่วมฝ่ายค้าน

โดยปัญหาหลัก 3 ด้านของนโยบายนางสาวแพทองธาร ปัญหาแรกคือ เป็นนโยบายที่รัฐบาลคิดไม่ครบมาตั้งแต่ต้น กลับกลอกไปมา หรือต้องยอมถอย ที่เห็นได้ชัดคือโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่คำว่า 10,000 บาท หายไปจากคำแถลงนโยบาย รวมถึงกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ระบุว่า การจ่ายเงินงวดที่ 2 ต้องรอความพร้อมของงบประมาณ ยิ่งสะท้อนว่ารัฐบาลไม่มีความชัดเจนเลย

อีกเรื่องคือค่าแรงขั้นต่ำ ที่สะท้อนว่านโยบายดี ๆ ใครก็พูดได้ แต่จะทำได้จริงหรือไม่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ และคำว่าค่าแรงขั้นต่ำได้หายสาบสูญไปจากคำแถลงนโยบายของรัฐบาลแพทองธาร ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยเคยระบุว่า การขึ้นค่าแรงทำได้ไม่ยาก หากเศรษฐกิจโตขึ้น 5% การลบคำสัญญาออกจึงไม่ได้มีอะไรซับซ้อนไปกว่าคำสารภาพต่อประชาชน ว่าเศรษฐกิจจะโตไม่ถึง 5% ต่อปีโดยเฉลี้ย

เมื่อวานนายกฯ ได้ให้คำแนะนำกับพวกเราว่าในเมื่อตอนนี้ไม่ใช่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง เราไม่จำเป็นต้องสร้างวาทกรรมเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด ตนเองจึงขอถามนายกฯ ว่าวันนี้รัฐบาลได้ถอยหลายนโยบายที่เคยหาเสียงไว้กับประชาชน ตกลงทั้งหมดเป็นเพราะท่านมองว่าช่วงหาเสียงเลือกตั้งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมใช่หรือไม่ ในการสร้างวาทกรรมเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดของพี่น้องประชาชน

ปัญหาที่สองคือ นโยบายที่คิดไม่ออก จึงต้องเขียนกว้าง ๆ ไว้ก่อน เช่น การกระจายอำนาจ สวัสดิการทุกช่วงวัย และปัญหาที่สามคือ คิดไม่ซื่อ แต่นำประชาชนมาบังหน้า เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเครือข่ายของตัวเอง อาทิ สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ดูแนวโน้มว่ารัฐบาลอาจตั้งกาสิโนอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวมากอยู่แล้ว แม้ไม่มีกาสิโน ผลประโยชน์น่าจะตกอยู่กับกลุ่มทุนใหญ่ และมีสมาชิกจากพรรคภูมิใจไทยที่เห็นตรงกันว่าควรกระจายสถานบันเทิงไปหลายภูมิภาค

นายพริษฐ์ กล่าวขอบคุณนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่แสดงออกว่ายอมรับแนวทางที่พรรคประชาชนเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา คู่ขนานไปกับการแก้ไขทั้งฉบับ พร้อมหวังให้การร่างรัฐธรรมนูญโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มาจากการเลือกตั้ง 100% และเปิดกว้างให้ประชาชนมีส่วนร่วม ไม่ถูกล็อกโดยคนบางกลุ่มที่กำหนดว่าอะไรแก้ได้หรือไม่ได้

นอกจากนี้จะต้องฟื้นฟูหลักนิติธรรม ให้ทุกคนเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย แต่ต้องถามนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคเพื่อไทยว่าจะทำอย่างไรกับ สส.พรรคเพื่อไทย ที่ตกเป็นจำเลยในคดีตากใบ สามารถสัญญากับสภาแห่งนี้ได้หรือไม่ว่า จะกำชับให้ สส. คนดังกล่าวไปรายงานตัวต่อศาลหรือไม่

ขณะที่องค์ประกอบของ ครม.ชุดนี้ ดูเหมือนเป็นการต่อยอดโครงการ 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ แต่เป็น 1 ครอบครัว 1 ที่นั่งรัฐมนตรี ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหาหลัก เพราะเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่านรู้ดีว่าท้ายสุดแล้วประชาชนจะประเมินท่านจากผลงานและความสามารถ ครม. ชุดนี้เสี่ยงจะเป็น ครม.ต่างคนต่างอยู่ ที่ไม่สามารถประสานงานข้ามกระทรวงได้ เพราะก่อนหน้านี้ อดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์ แนะนำคนที่วิจารณ์ท่านว่า ให้ “ต่างคนต่างอยู่” และต่อมาอดีตนายกฯ ก็ได้แสดงวิสัยทัศน์ด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม แทบทุกข้อได้มาบรรจุอยู่ในนโยบายของรัฐบาล หลายเรื่องที่อดีตนายกฯ ไม่ได้พูดถึง เช่น การศึกษา แรงงาน หรือสวัสดิการ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐมนตรีจากคนละพรรคกับลูกสาวของอดีตนายกฯ ท่านนั้น

