“ศิริกัญญา” ลั่นอยากเห็นนายกฯ เป็นดาวฤกษ์ ไม่ใช่ดวงจันทร์พึ่งแสงอาทิตย์

รัฐสภา 12 ก.ย.-“ศิริกัญญา” ตรวจคำแถลงนโยบาย “แพทองธาร” ลั่นอยากเห็นนายกฯ เป็นดาวฤกษ์ ไม่ใช่ดวงจันทร์พึ่งแสงอาทิตย์ เตือนรัฐบาลดื้อตาใส หยุดอ้างฝ่ายค้านทำดิจิทัลวอลเล็ตเละ ขออย่าเคลมเป็นผลงาน เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวตามอัตภาพ

การประชุมร่วมรัฐสภา ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายโดยขอตรวจคำแถลงนโยบายของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า นี่จะเป็นครั้งที่ 3 ที่ตนเองจะขอเสนอแนวคิดเพื่อทำให้คำแถลงนโยบายนี้เป็นเหมือน GPS ที่จะคอยบอกเราว่า รัฐบาลจะพารัฐนาวาแห่งนี้แล่นไปทางไหน เป้าหมายอยู่ที่ใด ด้วยวิธีการใด เดินทางในเส้นทางไหน เหมือนหรือต่างกับที่เคยสัญญากับผู้ร่วมเดินทาง


รัฐบาลแพทองธารมีเรื่องยุ่งยากซับซ้อน เพราะผิดสัญญาไปแล้วหนึ่งรอบ จึงเห็นว่าโอกาสนี้นายกฯ ควรใช้การแถลงนโยบายเป็นกลไกช่วยกู้ความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชนต่อรัฐบาลใหม่ ควรต้องเป็นสัญญาที่หนักแน่นว่า 3 ปีข้างหน้าจะทำอะไร เพราะคำสัญญาที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น จึงจะแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชนได้

เมื่อตรวจคำแถลงนโยบายแล้ว ไม่ค่อยต่างอะไรกับรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ยังคงเป็น GPS ที่พาเราหลงทาง ใช้คำกว้าง ๆ พูดลอย ๆ พูดอีกก็ถูกอีก ใช้คำว่า “เร่งรัด” แต่ไม่ได้บอกว่าจะเสร็จเมื่อใด ส่วนการกำหนดเป้าหมายที่ระบุไว้ในส่วนท้ายว่า “การสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียม คนไทยมีกินมีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เพื่อนำพาความภาคภูมิใจกลับมาสู่คนไทยและประเทศไทย” ต้องบอกว่าเป้าหมายนี้ไม่มีความชัดเจน เพราะถ้าชัดเจน คงไม่ต้องมีผู้อภิปรายมาช่วยขยายความว่าตกลงมีกินมีใช้คืออะไร


ส่วนตัวชอบคำว่า “เพื่อสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียม” แสดงว่าแม้คำแถลงนโยบายจะไม่ได้บรรจุคำว่าเหลื่อมล้ำสักแต่ถ้านายกฯ บรรจุคำนี้ไว้เพื่อสร้างโอกาสที่เท่าเทียม คงจะมองเห็นประเด็นของความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส ซึ่งเป็นผลต่อความเหลื่อมล้ำด้านอื่นๆ ทั้งทางด้านรายได้ ทรัพย์สิน การเข้าถึงโอกาสการศึกษา การทำงาน ความก้าวหน้าในอาชีพโดยไม่ต้องพึ่งพาเส้นสาย เพื่อการสร้างโอกาสที่เท่าเทียม

ที่เหลือก็ยังไม่ได้ช่วยให้ประชาชนเห็นเป้าหมายเพิ่มเติมเลย หากเทียบกับนายกฯ ท่านอื่น ๆ ตนเองขอมอบมงให้กับคำแถลงของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21 ซึ่งต้องปัดตกไป เพราะนั่นเป็นประเทศไทยที่พัฒนาแล้วในอีก 80 ปี

