“เดชอิศม์” ยันไม่มีคดีอาญา

รัฐสภา 4 ก.ย.-“เดชอิศม์” เปิดคลิปสื่อฯ แจงปมเกี่ยวข้อง “โทนี่ เตียว” ผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน ยันไม่มีคดีอาญา บอกจริยธรรมนักการเมืองสำคัญ แต่จริยธรรมสื่อสำคัญมาก เชื่อมีขบวนการอยู่เบื้องหลัง เตรียมดำเนินการตามกฎหมายเพื่อรักษาสิทธิ์

นายเดชอิศม์ ขาวทอง ว่าที่ รมช.สาธารณสุข ในฐานะเลขาฯ พรรคประชาธิปัตย์ ชี้แจงกรณีที่มีสื่อมวลชนบางสำนัก กล่าวถึงจริยธรรมตน ว่าเป็นเรื่องที่ตนจำเป็นจะต้องออกมาพูด เนื่องจากเป็นเรื่องที่กระทบสิทธิ์เป็นอย่างมาก


โดยนายเดชอิศม์ ได้เปิดคลิปวิดีโอที่สื่อมวลชนสำนักหนึ่ง ได้สรุปถึงข้อเคลือบแคลงใจจากสังคม โดยเฉพาะประชาชนจังหวัดสงขลาและภาคใต้ ในกรณีที่เคยถ่ายภาพร่วมกับนายโทนี่ เตียว ผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน ซึ่งนายเดชอิศม์ กล่าวว่า นายโทนี่ เตียว เป็นนักธุรกิจใหญ่ที่มาจากประเทศมาเลเซีย และมาลงทุนทำธุรกิจที่จังหวัดสงขลากว่าพันล้านบาท ซึ่งในขณะนั้นทั้งแม่ทัพภาค 4, ผู้ว่าราชการจังหวัด, นายอำเภอ และทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ไปอำนวยความสะดวก ตนในฐานะที่เป็นคนสงขลา เมื่อมีนักธุรกิจมาลงทุนไม่ว่าจะมาจากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ จึงมีหน้าที่อำนวยความสะดวก แต่จะต้องมีเงื่อนไข คือเมื่อเข้ามาทำธุรกิจแล้วต้องถูกต้องตามกฎหมาย และ ต้องไม่ทำผิดกฎหมายของประเทศไทย โดยส่วนตัวได้รู้จักกับนายโทนี่ เตียว เมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา ต่อมานายโทนี่ เตียว ได้บวชตน ในฐานะคนรู้จักกันจึงไปช่วยอำนวยความสะดวก และต่อมาจึงทราบว่านายโทนี่ เตียว ได้ทำผิดกฎหมายและถูกจับกลุ่มแล้วที่ประเทศจีน ซึ่งหากนายโทนี่ เตียว ได้ทำผิดกฎหมายที่ประเทศไทยจะต้องถูกจับกุมและรับโทษที่ประเทศไทยก่อน ไม่สามารถส่งนักโทษไปที่ประเทศจีน ดังนั้นจึงชี้ให้เห็นว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย

นายเดชอิศม์ ยังกล่าวถึง กรณีที่ตนถูกกล่าวหาเรื่องค้าน้ำมันเถื่อน และรอชี้มูลที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2555 ขณะนั้นตนยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดเลย ดังนั้นจึงสงสัยว่าเรื่องของตนไปปรากฏที่ ป.ป.ช. ได้อย่างไร เนื่องจากผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวถูกสั่งฟ้องไปหมดแล้ว แต่ชื่อตนอาจปรากฏในกรุ๊ปไลน์ของกลุ่มผู้ต้องหา จึงส่งรายชื่อทั้งหมดไปตรวจสอบเท่านั้น เน้นเรื่องนี้ตนได้ทำหนังสือชี้แจงไปยัง ป.ป.ช.แล้ว


สำหรับเรื่องมาตรฐานจริยธรรมนั้น นายเดชอิศม์ กล่าวย้ำว่าตนไม่เคยต้องคดีอาญาใดๆ เลยทั้งชีวิต ซึ่งหากมีคดีในลักษณะนี้จะต้องมีหมายเรียก หรือมีหมายจับ ต้องเข้ารายงานตัว และพิมพ์ลายนิ้วมือ เรื่องนี้ตนไม่มี ชีวิตนี้ตนมีเพียงคดีเดียว คือคดีเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลา ที่นายนวพล บุญญามณี ฟ้องตน และสุดท้ายศาลยกฟ้อง

“จริยธรรมของนักการเมืองสำคัญ แต่จริยธรรมของสื่อได้ทำของสื่อก็เป็นเรื่องสำคัญมากผมมีครอบครัว มีลูก มีภรรยามีเพื่อนฝูง ผมมาจากการเลือกตั้ง พี่น้องประชาชนชาวสงขลาเลือกผม เป็นอันดับหนึ่งของจังหวัดสงขลาทั้งสองสมัย เพราะฉะนั้นถ้าผมเกี่ยวพันในลักษณะนี้พี่น้องที่เลือกตั้งผมก็เสียหายไปด้วย ครอบครัวผมนี้เสียหายยับเยินอยู่แล้ว” นายเดชอิศม์

