วุฒิสภาไฟเขียวงบฯ ดิจิทัลวอลเล็ต 1.22 แสนล้านบาท

รัฐสภา 6 ส.ค.- ฉลุย! 139:38 เสียง วุฒิสภาไฟเขียวงบฯ ดิจิทัลวอลเล็ต 1.22 แสนล้านบาท สว.รุมจี้ให้แจกเป็นเงินสด ฉะ! นโยบายหวังผลเลือกตั้ง ทำประเทศเจ๊ง ด้าน “จุลพันธ์” ปัดรัฐบาลใช้ดิจิทัลวอลเล็ตหวังผลเลือกตั้ง ย้ำเป็นนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ยอมรับรัฐบาลจำเป็นต้องกู้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เตรียมเปิดลงทะเบียนคนไร้สมาร์ทโฟน 16 ก.ย.นี้ ส่วนร้านค้าเริ่มเข้าชื่อ 1 ต.ค.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมวุฒิสภา มีมติเสียงข้างมาก 139 เสียง ต่อ 38 เสียง ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 เพิ่มเติม กรอบวงเงิน 122,000 ล้านบาท ที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นำเสนอต่อวุฒิสภา โดยเป็นการพิจารณาแบบไม่ตั้งกรรมาธิการ ซึ่งมีผู้งดออกเสียง 18 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง ภายหลังได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วในวาระที่ 3

นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำว่า รัฐบาลมีความจำเป็นเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ควบคู่กับการรักษาระดับการบริโภค และการลงทุนในประเทศโดยเร่งด่วน ไม่สามารถรองบประมาณปี 2568 ได้ โดยยืนยันว่า เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายวินัยการเงินการคลัง ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ และเม็ดเงินจำนวนมาก จะไหลจากภาครัฐ ไปยังภาคเอกชน เกิดการสั่งซื้อสินค้า และบริการ และย้ำว่า รัฐบาลจะใช้จ่ายเงินภาษีของประชนชนให้มีประสิทธิภาพ กระตุ้นเศรษฐกิจให้เม็ดเงินไหลสู่ประชาชน และภาคธุรกิจ สร้างความเจริญเติบโตให้ดับประเทศ พัฒนาศักยภาพอย่างยั่งยืน และเป็นไปตามกฎหมาย


ขณะที่ การอภิปรายของ สว.นั้น มีสมาชิกวุฒิสภาหญิง 2 คน ที่เป็นเคยเป็นแม่ค้ามาก่อน ได้อภิปรายเกือบทั้งน้ำตา ตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดรัฐบาล จึงไม่แจกเป็นเงินสด เพื่อให้ประชาชน นำไปใช้จ่ายได้สะดวก และยังตัดพ้อที่อาชีพพ่อค้า แม่ค้า แทบจะไม่เคยได้รับการดูแลจากรัฐบาล เหมือนเกษตรกร หรือชาวนา ต้องอดทนอดกลั้นทำอาชีพดูแลครอบครัว รวมถึงยังตั้งข้อสังเกตเหตุใด จึงไม่แจกเงินอย่างเท่าเทียมถ้วนหน้า

“เพื่อน ๆ แม่ค้าฝากความหวัง และกำลังใจในการมาเป็น สว.ให้แม่ค้าขายของดีขึ้น แต่การเป็น สว.ในครั้งนี้ เป็นโอกาสที่จะมาบอกความในใจแม่ค้าทุกคน ที่ไม่ค่อยได้รับการดูแลจากรัฐบาล ชาวนาได้ไร่ละ 1,000 หรือไร่ละ 10,000 บาท แต่แม่ค้าต้องช่วยตัวเอง ขายของกลางคนน ใช้ความอดทนทำมาหากิน ทำอาชีพเพื่อดูแลครอบครัว ซึ่งประชาชนส่วนหนึ่งเห็นชอบ อยากได้เงิน 10,000 บาท แต่อยากได้เป็นเงินสด ซึ่งตอนแรกรัฐบาลก็บอกว่า ทุกคนต้องได้ 10,000 บาท แต่ก็มีเงื่อนไขมากมาย ซึ่งบางคนก็ทำมาหากิน มีเงินเก็บ 500,000 บาทก็ขาดคุณสมบัติแล้ว แล้วเขาผิดอะไรที่มีเงินเก็บ และทำไมทุกคนไม่ได้เงิน คนที่ขยันทำมาหากิน แต่ถูกตัดสิทธิ ทำไมถึงไม่ทำให้เสมอภาคเท่ากัน ทำไมต้องคัดเกรด” นางเบ็ญจมาศ อภัยทอง สมาชิกวุฒิสภา อภิปราย