นางสาวศิริกัญญา ยังเจาะจงลงไปในคำแถลงนโยบายของนางสาวยิ่งลักษณ์ ที่มีรายละเอียดชัดเจน มีเป้าหมาย มีกรอบเวลาชัดเจนและตรงกับนโยบายที่สัญญาไว้ก่อนเลือกตั้ง ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าจะไล่คนเขียนนโยบายคำแถลงนั้นออกทำไม เพราะนี่เป็นตัวอย่างว่าหากจะเขียนให้ชัด ก็เขียนได้ และเคยทำมาแล้ว แต่ไม่ยอมเขียน


ตนเองตกใจมากที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตในการแถลงนโยบายรอบนี้ คำว่า 10,000 บาทหายไป อย่าทำให้ใจเสีย รีบตอบมาว่าตกลงได้ 10,000 บาทอยู่หรือไม่ เพราะประชาชนทวงถาม รวมถึงการเพิ่มเติมโครงการรถไฟฟ้า 20 บาท ที่แปลงร่างเป็นค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสาย 20 บาท เหตุใดไม่ใส่เหมือนกับที่เคยหาเสียงไว้แล้ว แต่กลับเหมือนวิสัยทัศน์ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีความตรงกันทั้งหมด 11 จาก 14 ประเด็น ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะหลายนโยบายเหมือนกันเป๊ะ

ความเหมือนไม่ใช่ปัญหาเรื่องครอบงำ แต่เป็นเรื่องความรับผิดชอบ ที่ตกลงไม่รู้ว่าใครเป็นคนวางนโยบายตัวจริง ต้องถามใคร หรือเชื่อใครกันแน่ หากสุดท้ายยังเป็นแบบนี้ ต่อไปการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะเป็นเพียงพิธีกรรม เรื่องใหญ่ ๆ อาจไม่ถูกตัดสินจากที่ประชุม แต่ถูกตัดสินมาแล้วจากที่อื่น เช่น ห้องอาหารในโรงแรมต่าง ๆ หรือในเซฟเฮาส์

เราอยากจะเห็นนายกฯ ที่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือ ความมั่นใจให้กับประชาชนได้ ว่าท่านจะเป็นคนที่ดำเนินนโยบายที่แถลงได้เอง เพราะการอ่านก็อ่านไปตามกฎหมาย แต่วันนี้ขอให้ท่านได้มาตอบด้วยตนเองในรายละเอียดต่างว่าจะทำอย่างไร

“เราอยากเห็นนายกฯ ที่มีแสงสว่างในตัวเองเป็นดาวฤกษ์ ไม่ใช่ดาวเคราะห์ ไม่ใช่ดวงจันทร์ที่สองสว่างโดยใช้แสงจากพระอาทิตย์ และวันที่พระอาทิตย์สว่างจ้าเสียเหลือเกิน เราจะไม่เห็นดวงจันทร์เลย” นางสาวศิริกัญญา กล่าว

นางสาวศิริกัญญา ยังยกตัวอย่างผลงานที่พรรคเพื่อไทยสรุปมาในระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี โดยตั้งคำถามว่า สิ่งเหล่านี้นับเป็นผลงานหรือไม่ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปก็จะยิ่งเริ่มจางลงไปเหมือนไม่มีอะไรจะใส่ จึงต้องไปหยิบกฎหมายมาใส่ ใน 1 ปีมาตรการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไปให้ถึงรากหญ้า กำลังซื้อตกแล้วตกอีก กลับไม่มีนโยบายอะไรออกมา ค่าครองชีพ ราคาน้ำมัน ข้าวของที่แพงขึ้นก็ไม่มี หลังจากที่ทำครบ 3 เดือน งบกลางก็ไม่ค่อยเอาออกมาใช้ เพราะกั๊กไว้ใช้กับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต

ขณะที่นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายหลายรอบ และคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอีก จนถึงตอนนี้เป็นรอบที่ 7 แล้ว เพราะงบกลางของ ปี 67 มีเท่าไรก็เอามาแจกก่อน จ่ายเป็นเงินสด ส่วนที่เหลือก็พยายามจะเบ่งงบปี 68 หาทางกู้เงินเพิ่ม ตัดลดงบชำระหนี้ ก็ยังได้เงินไม่พอที่จะจ่ายให้ครบ 45 ล้านคนอยู่ดี จึงมีการแถลงของนายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออกมา

