รัฐสภา 3 ก.ย.-“วีระ” ห่วงจัดงบสร้างวิกฤติการคลังในอนาคต อาจนำไปสู่หายนะ แนะคุมเข้มห้ามเพิ่มวงเงินรายจ่าย อย่างน้อย 3 ปี หยุดสร้างภาระงบการคลังในปี 69
นายวีระ ธีระภัทรานนท์ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 เสียงข้างน้อย อภิปรายในระหว่างการ ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 วาระ 2 ว่า ขอตัดลดงบประมาณรายจ่ายประจำปี2568 ลง 1.7แสนล้านบาท ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลจัดงบแบบขาดดุล และกู้เงินชดเชยงบประมาณ ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปี สร้างความวิตกกังวลให้กับฐานะการเงินการคลังประเทศในอนาคต ขณะนี้เรามีหนี้สาธารณะ ณ เดือน มิ.ย.2567 อยู่ที่ 11.54 ล้านล้านบาท คาดว่าภายในสิ้นปี2568 จะทะลุ 12ล้านล้านบาท อาจถึง 13 ล้านล้านบาท ในอีก 3-5 ปี ถ้ารัฐบาลยังจัดงบแบบขาดดุล และกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล จะมีปัญหาการเงินการคลังภาครัฐหนักหนาสาหัส ขณะที่งบประมาณรายจ่ายประจำปี2568 มีรายจ่ายประจำอยู่ที่ 2.7 ล้านล้านบาท รายจ่ายลงทุน 9 แสนล้านบาท และรายจ่ายชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ย 1.5 แสนล้านบาท โดยรายจ่ายประจำไม่ลดลง แต่เพิ่มขึ้นตลอด เงินทุกบาททุกสตางค์ล้วนเป็นเงินกู้ ที่ต้องหาเงินต้น ดอกเบี้ยมาใช้คืนในอนาคต
“นี่คือสัญญาณอันตรายที่จะเกิดวิกฤติในอนาคต แม้อ้างว่า การดำเนินการต่างๆ อยู่ในกรอบวินัยการเงิน การคลัง ทำตามกฎหมาย ก็นำไปสู่หายนะได้ ถ้าทำอย่างไม่ระวังรอบคอบ ขณะนี้รัฐบาลมียอดค้างชำระเงินต้น ดอกเบี้ย ณ วันที่ 30ก.ย.2566 จำนวน 1.04 ล้านล้านบาท แต่ปัจจุบันไม่รู้มีเท่าใด เพราะไม่มีการเปิดเผย เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย สถานะการเงินรัฐบาลในปัจจุบัน และอนาคต หากไม่ยับยั้งจะเกิดวิกฤติการคลัง” นายวีระ กล่าว
นายวีระ ยังมีข้อเสนอให้การจัดทำงบรายจ่ายตั้งแต่ปี2569 ต้องทำงบแบบไม่เพิ่มวงเงินรายจ่ายอีกแล้ว อย่างน้อย 3ปี จนกว่า ความเสี่ยงทางการคลังจะลดลง เข้าสู่การบริหารจัดการได้อย่างเหมาะสม รวมถึงงบรายจ่ายปี2569 ต้องหยุดสร้างภาระการคลังในอนาคต ให้สถาบันการเงินของรัฐ ออกเงินแทนรัฐบาลไปก่อน และให้รัฐชดใช้คืนภายหลัง การเร่งชำระเงินต้น ดอกเบี้ยคงค้าง 1 ล้านล้านบาท จนกว่าเงินต้นจะลดลง ถ้าไม่ทำอาจประสบภาวะวิกฤติการคลังในอนาคต
“นี่คือการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถานะการเงินการคลังของรัฐ ในปัจจุบันและอนาคตอย่างแท้จริง ถ้าหากไม่ยับยั้งหรือบริหารจัดการแก้ปัญหาเสียตั้งแต่ต้นมือ สิ่งที่เป็นภาระทางการคลังก็จะกลายเป็นความเสี่ยงทางการคลัง และสุดท้ายนำไปสู่วิกฤติการคลังได้ในที่สุด … ถ้าไม่ทำตั้งแต่ตอนนี้ผมหวั่นใจว่าเราอาจจะต้องประสบวิกฤติการคลังในอนาคตที่เราไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนในการแก้ไขอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” นายวีระ กล่าว.-319.-สำนักข่าวไทย