“การที่รัฐบาลจะแจกเงินประชาชนคนไทย 10,000 บาท ตนเองมีความยินดีและดีใจมาก แต่มีความกังวลว่าจะนำไปใช้จ่ายอย่างไรหลังได้รับเงินส่วนนี้ เนื่องจากเป็นเงินดิจิทัล จึงรู้สึกคิดหนักที่บางครอบครัวมีสมาชิก 4-5 คน หากรวมเป็นเงิน 40,000-50,000 บาท อยากเอาไป ซ่อมแซมบ้าน ซื้อควายซื้อวัวเลี้ยง ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ทำไมรัฐบาลไม่แจกเป็นเงินสด จะได้ใช้ง่าย ๆ” นางแดง กองมา สมาชิกวุฒิสภา อภิปราย


ทั้งนี้ การอภิปรายของนางแดงนั้น ทำให้นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ได้นำโทรศัพท์ มาบันทึกภาพ ก่อนที่จะหยิบกระดาษมาซับน้ำตาอยู่นานแล้ว จนนางแดงอภิปรายเสร็จสิ้นแล้ว ก็ยังคงเช็ดอยู่

นอกจากนั้น สมาชิกวุฒิสภาส่วนใหญ่ ยังกังวลว่า โครงการดังกล่าวของรัฐบาล จะเป็นการเอื้อนายทุน ทำประชาชนเสียนิสัยจากการแจกเงิน และยังเป็นการหาเสียงล่วงหน้าของรัฐบาล สร้างภาระจนจะทำประเทศเสียหาย

“โครงการนี้เป็นการเพิ่มหนี้ให้กับประชาชนหรือไม่ และจากการลงพื้นที่ ประชาชนก็ยังสงสัยต่อการใช้เงินดิจิทัล และจะไปใช้จ่ายต่ออย่างไร ทำไมไม่จ่ายเป็นเงินสด จึงตั้งข้อสงสัยว่า จะเป็นการเอื้อประโยชน์จริงหรือไม่ และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง หรือเป็นเพียงการหาเสียงล่วงหน้า พร้อมยังเห็นว่า การเปิดลงทะเบียนประชาชนนั้น อาจจำให้ประชาชนดีใจเล่น ๆ และยังระบุอีกว่า การลงทะเบียนนั้น ชาวบ้านต้องไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ 4,000 บาท จนเงินหายไปแล้ว 4,000 บาทจาก 10,000 บาท พร้อมยังแสดงความกังวลว่า การแจกเงินหมื่นจากรัฐบาล จะทำให้ประชาชนเสียนิสัย” พลตำรวจโทบุญจันทร์ นวลสาย สมาชิกวุฒิสภา อภิปราย

“โครงการนี้ไม่ใช่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เป็นโครงการเศรษฐกิจการเมือง ที่ยิงทะลุมิติ หวังผลเลือกตั้งคราวหน้า เพราะหากนโยบายนี้ไม่สำเร็จ การเลือกตั้งคราวหน้า พรรคเพื่อไทยไปไม่รอดแน่นอน ฉะนั้น จึงไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจ และจะทำให้เจ๊งทั้งประเทศ พร้อมยังอภิปรายว่า ในอดีตมีนโยบายแจกเงินของรัฐบาลหลายโครงการ แต่ความยากจนก็ยังคงเป็นมิตรแท้ของประชาชนเช่นเดิม จนมีโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ประชาชนแห่มาลงทะเบียน เพราะกลัวเสียสิทธิ และยังคงมีความซับซ้อน ไม่แจกเป็นเงินสด พร้อมเชื่อว่า เม็ดเงินต่าง ๆ ก็จะยังคงไหลกลับไปที่นายทุนใหญ่ และจะยิ่งเกิดความเหลื่อมล้ำ แม้ GDP ของประเทศจะโตขึ้น ความยากจนของประชาชนก็คงไม่ได้ลดลง หรือแม้จะมีการทักท้วงจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมาเตือนแล้ว แต่รัฐบาลก็ยังไม่ฟัง และยังคงเดินหน้าต่อ แต่วุฒิสภา จะต้องยับยั้งรัฐบาล พร้อมยังตั้งข้อสังเกตว่า ที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงพาณิชย์ ที่การเลื่อนลงทะเบียนของร้านค้าน เป็นเพราะไม่มีร้านค้าใดเข้าร่วมใช่หรือไม่ ดังนั้น ตนจึงไม่ให้ความเห็นชอบงบประมาณเพิ่มเติมฉบับนี้ และรัฐบาลควรจะหันไปสนับสนุนการออมให้กับประชาชน หรือผู้สูงอายุ หรือแม้แต่นโยบายของรัฐบาลที่แล้วที่ดี เช่น กฎหมายการส่งเสริมการออม ก็ควรจะสนับสนุนต่อ” นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา อภิปราย