วันนี้อยากฟังให้ชัด ๆ ว่าตกลงแล้วโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะไปสุดที่ตรงไหน เพราะอีก 3 วัน คือวันที่ 15 ก.ย.นี้ จะหมดเขตลงทะเบียน และหากประชาชนคนใดยังไม่ได้ลงทะเบียนก็ช่วยมาลงทะเบียน จะได้รู้แน่ว่า สรุปแล้วกลุ่มเป้าหมายมีกี่คน และจะหาเงินมาจากไหน จะยังแจกคนละ 10,000 บาทอยู่หรือไม่ และจะแจกเป็นเงินสดหรือดิจิทัลวอลเล็ต

นางสาวศิริกัญญา ยังกล่าวถึงกรณีที่มีการชี้นิ้วมาที่ฝ่ายค้านว่า เป็นเพราะฝ่ายค้านที่ทำให้ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทำให้ล่าช้าเละเทะแบบนี้ อย่าอ้างว่าฟังคนเห็นต่างจึงเปลี่ยนตามมาเรื่อย ๆ เพราะสิ่งที่เราพูดไม่ใช่ความเห็นที่โต้เถียงกันได้ แต่เป็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ทุกครั้งเถียงกันแทบเป็นแทบตาย ดื้อตาใสบอกไม่ผิดทำได้ พอหลังชนฝาประเทศกู้ไม่ได้ ก็หายจากวิกฤตไปเป็นปลิดทิ้ง

สุดท้าย พอเปลี่ยนนายกฯ ไม่มีใครกล้าเสี่ยงทำผิดกฎหมายอีกแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่แค่รัฐบาล ไม่ใช่แค่คณะรัฐมนตรีที่เสียเครดิต แต่ข้าราชการผู้หลักผู้ใหญ่ผู้บริหารในกระทรวงใหญ่ ๆ เสียผู้เสียคนกันหมด เพราะต้องออกมาแก้ต่างแทนรัฐบาล กลายเป็น 1 ปีที่สูญเปล่า สุดท้ายเงินยังไม่ได้ เสียเวลาเสียสมาธิ เสียโอกาสที่จะใช้งบกลางไปกระตุ้นในด้านอื่น ๆ พอไม่ออกมาตรการอื่น ๆ ระหว่างทางแทนที่ประชาชนจะได้รับการช่วยเหลือก็ไม่ได้

พายุหมุนทางเศรษฐกิจที่จะกระแทก ตอนนี้อ่อนกำลังลงไปเรื่อย ๆ อ่อนกำลังลงไปพร้อมกับเครดิตและความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล หากจะกู้กลับคืนมาก็คงไม่ง่าย ไหนๆ พายุหมุนจะอ่อนกำลังลงกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ ก็ขอฟังชัดๆ จากรัฐบาลว่า สรุปแล้วผลต่อเศรษฐกิจสำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะเป็นเท่าไร จะได้คาดการณ์ไปในอนาคตได้ว่าจะสามารถกระตุ้น GDP ได้เท่าไร

นางสาวศิริกัญญา ดักคอไว้ว่าครึ่งปีหลังของปี 67 เศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีตามอัตภาพ เนื่องจากฐาน GDP ปีที่แล้วต่ำ จะบอกไว้เลยว่า ถึงจะไม่มีดิจิทัลวอลเล็ต ไตรมาสสี่ก็โตเกือบ 4% แล้ว ดังนั้น ห้ามเคลมว่าที่โตขึ้นเป็นเพราะฝีมือรัฐบาล ขณะที่การปฏิรูปราชการ ต้องลดขนาด เพิ่มประสิทธิภาพ ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่มีการพูดถึงการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่แท้จริงของความอุ้ยอ้าย ความซ้ำซ้อน และความไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการ

แต่ถ้าดูจากการวิเคราะห์นโยบายที่ออกมา เรื่องการปฏิรูประบบราชการ ตนไม่เห็นว่าจะเป็นทางออกทางรอดของการปฏิรูปผ่านถ้อยคำแถลงครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ที่ลุกขึ้นมาตอบคำถามเหล่านี้ด้วยตัวเอง.-317.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]