นายเดชอิศม์ ยังกล่าวว่าผู้ที่ค้ายาเสพติดคือคนที่ชั่วช้าสามาญ แต่คนที่ไม่ค้ายาถูกคนใดคนหนึ่งหรือสื่อสำนักใดสำนักหนึ่ง ทำให้เข้าใจว่าค้ายา คนพวกนี้เลวร้ายกว่าคนค้ายา เพราะเป็นการทำร้ายสังคม ตนรู้ว่าพี่น้องสื่อมวลชน 99% เป็นคนดีแต่ก็มีอีก 1% ไม่ทราบว่าจะหวังผลประโยชน์ทางการเมืองหรือประโยชน์ใดๆโดยการทำร้ายคนอื่น โดยเชื่อว่า เรื่องนี้มีกระบวนการอยู่เบื้องหลัง เพราะจ้องมาที่ตนและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพิเศษ ซึ่งข้อใดที่เข้าข่ายกฎหมายก็ต้องรักษาสิทธิ์ เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่าง


“ยืนยันตรงนี้เลยว่า ถ้ามีคดีต้องไปพิมพ์ลายนิ้วมือ พนักงานสอบสวนต้องเรียก ออกหมายเรียก หรือหมายจับ ไม่เคยสักครั้งเดียวเลยทั้งชีวิต ตรวจสอบมาหาผมได้ ไปค้นประวัติได้ ว่าผมพิมพ์ลายนิ้วมือที่ไหน โรงพักไหน ดีเอสไอที่ไหนก็ได้ ไม่เคยมี”นายเดชอิศม์ กล่าว

ส่วนคณะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เคยเรียกไปให้ข้อมูลหรือเป็นพยานอะไรหรือไม่ นายเดชอิศม์ ยืนยันว่า ไม่เคย ทั้ง ป.ป.ช ดีเอสไอ สถานีตำรวจไม่เคยไป ซึ่งเคยโดนฟ้องคดีเดียว ตอนเป็นนายกฯ อบจ. ไปขึ้นศาลและศาลยกฟ้อง ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ การเขียนประวัติการศึกษาในโปสเตอร์หาเสียง ที่เขียนระบุไปทำให้คนเข้าใจผิดว่าตนจบปริญญาสองใบ ซึ่งสุดท้ายศาลได้ยกฟ้อง

ทั้งนี้มองว่ามีกระบวนการอยู่เบื้องหลัง ทำให้สังคมเข้าใจได้ว่าตนอยู่ในขบวนการสีเทา ที่จ้องมาที่ตนเองและนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพิเศษ ซึ่งจากนี้ไปจะต้องดูว่าข้อไหนเข้าข่ายผิดกฎหมาย ก็ต้องรักษาสิทธิ์และฟ้องดำเนินคดีบ้าง เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่าง

“ผมก็สงสารนักข่าวบางคนเพราะบางทีเค้าไม่ใช่คนชั่ว แต่เค้าชั่วโดยถูกเจ้านายสั่งแต่บางคนก็ชั่วโดยสันดานก็มี แต่ถ้าเค้าไม่มีเจตนาชั่วจริงๆ ผมก็ไม่อยากฟ้องอะไร”

เมื่อถามถึงกรณีหลังส่งรายชื่อรัฐมนตรีให้ตรวจสอบ สำนักงานกฤษฎีกาตอบกลับหรือไม่ อย่างไร นายเดชอิศม์ กล่าวว่า ไม่ได้ตอบกลับ ตรวจสอบแล้วไม่มีอะไรเลย แต่สังคมมองตนไม่ดีเลย

นอกจากนี้ นายเดชอิศม์ ยืนยันว่าพรรคส่งชื่อบุคคลที่เหมาะสมเป็นรัฐมนตรีไปเพียง 2 คน ไม่มีส่งชื่อสำรองไปด้วย และนายเฉลิมชัย ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ 100% มีเพียงสำนักข่าวเดียวที่ถล่มตนและนายเฉลิมชัย.-315.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

“ภูมิธรรม” อุบตอบรายละเอียดถก GBC บอกทิศทางดี

ทำเนียบรัฐบาล 6 ส.ค.- “ภูมิธรรม” อุบตอบรายละเอียดถก GBC ไทย-กัมพูชา ขอพูดทีเดียวหลังเจรจา บอกทิศทางดี ด้าน “บิ๊กเล็ก” หวังพรุ่งนี้มีข่าวดี มั่นใจ 90% ยอมรับกังวลบ้าง แต่มีผู้สังเกตการณ์ประเทศอื่น เขมรคงไม่กล้า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และคณะรัฐมนตรีชุดเล็ก ว่า ที่ประชุมวันนี้ได้รับฟังข้อมูลจากคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ฝ่ายเลขานุการ รายงานผลการหารือ ในช่วงวันที่ 4-6 สิงหาคม จากการพูดคุยมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี โดยจะแถลงรายละเอียดเมื่อมีการหารือเสร็จสิ้นในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้ (7 ส.ค.68) ซึ่งการเจรจาในวันพรุ่งนี้ได้ให้แนวทาง พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อเข้าร่วมการประชุม เพื่อให้ได้ข้อยุติอย่างดีที่สุด พร้อมยืนยันว่าในการหารือครั้งนี้จะไม่มีการพูดคุยถึงเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ยังไม่สามารถตอบได้ ด้านพลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยภายหลังการประขุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ว่า มีความมั่นใจ […]