ทั้งนี้ ก่อนที่จะเข้าสู่การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมฯ ฉบับนี้นั้น นายนิรุตติ สุทธินนท์ สมาชิกวุฒิสภา ได้เสนอต่อที่ประชุมให้งดใช้ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา ในข้อที่ 138 โดยไม่ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ เพิ่มเติม แต่นางสาวรัชนีกร ทองทิพย์ สมาชิกวุฒิสภา ไม่เห็นด้วยหากจะงดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เนื่องจาก งบประมาณดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และเป็นเงินกู้ทั้งหมด จึงขอให้ที่ประชุมฯ ได้ทบทวน

ด้าน นายกมล รอดคล้าย สมาชิกวุฒิสภา สนับสนุนข้อเสนอของนายนิรุตติ เพราะเห็นว่า การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ต้องใช้เวลา แต่เรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องเร่งด่วนตามที่รัฐบาลเสนอ ดังนั้น การงดใช้ข้อบังคับการประชุมดังกล่าว ก็จะทำให้สามารถใช้กรรมาธิการเต็มสภาได้ และสามารถเสร็จสิ้นตามกำหนดเวลาได้ แต่ที่ประชุมไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ทำให้ต้องมีการลงมติ ซึ่งที่สุดแล้ว ที่ประชุมมีมติเสียงข้างมาก 161 เสียง ต่อ 17 เสียง เห็นชอบตามข้อเสนอของนายนิรุตติ ที่ประชุมให้งดใช้ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา ไม่ต้องตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ เพิ่มเติม

ขณะที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงข้อสังเกต และข้อสงสัยของสมาชิกวุฒิสภา โดยย้ำว่า รัฐบาล ได้ยืนยันว่า งบประมาณดังกล่าว เป็นไปตามกรอบกฎหมาย และวินัยการเงินการคลัง พร้อมยอมรับว่า รัฐบาล จำเป็นจะต้องมีการกู้หนี้เพิ่มเติม เพื่อเติมเงินใส่ในระบบเศรษฐกิจ และกระตุ้นเศรษฐกิจในการเดินหน้าโครงการ

ส่วนข้อสังเกตเหตุใดรัฐบาลไม่จ่ายเป็นเงินสดนั้น นายจุลพันธ์ ชี้แจงว่า กลไกที่รัฐบาลกำหนด เป็นกลไกลใหม่ ต่างจากอดีต ที่แจกเป็นเงินสด เพราะอาจทำให้ประชาชน ออมไว้ส่วนหนึ่ง ไม่ยอมใช้จ่าย ทำให้ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เต็มที่ และรัฐบาล ต้องการให้เม็ดเงินกระจายตัวอยู่ในความเหมาะสม ไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในตัวเมือง และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้หมุนอยู่ในระบบได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ตามที่รัฐบาลต้องการ เช่นในจังหวัดเชียงใหม่ หากรัฐบาลกำหนดให้ใช้เป็นดิจิทัลวอลเล็ต ในอำเภอแม่ริม ซึ่งมีประชากรจำนวนประมาณ 80,000 คน ก็จะมีเงินหมุนอยู่ในอำเภอ 800 ล้านบาท แต่หากแจกเป็นเงินสด ประชาชนก็จะไปใช้เงินในอำเภอเมืองเชียงใหม่มากกว่า และหากร้านค้า ต้องการจะขึ้นเป็นเงินสด ก็สามารถทำได้ในการหมุนรอบที่ 2 และเงินสดก็จะยังคงหมุนเวียนในระบบ มีผลระยะยาว และกลไกนี้ ไม่ใช่เพียงการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เป็นการวางรากฐานดิจิทัลระยะยาว ให้คนไทยพร้อมรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงข้อมูลประชาชนต่าง ๆ จะเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐในการกำหนดนโยบายได้อย่างตรงจุด พร้อมย้ำว่า แอพลิเคชันทางรัฐ มีความปลอดภัยแน่นอน

