“ศิริกัญญา” ถามนายกฯ เกิดอะไรขึ้นกับ “เงินดิจิทัล”

รัฐสภา 11 ก.ค- “ศิริกัญญา” ขอบคุณนายกฯ เห็นคุณค่าสภาฯ แจงกระทู้ถามสดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ถามเกิดอะไรขึ้นกับ “ดิจิทัลวอลเล็ต” เปลี่ยนไปมาจนประชาชนงง ด้านนายกฯ ร่ายยาวเปลี่ยนเกณฑ์เงินหมื่น เพื่อตอบโจทย์ชาวบ้าน ยันรัฐบาล “วิ่งเพื่อปัจจุบันที่ดีกว่า ต่อสู้แรงค้านที่ไร้อนาคต”


นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจา ถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของรัฐบาล โดยนางสาวศิริกัญญา กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่เห็นคุณค่าของสภา ยึดถือหลักการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติและเคารพหลักการว่าสภาเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด และได้ตอบรับการตอบกระทู้ในเวลา 07.30 น. ของวันนี้ และครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่นายกฯ จะมาตอบกระทู้ของพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งหวังว่านายกรัฐมนตรีจะไม่มาตอบเป็นครั้งสุดท้าย และขอให้สัปดาห์หน้า นายกรัฐมนตรีเคลียร์ตารางงานเพื่อเข้ามาตอบกระทู้

ทั้งนี้ นางสาวศิริกัญญา ได้ตั้งกระทู้ถามถึงเรื่องโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่มีประชาชนสอบถามจำนวนมากว่า เกิดอะไรขึ้นกับโครงการนี้ เนื่องจากมีการปรับแก้เงื่อนไขต่างๆ เช่น เปลี่ยนไม่ให้ซื้อมือถือได้แล้ว รวมถึงมีประชาชนกังวลว่า ได้ปรับเป้าหมาย 45 ล้านคน ลดลงจาก 50 ล้านคน และที่ระบุว่าจะไม่กู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จึงอยากตั้งคำถามว่า ตอนนี้งบประมาณไม่เพียงพอแล้วหรือไม่ จึงหางบประมาณได้เพียง 4.5 แสนล้านบาท ทั้งนี้ หากมีคนมาลงทะเบียนเต็มจำนวน 50 ล้านคน จะได้เงินเต็มจำนวนหรือไม่ รวมถึงอยากทราบว่าจะใช้งบกลางของปี 2567 หรือไม่


นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ตนให้ความสำคัญกับสภานิติบัญญัติ และไม่ได้จะหลีกเลี่ยง แต่มีภารกิจแน่น และได้พยายามจะเลื่อนประชุม เพื่อตอบสนองความต้องการของ สส. ที่เห็นว่าน้อยใจจะไม่ถาม ตนพยายามที่จะมาตอบให้ได้ และแน่นอนว่าจะไม่ใช่การมาตอบครั้งสุดท้าย จะพยายามมาอย่างต่อเนื่อง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จะมีการแถลงในวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ โดยมีการปรับเปลี่ยน ซึ่งรัฐบาลรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ส่วนจะนำเงินไปซื้ออะไรได้หรือไม่ได้ ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ก่อนโครงการจะสำเร็จเป็นรูปธรรมก็ได้ฟังความเห็นของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ผู้ประกอบการ และฝ่ายค้าน ว่าอะไรเหมาะสมและไม่เหมาะสม จึงได้มีการพูดคุยกันตลอด เพื่อปรับปรุงให้โดนใจประชาชนและถูกจุดประสงค์ของโครงการนี้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ส่วนเรื่องของงบประมาณต่างๆ งบกลางกันไว้ 4.3 หมื่นล้านบาท ส่วนที่มีการปรับลดงบประมาณจาก 4.5 แสนล้านบาท ลงมาจากงบ 5 แสนล้านบาท เราดูจากสถิติเก่า จากรัฐบาลที่ผ่านมา ว่ามีการแจกเงิน และได้มีการวิเคราะห์ว่าจะมีคนไม่มาใช้สิทธิกี่คน แต่รัฐบาลก็ได้เตรียมไว้อย่างเต็มที่ ซึ่งมั่นใจว่าจะใช้งบโดยพินิจพิเคราะห์อย่างดี เป็นไปตามกฏหมาย ซื่อสัตย์สุจริต และเป็นไปตามกติกาในการใช้งบประมาณที่ถูกต้อง


