กองทัพอากาศ 5 ส.ค. – “วิโรจน์” ห่วงท่าที “คารม” ใช้ช่องทางรัฐบาลวิจารณ์ปมคดียุบพรรคก้าวไกล มองชี้นำ-กดดันศาลรัฐธรรมนูญ จี้ “เศรษฐา” ชี้แจง ลั่นฝ่ายบริหารไม่ควรยุ่งกับองค์กรอิสระ
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีนายคารม พลพรกลาง รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมวิจารณ์ปมคดียุบพรรคก้าวไกล ว่าพรรคก้าวไกลเคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว แต่กังวลท่าทีของนายคารม รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี มากกว่า และคิดว่าเป็นข่าวไม่จริง จนกระทั่งไปพบข่าวนี้ในเว็บไซต์ของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ช่องทางในการเผยแพร่ข่าวของรัฐบาล มันหมายความว่าการพูดของบุคคลท่านนั้น พูดในนามรองโฆษก หรือกองโฆษกของรัฐบาล และหากลองฟังที่นายคารมให้สัมภาษณ์มีลักษณะชี้นำและข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ หากศาลรัฐธรรมนูญไม่กล้ายุบพรรค พร้อมกับเขียนถึงเงื่อนไขหลายข้อ
นายวิโรจน์ มองว่าการกระทำแบบนี้ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาว่าเข้าข่ายการชี้นำศาลหรือกดดันศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งคนที่จะต้องออกมาตอบคำถามนี้คือ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่าอนุญาตให้กองโฆษกออกมาให้ข่าวในลักษณะที่อาจทำให้สังคมเข้าใจได้ว่าเป็นการสร้างเงื่อนไข ชี้นำ และข่มขู่ ศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างไร เพราะเวลาที่พรรคก้าวไกลแถลงข่าวมักจะพูดถึงข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง และแนวทางการสู้คดี แต่ไม่เคยมีการชี้นำศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งการชี้นำสาธารณรัฐธรรมนูญมีอยู่ 2 องค์ประกอบหลัก คือ ต้องตัดสินแบบนี้ หรือหากศาลรัฐธรรมนูญไม่ตัดสินแบบนี้ จะต้องเจอแบบนี้ ซึ่งคำพูดเหล่านี้ไม่เคยออกมาจากปากใครของพรรคก้าวไกล เพราะฉะนั้นคนที่ต้องออกมาตอบคำถามนี้คือ นายเศรษฐา นายกรัฐมนตรี
เมื่อถามต่อว่าการกระทำลักษณะนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าการยุบพรรคก้าวไกล เป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ นายวิโรจน์ ตอบว่า ก็คิดแบบนั้นได้ แต่ขอวิงวอนให้นายเศรษฐาได้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ เพราะข่าวดังกล่าวไม่ได้เกิดมาจากสำนักข่าวต่างๆ แต่มาจากเว็บไซต์ของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นการใช้กองโฆษกของรัฐบาลมาสื่อสาร เป็นลักษณะที่ประชาชนอาจจะเข้าใจได้ว่าเป็นการชี้นำ กดดัน สร้างเงื่อนไขให้กับสาธารณรัฐธรรมนูญ ซึ่งมองว่าอำนาจบริหารไม่ควรก้าวก่ายองค์กรอิสระ
ส่วนข้อกล่าวหาที่ถูกมองว่าดึงต่างชาติเข้ามายุ่งเกี่ยวในกระบวนการ นายวิโรจน์ถึงกับร้องโอ้โห ก่อนกล่าวว่า ขอตั้งคำถามว่าหากจะปิดไม่ให้มีการสื่อสารกับองค์กรสากลใดๆ เลยนั้น อยากจะปิดประเทศกันหรือไม่ บอกว่าควรให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่สื่อสาร หากเนื้อหาที่สื่อสาร เป็นเนื้อหาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วจะกลัวอะไร ย้ำว่าประเทศไทยนั้นเป็นประเทศเปิด โอลิมปิกยังส่งนักกีฬาไปแข่งขันเลย วันนี้จะปิดประเทศแล้วหรือ เพราะฉะนั้นการสื่อสารกับองค์กรสากล สถานทูต เนื้อหาที่สื่อสารนั้นมีความถูกต้องชอบธรรมตามหลักกฎหมายไทยและตามหลักกฎหมายสากล ไม่เห็นมีตรงไหนที่จะต้องนั่งกังวล เพราะนายกรัฐมนตรีก็เดินสายอยู่บ่อยๆ.-312-สำนักข่าวไทย