นายจุลพันธ์ ยังย้ำว่า ในการใช้จ่ายนั้น รัฐบาลได้วางกลไกไม่ให้เกิดการกระจุกตัวกับรายใหญ่ และกระจายตัว ง่ายต่อการใช้งาน ดังนั้น จึงสามารถซื้อของจากร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก วิสาหกิจชุมชนของประชาชนในท้องถิ่น ได้ รวมไปถึงร้านหาบเร่แผงลอย ที่แม้ไม่เสียภาษี ก็สามารถลงทะเบียนได้ แต่ไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ พร้อมยืนยันว่า รัฐบาล จะเปิดลงทะเบียนร้านค้า ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้

ส่วนประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือโทรศัพท์มือถือในการลงทะเบียนรับสิทธิ์นั้น นายจุลพันธ์ เปิดเผยว่า ประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือโทรศัพท์มือถือในการลงทะเบียน รัฐบาลจะเปิดลงทะเบียนในวันที่ 16 กันยายน – 15 ตุลาคม 2567 โดยจะต้องลงทะเบียนผ่านหน่วยงานรัฐ และใช้บัตรประชาชนในการซื้อสินค้า ซึ่งอาจจะไม่สะดวก และมีความซับซ้อนกว่า

นายจุลพันธ์ ชี้แจงกรณีที่มีสมาชิกวุฒิสภาตั้งข้อสังเกตโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลหวังผลการเมือง โดยยืนยันว่า โครงการนี้ฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ผ่านมาแล้ว และเป็นสัญญาประชาคม ที่รัฐบาลได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา จึงจะต้องเดินหน้า ไม่มีความเป็นพรรคการเมือง เพราะทุกพรรคอยู่ร่วมกันในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล จึงไม่ใช่นโยบายของพรรคใดพรรคหนึ่ง และยังมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดนโยบายตามข้อห่วงใยของสังคม ที่รัฐบาลพร้อมรับฟัง

โดยภายหลังที่วุฒิสภา ให้ความเห็นชอบเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 เพิ่มเติม กรอบวงเงิน 122,000 ล้านบาทแล้ว ประธานวุฒิสภา จะส่งร่างงบประมาณ กลับคืนไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ตามขั้นตอน และประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป .312 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทย เจ้าตัวคุม “โยธาฯ-ปค.”

กระทรวงมหาดไทย 14 ก.ค. –“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทยแล้ว เจ้าตัวคุม “โยธาฯ – ปค.” ฟาก “เดชอิศม์” คุม “ที่ดิน – สถ.” สางปัญหาที่ดิน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย รักษาราชการนายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้แบ่งงานกับทั้ง 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการทำงานของทั้ง 3 คนเราทำงานเป็นทีมเดียวกัน ส่วนหลักเกณฑ์การแบ่งก็กระจายให้ทั่วถึงเพื่อช่วยกันดูแล โดยตนกำกับดูแลกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมการปกครอง สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย การประสานงานส่วนราชการในสังกัด กระทรวงมหาดไทยตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค และดูหน่วยงานส่วนที่เหลือทั้งหมด โดยทั้งหมดสงวนไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ และบุคคลซึ่งตนเป็นผู้ดูแล นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ได้มอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย กำกับดูแล กรมการพัฒนาชุมชน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสตรีและการดำเนินการเรื่องผ้าไทย รวมถึงกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย […]

รถพ่วงเบรกแตกลงเขา ชนแหลก 10 คัน เจ็บ 3

นครราชสีมา 13 ก.ค. – รถพ่วงเบรกแตกลงเขามอกลางดง ชนแหลกรวมสิบคัน บาดเจ็บ 3 คน ทำถนนมิตรภาพรถติดยาวหลายกิโลเมตร คนขับรถพ่วงบาดเจ็บ แต่ยังให้การได้ รถพ่วงบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ชนแหลกนับ 10 คัน บนถนนมิตรภาพ ขาเข้ากรุงเทพมหานคร ช่วงลงเขามอกลางดง กิโลเมตรที่ 37-38 อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตำรวจ สภ.กลางดง พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายหน่วยระดม เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์คันต้นเหตุ ยี่ห้อฮีโน่ สีขาว ทะเบียน กรุงเทพมหานคร ด้านหน้าหัวลากพังยับ นายวิทยา อายุ 34 ปี คนขับ ได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย ยังนั่งอยู่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ โดยเล่าว่า บรรทุกของมาเต็มตู้คอนเทนเนอร์ ช่วงลงเขาเกิดเบรกไม่อยู่ เนื่องจากลมหมด จึงทำให้พุ่งชนท้ายรถพ่วงบรรทุกไม้อีกคันที่อยู่ด้านหน้า จนกระเด็นไปคนละทิศละทาง ไม้กระจายเกลื่อนถนน ด้วยความแรงยังวิ่งไปเฉี่ยวชนกับรถที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเสียหายอีก 8 คัน เป็นรถกระบะ 5 คัน, รถเก๋ง […]