”เรื่องนี้เป็นนโยบายหลักของเรา เหตุผลที่ต้องใช้เงิน 10,000 บาทต่อคน และจำกัดพื้นที่ในการใช้ เพราะไม่ต้องการให้จำกัดความเจริญอยู่ที่หัวเมืองหลักเพียงอย่างเดียว การที่ประชาชนมีบัตรประชาชนอยู่ในอำเภอไหนก็ให้ใช้ในอำเภอนั้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดที่มีการพัฒนาต่ำ ไม่ว่าจะเป็นหนองบัวลำภู บึงกาฬ มหาสารคาม ที่มีจีดีพีต่ำ เพื่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคเป็นไปตามความต้องการของทุกคน มั่นใจว่าวันที่ 24 กรกฎาคม จะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเรื่องของงบประมาณและประเภทสินค้าที่จะออกมา“ นายเศรษฐา กล่าว

นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า การที่นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ต้องใช้งบกลาง 43,000 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ทำให้ปริศนาทุกอย่างกระจ่างขึ้น เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่นายกรัฐมนตรีเริ่มบริหารราชการแผ่นดินจนถึงตอนนี้กว่า 10 เดือน เราก็มีข้อสังเกตว่า งบกลางปี 67 แทบจะไม่ได้อนุมัติเลย ซึ่งจริงๆ แล้วมีปัญหาเร่งด่วนคือ ค่าครองชีพประชาชน ราคาของแพงขึ้น รวมถึงค่าไฟยังแพง แต่รัฐบาลกลับไม่มีมาตรการช่วยเหลือประชาชน และจำเป็นจะต้องถามเรื่องงบ 67 เพราะที่ผ่านมาสภาได้อนุมัติงบไป 99,000 ล้านบาท ก่อนอนุมัติงบก็มีการใช้งบประมาณไปพรางก่อน แต่มีการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปเพียง 14,000 ล้านบาทเศษเท่านั้น

ทั้งนี้ มีการของบกลางไปช่วยพยุงราคาน้ำมัน 6,500 ล้านบาท แต่รัฐบาลกลับไม่อนุมัติ ทั้งที่งบกลางก็ไม่ได้ใช้ หากไม่อยากอุดหนุนราคาน้ำมันด้วยกันลดภาษีสรรพสามิตเหมือนเดิม เลือกอุดหนุนเฉพาะกลุ่มก็ได้ อาจจะแจกเป็นคูปองลดราคาน้ำมันให้กับกลุ่มขนส่งหรือประชาชน แต่กลับไม่มีมาตรการออกมาช่วยเหลือค่าครองชีพเลย

ส่วนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคืองอาจมีการออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำบ้าง แต่ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ผู้เดือดร้อน แก้ปัญหานายกรัฐมนตรีมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือประชาชนหรือแก้ปัญหาเศรษฐกิจในเวลานี้โดยที่ไม่ต้องรอดิจิทัลวอลเล็ตหรือไม่

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจง โดยยืนยันว่า มีการใช้งบกลางในการดูแลเรื่องค่าน้ำมัน และค่าไฟ รวมถึงเรื่องการเกษตร ดูแลเรื่องเกิดน้ำท่วม น้ำแล้ง การสร้างถนน ดูแลสถานพยาบาลต่างๆ