ครม. ชุดนี้เสี่ยงจะเป็นตรายางที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างการลงพื้นที่ร่วมกันของ 5 รัฐมนตรี 3 ตำแหน่ง แต่คนที่ไม่มีตำแหน่งอะไรกลับนั่งสั่งการอยู่หัวโต๊ะ เชื่อว่าเรื่องนี้จะทำให้เกิดปัญหาด้านการบริหารราชการแผ่นดินแน่นอน การประชุม ครม.จะเป็นเพียงพิธีกรรมที่มีการตัดสินใจกันมาก่อน

นายพริษฐ์ ยังกล่าวถึงวิกฤตน้ำท่วมภาคเหนือที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนนับหมื่นแสนคน ประชาชนอย่างพวกเราจะสามารถฝากความหวังไว้กับนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ อะไรควรหรือไม่ควรทำในจังหวะชี้เป็นชี้ตายของพี่น้องประชาชน

ปัญหาสุดท้ายคือ ครม. ชุดนี้ เสี่ยงจะเป็น ครม.ตัวประกัน ที่จะเจออุปสรรคในการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้าง อำนาจรัฐที่พรรคเพื่อไทยได้มาก็ไม่สามารถผลักดันความเปลี่ยนแปลงได้แม้แต่เรื่องเดียว ภายหลังตัดขาดจากพรรคก้าวไกลเข้าสู่เครือข่ายอำนาจเก่า ทั้งการปฏิรูปกองทัพ การนิรโทษกรรมคดีการเมือง และต้องทิ้งวาระทางการเมืองที่สัญญาไว้กับประชาชนเพื่อเอาใจอำนาจเก่า แต่ท้ายสุดก็หนีไม่พ้นการถูกระบบและสถาบันทางการเมืองของสถาบันอำนาจเก่าหันกลับมาทิ่มแทง

รัฐบาลและนายกฯ กำลังยืนอยู่บนทาง 2 แพร่ง หากท่านยังเลือกวิ่งเข้าหาเครือข่ายอำนาจเดิม โดยเอาอนาคตของประชาชนทุกคนไปแลก ก็อย่าหวังว่าจะได้รับความเห็นใจจากประชาชน และแม้เครือข่ายอำนาจเก่าอาจจะยังปราณีท่านไว้ชั่วคราว เพราะหวังจะใช้พวกท่านเป็นเครื่องมือในการทำลายล้างภัยคุกคามใหม่อย่างพวกตนเอง ท้ายที่สุดแล้ว หากเขาทำสำเร็จ ตนเองเชื่อว่าเขาก็อาจจะไม่เก็บภัยคุกคามเก่าอย่างพวกท่านไว้ด้วยเช่นกัน

หากรัฐบาลเลือกหันหลังให้กับอำนาจเก่า แล้ววิ่งเข้าหาประชาชน มาร่วมมือกับพรรคประชาชนในบางวาระ เพื่อปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองให้กลับมาเป็นประชาธิปไตยปกติ ให้อำนาจจากการเลือกตั้งอยู่เหนืออำนาจจากการแต่งตั้ง เชื่อว่าแม้จะเห็นต่างกัน จะสามารถฝ่าฟันกับดักและนิติสงครามของอำนาจเก่าไปได้อย่างแน่นอน

นายพริษฐ์ ฝากไปถึงนายกรัฐมนตรีว่าเวลาของท่านในการตัดสินใจมีอยู่ไม่มาก ความอดทนของพี่น้องประชาชนมีขีดจำกัด เชื่อว่าอีก 3 ปีหลังจากนี้ ท่านจะต้องเผชิญกับหลายสถานการณ์ที่ท่านต้องตัดสินใจแทนพวกเราทุกคน ว่าท่านจะทำให้อนาคตข้างหน้า เป็นอนาคตที่อำนาจลงตัว แต่ประชาชนลงเหว หรือเป็นอนาคตที่อำนาจเปลี่ยนผ่าน และประเทศชาติเปลี่ยนแปลง ตนเองเพียงแต่หวังว่าท่านจะตัดสินใจทุกครั้ง โดยไม่ยอมให้ประโยชน์ส่วนตัวของใคร มาอยู่เหนือประโยชน์ส่วนรวมของของประเทศชาติและประชาชนทุกคน.-317.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

พิธีบวงสรวงอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.7 ประดิษฐานหน้าอาคารรัฐสภา