ศบ.ทก. เผย GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย จ่อชง สมช.-ครม.นัดพิเศษ

ทำเนียบ 6 ส.ค.- ศบ.ทก. เผยข่าวดี ที่ประชุม GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย พร้อมเตรียมเสนอให้ สมช. – ครม. นัดพิเศษ พิจารณาเย็นนี้ ก่อน รมช.กห. เดินทางร่วมลงนามพรุ่งนี้ ด้าน กต. เตรียมประชุมทูตทั่วโลก เพื่อชี้แจงสถานการณ์ให้นานาชาติเข้าใจ หลังพาองค์การระหว่างประเทศเยี่ยม 18 เชลยศึก ขณะที่ผ่อนปรนให้โดรนเพื่อการเกษตรบินได้หลัง 15 ส.ค.นี้ พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทบ.) และนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมกับนางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ภายหลังจากการประชุมความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือตรีสุรสันต์ แถลงว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในส่วนของความมั่นคงในห้วงที่ผ่านมา สถานการณ์โดยทั่วไปอยู่ในสภาวะปกติ มีการเสริมที่มั่นทางทหารในพื้นที่บางส่วน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีการเสริมกำลังทหารแต่อย่างใด ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเช่นเดียวกันก็มีการตรวจพบว่ามีการใช้โดรนเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในสถานการณ์ไทยห้ามบินโดรนทั่วประเทศ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยังเข้มงวดในการสกัดกั้น ตรวจตรา ตรวจสอบ รวมทั้งดำเนินการตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 15 […]

กกพ.จี้ MEA แจงปัญหาไฟดับ

กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จี้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) แจ้งปัญหาไฟดับเป็นบริเวณกว้าง ด้านประชาชนแห่คอมเมนต์ผลกระทบและต้องการเห็นการชดเชย จากปัญหาความเดือดร้อนคนกรุงเทพฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 ส.ค.) เวลา 22.12 น. เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ย่านสะพานควาย เขตพญาไท ถ.ประดิพัทธ์ และ ถ.พระรามที่ 6 และ MEA แก้ไขจนจ่ายครบเวลา 23.50 น. ทางสำนักงาน กกพ.แจ้งว่าได้ประสานให้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) รายงานข้อเท็จจริง และแนวทางการแก้ไขและป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ในขณะที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่างระบุเดือดร้อนจากเหตุไฟดับ ต้องการให้ MEA ชี้แจงสาเหตุที่ชัดเจน บางส่วนก็ชื่นชม แก้ปัญหาได้รวดเร็ว บางส่วนก็ต้องการเห็น การชดเชยจาก MEA เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยไฟดับทั้งอาคาร ดับทั้งไฟสาธารณะ ไฟจราจร สัญญาณอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ MEA ชี้แจงเบื้องต้นสาเหตุเกิดจากความขัดข้องทางเทคนิคของอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้าย่อย ในระหว่างการเตรียมการเพื่อปฏิบัติงานปรับปรุงระบบจ่ายไฟฟ้าตามปกติ, ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ สาเหตุที่แท้จริงของอุปกรณ์ขัดข้องจะชี้แจงต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า […]

ตำรวจเตรียมสอบเชิงลึกชาย BHQ หวั่นเป็นไส้ศึก

บุรีรัมย์ 6 ส.ค.-ตำรวจสอบปากคำชายชาวกัมพูชา พบใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ อ้างเคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อคำให้การ เกรงแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับ กรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จังหวัดบุรีรัมย์ จับกุมชายชาวกัมพูชา ได้ที่บ้านพักภรรยาคนไทยและมีเครื่องแบบทหารพร้อมตราสัญลักษณ์ BHQ จากการสอบปากคำ เคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว มาทำงานอยู่ไทย แล้วถูกสวมชื่อ จากการตรวจสอบพบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อไม่ตรงกัน และอ้างว่าเมื่อก่อนเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่ล่าสุดมีการลักลอบเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติทาง จ.สระแก้ว โดยอ้างว่าจ่ายเงินบุคคลที่พาเข้า 4,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงว่าอาจจะแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับคอยส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงของไทย ไปให้ฝั่งกัมพูชา จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบมีรูปถ่ายกายแต่งกายทหารและถือปืน เบื้องต้นทางตำรวจจะดำเนินคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต.-สำนักข่าวไทย