มส.มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เรียกพระ 5 รูปแจงด่วน

กรุงเทพฯ 13 ก.ค.-มหาเถรสมาคม ประชุมนัดพิเศษ มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เผยสึกแล้ว 6 คน ยังติดต่อไม่ได้ 2 คน เตรียมแก้กฎมหาเถรสมาคม อ้างสุดล้าหลังกว่า 50 ปี ขณะที่พระเทพพัชราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชูจิตฯ ชิงลาออกแล้ว นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคมนัดพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ว่า สมเด็จพระสังฆราชห่วงใยต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จึงมีพระบัญชาให้มหาเถรสมาคม นิมนต์กรรมการฯประชุมเร่งด่วน ซึ่งทางกรรมการฯ มีข้อห่วงใย และมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยมีมติ ดังนี้ -พระที่ถูกกล่าวหา ต้องอาบัติปราชิก ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัย และต้องสึกโดยทันที ส่วนพระที่ยังไม่ถึงขั้นปราชิก ก็ให้ปลดออกจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกรูป และจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดสมณศักดิ์-ในระยะเร่งด่วน ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ ตรวจสอบดูแลและกำกับพฤติกรรมองพระในปกครองอย่างใกล้ชิด หากพบพฤติกรรมละเมิดพระธรรมวินัยให้ดำเนินการสอบสวน และรายงานมหาเถรสมาคมโดยเร็ว-กรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ ให้ออกคำสั่พักการปฏิบัติหน้าที่ และให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฏหมาย พร้อมขอให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนและสาธารณชน เนื่องจากยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา-และทบทวนปรับปรุงกฎระเบียบคณะสงฆ์ว่าด้วยการประทำผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ โดยมหาเถรสมาคม เห็นควรขอประทานพระวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้แต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาคณะหนึ่ง […]

ส่งตัวดำเนินคดี นักท่องเที่ยวไทยทำร้ายทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 13 ก.ค.-ทบ. เผยนักท่องเที่ยวไทยต่อยทหารกัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม เป็นอดีตทหารพราน ส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 13 ก.ค.68 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกกล่าวถึงกรณีที่งนักท่องเที่ยวชาวไทย ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ว่า กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี ว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. ได้เกิดเหตุการณ์นักท่องเที่ยวชาวไทยทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ณ บริเวณปราสาทตาเมือนธม โดยผู้ก่อเหตุได้ชกเจ้าหน้าที่กัมพูชา ทั้งทางด้านหลังและด้านหน้า ก่อนจะหลบหนีออกจากพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยสามารถติดตามและควบคุมตัวได้ในเวลาต่อมา จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายสมหมาย ศรีศุกรานันทน์ อดีตอาสาสมัครทหารพราน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานชมรมทหารพรานจิตอาสาค่ายปักธงชัย และประธานเครือข่ายทหารผ่านศึกจังหวัดสมุทรสาคร ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณพื้นที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทางเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทย ได้ทำความเข้าใจกับผู้เสียหายไปแล้วในเบื้องต้น เพื่อพยายามไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ในระดับเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย สำหรับผู้ก่อเหตุ ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

“ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ

17 ก.ค. – “ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอกพรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติง “ลูกอิ๊งค์” ขายชาติ บอกปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล “คึกฤทธิ์” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก พลิกเกมเศรษฐกิจไทย” และ “พลิกเกมเศรษฐกิจไทย สู่อนาคต” จัดโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม พร้อมครม. อาทิ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ […]

เสวนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก”

