รัฐสภา 10 ก.ย. – วุฒิสภาเดือด! “นพ.เปรมศักดิ์” ปะทะ “พล.อ.สวัสดิ์” ซัดเป็นขอทาน หลังขอโควตาให้ สว.บ้านใหญ่ แต่ผิดสัจจะ ไม่ยอมให้ตั้ง กมธ.ศึกษาปัญหาน้ำท่วม สว.กลุ่มอาชีพชาวสวนฯ สุดทน ร้องไห้กลางสภา หลังถูกขวางตั้ง กมธ. บอกไม่เคยหมดตัวคงไม่เข้าใจ ลั่นเป็นสภาอันทรงเกียรติ ไม่ใช่โรงเรียนประชาบาลที่บ้านนอกต้องเชื่อครูใหญ่ทุกอย่าง
ที่ประชุมวุฒิสภา ได้พิจารณาญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากวิกฤติอุทกภัยอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ ซึ่งเสนอโดยนายเศรณี อนิลบล สว. และ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ
ทั้งนี้ นพ.เปรมศักดิ์ นำเสนอญัตติโดยตอนหนึ่งระบุว่า เมื่อวานนี้ มีชาย 3 คนบอกตนว่า ทำไมไม่แก้ไข ทำไมต้องศึกษา หากศึกษาไม่ต้องตั้งกมธ. ตนไม่บอกว่าเป็นใคร แต่ส่วนสูง สูงกว่าตน ทั้งนี้ไม่ได้กลัว แต่อย่ามารุม ขอให้มาทีละคน ที่ถามตน ตนรู้สึกงง ทั้งที่ญัตตินี้ได้รับการบรรจุวาระโดยประธานวุฒิสภาแล้ว
“วันเสาร์-อาทิตย์ ก่อนมีการประชุม มี พล.อ.คนหนึ่งโทรศัพท์หาตน ซึ่งไม่ใช่ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง บอกให้ผมล้มเลิก ผมบอกล้มเลิกอย่างไร เพราะพุธที่แล้วมีการคุยกันเมื่อสัปดาห์แล้วบอกว่ามีการ ขอกรรมาธิการ 30 คน ขอสว. 20 คน เป็นคนนอก 10 คนและส่วนของสว.ขอเป็นกลุ่มใหญ่ 15 คนและกลุ่มเล็ก 5 คน แบบนี้ต้องมาขอเหมือนเป็นขอทาน จนบรรลุข้อตกลงว่า สว. 20 คนมาจากบ้านใหญ่ 15 คน และสว.เสียงส่วนน้อย 5 คน ใครว่าไม่ใช่ในการประชุมห้อง 428 ขอให้ค้าน หากผมพูดความเท็จให้ฟ้าผ่าร่างเป็น 2 ซีก ผมยินดีตายกลางสภา ผมขอให้พิสูจน์กันหน่อยว่าทำไมกลับไปกลับมา แม้ผมไม่ใช่นายพลแต่รักษาสัจจะ และ พล.อ.คนนี้ยังบอกว่าหากอภิปรายขอให้จบไม่ต้องตั้งกรรมาธิการ ผมงง” นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว
พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. อภิปรายว่าตนเป็นคนที่โทรหา นพ.เปรมศักดิ์ เอง และได้อธิบายว่า เมื่อตั้งคณะกรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภาแล้ว ต่อไปอยู่ในอำนาจหน้าที่ จะขัดแย้งกันหรือเป็นภาระหรือไม่ ทั้งนี้วันที่ 12 – 13 ก.ย. รัฐบาลจะแถลงนโยบายให้คุยในสภา ให้ข้อยุติ ได้สาระแล้วนำเสนอในการแถลงนโยบายรัฐบาล เพราะหลายคนเห็นว่าได้ผลไวกว่าจะศึกษาในกรอบเวลา 30 – 120 วัน เพราะศึกษามานานแต่แก้ปัญหาไม่ได้
“เพื่อไม่ให้เคลือบแคลงสงสัย พล.อ.คือผมเอง ที่โทรหาหมอเปรมเป็นการปรึกษา ว่ามีหลายคน และควรฟังความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ ขอให้หมอเปรมถอยได้หรือไม่ ผิดถูกหรือไม่ แต่เป็นความจริง” พล.อ.สวัสดิ์ ชี้แจง
จากนั้นประธานได้เปิดให้สมาชิกอภิปรายอย่างกว้างขวาง โดยนายเศรณี อนิบล สว.จากกลุ่มอาชีพทำสวน ป่าไม้ ปศุสัตว์ ประมง ได้ลุกอภิปรายด้วยเสียงสั่นเครือ ว่า อุทกภัยถือเป็นปัญหาเร่งด่วน ใครที่บ้านไม่เคยถูกน้ำท่วมไม่เคยสิ้นเนื้อประดาตัวเพราะน้ำท่วมพื้นที่ทำกินจะไม่รู้สึก จากนั้นนายเศรณี ได้ร้องไห้ จนไม่สามารถพูดต่อได้ ทำให้มีสมาชิกนำกระดาษทิชชูมาให้ ก่อนที่นายเศรณี กล่าวต่อว่ามันเป็นความเจ็บปวดของประชาชนคนไทย ที่ทุกข์ยากมามากกว่า 10 ปีเวลาน้ำท่วมบ้านไม่สามารถไปไหนได้ ในสภาวะปกติอาหารการกินก็ลำบากยากเข็น ถนนหนทางเสียหายรัฐบาลไม่ว่าจะยุคไหนก็ต้องทุ่มเทงบประมาณมาซ่อมมาสร้างเสียเงินไปมากมาย เกษตรกรไม่สามารถจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ต้องปลูกใหม่