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง ภาพรวมเศรษฐกิจว่า 10 ปีที่ผ่านมา GDP ของไทยเติบโตอยู่ในระดับที่ต่ำ ไม่มีอินฟราสตรัคเจอร์ ส่งผลให้อัตราการเติบโตมีเพียง 3 % ต่อปี การเจริญเติบโตส่วนใหญ่เป็น K shaped recovery คนที่รวยแล้วก็รวยอีก รวยไปเรื่อยๆ คนจนก็ต่ำต้อยต่อไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงหลังโควิด การลงทุนของภาครัฐและเอกชนก็ค่อนข้างราบเรียบ ส่งออกก็ติดลบ นำเข้าสินค้าเพิ่มมากขึ้นส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบและพลังงาน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่ฝ่ายค้านให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปิดตัวโรงงาน ทำให้เห็นได้ชัดว่า อุตสาหกรรมต้องมีการปรับตัวเข้ากับความต้องการของโลกสมัยใหม่ ซึ่งเราก็มีการปรับตัวช้ามากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตนต้องเดินทางไปต่างประเทศ ต้องมีการเจรจากับบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า เรื่องสงครามการค้า หรือภูมิรัฐศาสตร์เป็นเรื่องที่สำคัญ ถึงแม้ประเทศไทยจะมีจุดยืนเป็นกลาง ไม่ทะเลาะกับใคร และเป็นคู่ค้ากับทุกคน แต่ก็ทำให้การส่งออกลดน้อยลง เราต้องเดินทางไปพูดคุยกับประเทศต่างๆทั่วโลก เพื่อทำให้เขามีความมั่นใจมาลงทุนและซื้อสินค้าไทย

นอกจากนี้ การลงทุนก็ต่ำ ตนเคยแจ้งให้สภาทราบว่า ครั้งสุดท้ายที่เรามีโครงการใหญ่คือโครงการสนามบินสุวรรณภูมิ รวมถึงการบริโภคในประเทศไทย ถ้าตัดภาคการท่องเที่ยวออกไปถือว่าไม่มีการเจริญเติบโตเท่าที่ควร การท่องเที่ยวตั้งแต่ที่เราเข้ามาก็เป็นการใช้นโยบายหลัก ไม่ได้ใช้งบประมาณ ซึ่งเป็นหนึ่งใน Growth Engine ที่ใช้พยุงเศรษฐกิจไปได้ ไม่ว่าจะเป็นวีซ่าฟรี การเปิดนิทรรศการให้ชาวต่างชาติมาเที่ยว ทำให้ประเทศไทยเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

“เรื่องการท่องเที่ยวเป็นเรื่องที่แบบเศรษฐกิจอยู่ในปัจจุบัน เราเองก็มุ่งมั่นที่จะทำต่อ วันก่อนประเทศอินเดีย ก็มีการยกเว้นวีซ่าที่จะให้เขาเป็นการชั่วคราว เราก็จะกระตุ้นเรื่องนี้ต่อเนื่อง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ภาคอุตสาหกรรมอัตราการเติบโตก็ตกหมด ต่ำกว่า 60% แสดงว่าคนไม่มีกินไม่มีใช้ เพราะฉะนั้นทำไมต้องเป็นดิจิทัลวอลเล็ต เพราะหากมีเงินใหม่เข้ามาในระบบ โรงงานต่างๆจะผลิตสินค้า มารองรับการซื้อของประชาชน ทำให้เกิดการจ้างงานเกิดขึ้น

อีกเรื่องหนึ่งเป็นปัญหายาเสพติด เราต้องยอมรับว่า เราจะกระตุ้นเศรษฐกิจ เอาอุตสาหกรรมใหม่ๆ เข้ามา แต่หากประชาชนของเรายังมอมเมา ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการลงพื้นที่ของตนหลายครั้งก็เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ตนเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้ที่ลงพื้นที่ไป นอกจากปัญหาปากท้อง ปัญหายาเสพติดก็ยังเจอเยอะ

นายกรัฐมนตรี ยังเล่าถึงการไป กอ.รมน. ที่หลายท่านอยากให้ยุบ แต่ตนยังเห็นศักยภาพในการพัฒนาประเทศได้อีกเยอะ สามารถช่วยเหลือประชาชนในช่วงน้ำท่วม กันที่ดินทหารมาให้ประชาชนทำกิน ซึ่งในการทำงานร่วมกันกับฝ่ายปกครอง

สำหรับหนี้นอกระบบก็เป็นปัญหาเศรษฐกิจอีกอย่างหนึ่ง ก็มีการร่วมกับฝ่ายปกครอง โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับนายกิติรัตน์ ณ ระนอง ในฐานะประธานที่ปรึกษา ก็ทำงานไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ให้หนี้นอกระบบหมดไป เพราะหากมีหนี้นอกระบบ ก็ไม่มีแรงทำงานและไปหวังพึ่งยาเสพติด