17 ก.ค. – หลายหน่วยงานรวมพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในงานเสวนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก” โดย บมจ.อสมท นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานสัมมนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย…สู้วิกฤติโลก” ยอมรับว่า นับว่าปัญหาเศรษฐกิจโลกกระทบมายังไทย จากภาษีศุลกากรของสหรัฐกระทบมายังประชาชน ผู้ผลิต เอสเอ็มอีรายย่อย ความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน ประชาชน จึงต้องร่วมมือกันปลดล็อกอนาคตประเทศไทย…สู้วิกฤติโลก” โดยได้จัดเวทีใหญ่ให้ผู้กำหนดนโยบายและทิศทางของประเทศ และภาคเอกชน มาร่วมแสดงความเห็น ด้านเศรษฐกิจ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในหัวข้อ เกาะติดมาตรการกระทรวงการเงินการคลัง พลิกฟื้นกำลังซื้อในประเทศ และแนวโน้มเศรษฐกิจ และสงครามการค้า ภาษีนำเข้าของสหรัฐ ว่าทีมไทยแลนด์ นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง กำหนดเจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐช่วงค่ำวันนี้ ต้องชั่งน้ำหนัก ทั้ง 2 มิติ คือ ผลกระทบที่ผู้ส่งออก และผู้ผลิตในประเทศทั้งภาคอุตสาหกรรม และเกษตรกร รัฐบาลไม่มอง เพียงจะเจรจาภาษีได้เท่าไหร่ ยอมรับไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ แต่จะสานประโยชน์ให้ตกกับทุกฝ่าย […]

ทบ. เร่งตรวจสอบวิเคราะห์ “ทุ่นระเบิด” คาดผลชัด 2-3 วัน

17 ก.ค.- โฆษก ทบ. แจงเร่งตรวจสอบเหตุกำลังพลเหยียบกับระเบิดชายแดนช่องบก คาดใช้เวลา 2-3 วัน ชัดเจนเรื่องชนิดและห้วงเวลาที่มีการนำทุ่นระเบิดมาติดตั้ง ยังไม่ยืนยันว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยภายหลังได้รับทราบรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 กรณีเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (16 ก.ค.68) เกิดเหตุกำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 เหยียบกับระเบิดระหว่างการลาดตระเวนในพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ทำให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ปัจจุบันทุกนายอาการปลอดภัยอยู่ในระหว่างการพักสังเกตอาการที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี อย่างใกล้ชิด สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับทุ่นระเบิดดังกล่าวนั้น ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเข้าพื้นที่เกิดเหตุและเก็บหลักฐาน มาดำเนินการวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดอย่างละเอียด ซึ่งขั้นตอนนี้ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 – 3 วัน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ในเรื่องของชนิดและห้วงเวลาที่มีการนำทุ่นระเบิดมาติดตั้ง ตามที่สังคมได้ให้ข้อสังเกตว่าอาจเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกวางขึ้นใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดที่ตกค้างอยู่ในพื้นที่การสู้รบเดิม ทั้งนี้ โฆษกกองทัพบก ยังได้กล่าวว่า หลังจากนี้หน่วยในพื้นที่ชายแดน จะได้มีการตรวจสอบพิสูจน์ทราบเพิ่มเติมว่า ทางกัมพูชาได้มีการนำทุ่นระเบิดมาใช้ในพื้นที่หรือไม่ เพราะในปัจจุบันทั้งไทยและกัมพูชา ได้ให้สัตยาบันในการเข้าร่วมเป็นประเทศภาคีในอนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2542.-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 สั่งดูแลสิทธิสวัสดิการ-ปูนบำเหน็จ ทหารเหยียบกับระเบิด

17 ก.ค.- แม่ทัพภาค 2 สั่งดูแลสิทธิสวัสดิการ-ปูนบำเหน็จ ทหารเหยียบกับระเบิดขาขาด เลื่อนยศ “สิบเอก” รับบำนาญเกือบ 30,000 บาท/เดือน เงินช่วยเหลือกว่า 1 ล้านบาท บรรจุทายาทรับราชการ เมื่อวันที่ 17 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการให้ฝ่ายกำลังพลกองทัพภาคที่ 2 ได้ตรวจสอบสิทธิของข้าราชการทหารในการปฏิบัติราชการสนาม และให้ดำเนินการปูนบำเหน็จแก่พลทหารธนพัฒน์ หุยวัน สูงสุด เพราะ เป็นการปฏิบัติภารกิจเพื่อปกป้องอธิปไตยในการ ออกลาดตระเวนและเหยียบกับระเบิดที่เนิน 481 วานนี้ โดย ได้รับการปูนบำเหน็จ เลื่อนชั้นเป็นสิบเอก (ส.อ.) หลังจากรักษาตัวแล้วเสร็จ ปลดเหตุสูญเสียฯจากการรบ ได้รับบำนาญเดือนละ 15,600 บาท ซึ่งเมื่อรวม เงินรายเดือน จากหน่วยงาน/องค์กรต่าง ๆ แล้ว คาดว่าจะได้รับเงิน รวม 29,800 บาท/เดือน (โดยประมาณ) […]