“แล้วท่านคิดว่าไม่สำคัญหรอครับ ฉะนั้นญัตตินี้ในฐานะตนที่มาจากกลุ่มที่6 คลุกคลีกับเกษตรกรมาตลอดเห็นความทุกข์ยากความลำบากของประชาชนที่ถูกน้ำท่วมของพี่น้องเกษตรกรที่มีผลผลิตเสียหาย แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะทุกรัฐบาลได้แต่เยียวยาได้แต่ชดเชยแต่เกษตรกรเขาต้องการไหมครับ เขาไม่ต้องการสิ่งที่เราอยากเห็นคือ การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่เร่งด่วนและเป็นระบบไม่ว่าจะรัฐบาลไหนก็ต้องแก้รัฐบาลเรื่องนี้ให้ได้” นายเศรณี กล่าว
นายเศรณี ยังกล่าวอีกว่า ในคำแถลงนโยบายของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บอกว่าจะยกระดับการบริหารจัดการน้ำและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำทั้งระบบ เพื่อจะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง ซึ่งทุกรัฐบาลเขียนแบบนี้แต่ทำไม่ได้เพราะไม่ได้ทำ การศึกษาระบบจัดการน้ำมามากกว่า 10 ปีแต่ศึกษาแล้วเก็บในลิ้นชัก ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือสำนักงบประมาณล้วนแล้วไม่ได้ให้ความสำคัญอย่างจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาตลอดเวลาที่ผ่านมา “เก่งกันนักหนาเก่งกันทุกคน” บอกจะทำอย่างนั้น จะทำแต่ไม่เคยทำ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเป็นวาระแห่งชาติเพราะเขียนนโยบายไว้ ฉะนั้นในวันแถลงนโยบายตนก็จะพูดเรื่องนี้อีกเพราะลงชื่อไว้แล้วในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ตนยังไม่เคยเห็นรัฐบาลไหนที่จะมีความกล้าหาญมีความจริงจังและมีความจริงใจที่จะเอาเรื่องนี้มาแก้ไข ตนรับราชการมาทั้งชีวิต อยากจะบอกผู้บังคับบัญชาว่าสิ่งที่ท่านทำในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งที่ผ่านมา มันเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกาถูกที่คัน ทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำแต่สิ่งที่ควรทำกับไม่ทำ ดังนั้นหากวันนี้สามารถตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ ก็อยากใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของตัวเองและเพื่อนสมาชิกที่เห็นด้วยเพื่อหาทางดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ และน่าจะเห็นผลในทางปฏิบัติบ้าง อย่างน้อยมีคนกล้าพูดกล้าอภิปรายในทุกเวทีเพื่อทวงถามไปยังรัฐบาลว่าสิ่งที่ได้แถลงนโยบายไว้นั้นทำแล้วหรือยัง หากในอีกหนึ่งปีข้างหน้าเกิดน้ำท่วมรัฐบาลจะทำอย่างไร
ส่วนที่ พล.อ.สวัสดิ์ กล่าวว่ากำลังจะมีการตั้งคณะกรรมาธิการ ซึ่งจะดูแลเรื่องนี้อยู่แล้วนั้น นายเศรณี กล่าวว่าส่วนตัวได้ไปตรวจสอบเห็นว่าไม่มีคณะกรรมาธิการชุดใดที่จะเข้ามาดูแลเรื่องน้ำท่วมน้ำแล้งเลย แล้วจะเอาเรื่องนี้ไปไว้ที่ไหน หากนำเรื่องนี้ไปไว้ในชั้นอนุกรรมาธิการ บ้านตนมองว่าคำว่าอนุฯ แปลว่าน้อยในขณะที่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แล้วจะได้เรื่องหรือไม่ เมื่อเป็นเรื่องใหญ่ก็ควรอยู่ในชั้นกรรมาธิการ สามัญหรือวิสามัญ ซึ่งตนได้แปลญัตติในเรื่องนี้แล้ว แต่ที่ประชุมบอกว่าข้อบังคับไม่สามารถทำได้เพราะจะเกิน 21 คณะ
“ผมมองว่าสภาแห่งนี้เป็นสภาที่ทรงเกียรติ เป็นสภาที่ศักดิ์สิทธิ์ เหมือนที่นายกฯ ได้บอกเราไม่ใช่โรงเรียนประชาบาลบ้านนอก ที่จะต้องเชื่อฟังครูใหญ่ทุกอย่าง เราต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง จึงขอกราบเรียนประธานที่เคารพและเพื่อนสมาชิกทุกคนที่เห็นด้วยกับการตั้งคณะกรรมาธิการชุดนี้ ว่า เราควรจะมาร่วมมือกัน ไม่ว่าคุณจะอยู่โรงเรียนไหน มีครูใหญ่กี่คนก็ต้องช่วยกันว่าจะแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองในสมัยของเราอย่างไร เราเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยเราเป็นสิ่งหนึ่ง ที่เข้าใจถึงความทุกข์ของประชาชนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เพื่อนสมาชิกที่มีความคิดมีสติปัญญาจะเห็นด้วยกับตน” นายเศรณี กล่าว .319.- สำนักข่าวไทย