รัฐสภา 20 ก.ย.- รัฐสภา จัดพิธีบวงสรวงอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (องค์ใหม่) ประดิษฐานหน้าอาคาร ขนาดใหญ่กว่าพระองค์จริง 4 เท่า เมื่อเวลา 08.00 น. รัฐสภา จัดพิธีบวงสรวงอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (องค์ใหม่) เพื่อประดิษฐานบนแท่นฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ณ บริเวณด้านหน้าอาคารรัฐสภา (ถนนสามเสน) โดยมีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่1 เป็นประธานในพิธี นอกจากนี้ยังมี พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. นายชวนหลีก หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปปัตย์ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่านพรรคเพื่อไทย น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ สส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และประธานกรรมการ บมจ.อสมท รวมถึงข้าราชการรัฐสภา ร่วมพิธีด้วย โดยนายไชยาและพล.อ.สวัสดิ์ ถวายพวงมาลัยและโปรยดอกไม้ที่พระบาทของพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ จากนั้นปักธูปที่เครื่องบวงสรางพร้อมโปรยดอกไม้ จากนั้นนายฉัตรชัย ปิ่นเงิน หัวหน้าโหรพราหมณ์ สำนักพระราชวัง อ่านโองการจากนั้นเชิญประธานในพิธีโปรยดอกไม้ที่โต๊ะเครื่องบวงสรวง วางพานประดับพุ่มดอกไม้ และจุด ธูป เทียน […]

อุตุฯ เตือน 9 จังหวัดรับมือฝนถล่ม ระวังน้ำท่วม-น้ำป่าไหลหลาก

กทม. 20 ก.ย.- กรมอุตุฯ เตือน 9 จังหวัดรับมือฝนตกหนัก เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่งโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย ชัยภูมิ นครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันประเทศไทยและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุโซนร้อน “มิแทก” บริเวณทะเลมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว คาดว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำและสลายตัวอย่างรวดเร็ว ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางไว้ด้วย -สำนักข่าวไทย

สึกแล้ว “ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง” ปมร้องเรียนทุจริตเงินวัด-พัวพัน 3 สีกา

19 ก.ย. – สึกแล้ว “ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง” และเดินทางออกจากวัดทันที หลังก่อนหน้านี้มีการร้องเรียนเกี่ยวกับทุจริตเงินวัด และพัวพัน 3 สีกา เป็นภาพเอกสารที่พระธรรมสุธี เจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง ส่งไปยังเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เพื่อชี้แจงกรณีของผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง พร้อมแนบภาพถ่ายการลาสิกขาของผู้ช่วยเจ้าอาวาส เอกสารระบุข้อความว่า “ตามที่มีประเด็นปรากฏในสื่อออนไลน์ และสื่อต่างๆ เกี่ยวข้องกับผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง ทางวัดหัวลำโพง ขอชี้แจงตามประเด็นดังต่อไปนี้ 1.กรณีพฤติกรรมชู้สาวของพระครูปริยัติวัฒนกิจ ทางวัดยังไม่พบหรือปรากฏหลักฐาน เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนบุคคล2.กรณียักยอกงินวัดนั้น ทางวัดขอชี้แจงว่า ยังไม่พบหรือปรากฏหลักฐาน เนื่องจากหน้าที่ของพระครูปริยัติวัฒนกิจ เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ฌาปนสถานวัดหัวลำโพง มีหน้าที่ประสานงานกับเจ้าภาพที่มาติดต่อเกี่ยวกับการจองศาลาบำเพ็ญกุศล อีกทั้งฌาปนสถานวัดหัวลำโพง ประกอบด้วยกรรมการบริหารจำนวน 5 รูป โดยมีเจ้าอาวาสเป็นประธาน และมีการทำบัญชีรายรับรายจ่ายในส่วนฌาปนสถานของวัดมาโดยตลอด 3.กรณีลาสิกขา ทางพระครูปริยัติวัฒนกิจ แจ้งความประสงค์ลาสิกขาด้วยความสมัครใจ เพื่อมิให้กระทบกระเทือนต่อภาพลักษณ์ของวัด และศรัทธาของสาธุชน โดยลาสิกขา 18 ก.ย. 2568 เวลา 19.10 น. และเดินทางออกจากวัดทันที ย้อนดูคำชี้แจง “อดีตพระครูปริยัติวัฒนกิจ”ย้อนดูคำชี้แจงจากปากของอดีตพระครูปริยัติวัฒนกิจ ก่อนหน้านี้ที่ทีมข่าวได้พูดคุยผ่านทางโทรศัพท์ สำหรับเรื่องทุจริตเงินวัด อดีตพระครูปริยัติวัฒนกิจ บอกว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ปกติหน้าที่เกี่ยวข้องกับเงินของตนเอง […]

เบื้องหลังละครกัมพูชา

สระแก้ว 19 ก.ย. – ชาวกัมพูชาที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ยังไม่รามือ หลังพบความพยายามรวบรวมฝูงชนจากพื้นที่อื่น เข้ามาสร้างสถานการณ์ยึดดินแดนไทย อาจมีเบื้องหลังเป็นข้าราชการกัมพูชา-นายทุนต่างชาติ.-สำนักข่าวไทย