“เราแพ้อินโดนีเซีย แพ้เวียดนามมาโดยตลอดแต่ตอนนี้เรากำลังจะขึ้นมา เพราะรัฐบาลนี้ให้ความสนใจ และบินไปเจรจาการค้าเพื่อจะให้มีการลงทุนต่างประเทศเข้ามาเป็นรูปธรรม แต่เพิ่ง 10 เดือน ทุกท่านทราบดีว่าจะให้ลงทุนเป็นแสนล้าน ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ กว่าเขาตัดสินใจลงทุนในประเทศ แต่ก็มีการพัฒนาขั้นตอนต่างๆไปในทางที่ดี” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า เรื่องการเกษตรก็เป็นสิ่งสำคัญแม้จะไม่เป็นอุตสาหกรรมที่เซ็กซี่ แต่พี่น้องหลาย 10 ล้านคน ยังต้องพึ่งการเกษตรอยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ลงพื้นที่ไปทำงานอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง การเปิดตลาดค้าขาย ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นภายใน 4 ปี นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีความพร้อมในการผลักดันสินค้าฮาลาล

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราเองก็อยากเป็นสวิตเซอร์แลนด์ของเอเชีย พยายามไม่ทะเลาะกับใคร อยากให้มั่นใจว่าประเทศไทยเป็นมิตรกับทุกคนและสามารถส่งผ่านสินค้าออกไปได้

จากนั้น นางสาวศิริกัญญา ตั้งคำถามต่อ โดยระบุว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้ตอบคำถามที่ตนเองถาม ก็เท่ากับเป็นการยืนยันว่า ไม่มีมาตรการช่วยพยุงค่าครองชีพ และไม่มีมาตรเกี่ยวกับโรงงานปิดกิจการและ SMS ล้ม ให้กับประชาชนในระยะสั้น เพราะจากการที่นายกรัฐมนตรีตอบ วิเคราะห์ปัญหาถูกวินิจฉัยโรคถูก แต่ทางออกยังมืดแปดด้านและไม่เห็นเป็นรูปธรรม โดยที่ไม่ต้องรอดิจิทัลวอลเล็ตหรือรอนักลงทุนเข้ามาลงทุน ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรหากงบไม่พอที่จะเอาไปใช้ในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในเวลานี้ หรือรัฐบาลอาจสร้างแรงจูงใจให้กับท้องถิ่น เอาเงินสะสมของตนเองมาใช้เป็นเงินลงทุนขนาดเล็กในชุมชนเพื่อให้เกิดการจ้างงานในต่างจังหวัด และเศรษฐกิจจะกระชุ่มกระชวย กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง เพราะเงินสะสมเหล่านี้มีอยู่จริงไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท หากรัฐบาลออกครึ่งหนึ่ง ท้องถิ่นออกอีกครึ่งหนึ่ง ก็จะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจฐานรากที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องรอดิจิทัลวอลเล็ตออกมา

พร้อมสอบถามกรณีการเพิ่มสัดส่วนต่างชาติซื้อ อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ที่นายกฯ เป็นต้นคิดและสั่งการกระทรวงมหาดไทยให้เร่งรัดดำเนินการ ซึ่งมาตรการนี้มีผลกระทบในเชิงลบค่อนข้างมาก ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้น ประชาชนที่ไม่มีบ้านได้รับผลกระทบ เพราะไม่มีเงินที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นของต่างชาติและอาจจะต้องไปเช่าบ้านของต่างชาติด้วย แล้วสุดท้ายคนไทยได้อะไรจากมาตรการนี้ สัดส่วนที่เกิดผลต่อเศรษฐกิจคืออะไร

นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า เรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจเรายังทำอย่างต่อเนื่อง บางอย่างไม่ต้องใช้งบประมาณก็ได้ ใช้นโยบาย ใช้การมุ่งมั่น ใช้การประสานงานก็ได้ ส่วนมาตรการขยายเวลาเช่า 99 ปี มันเป็นการเชื่อมต่อกับหลายอย่าง เป็นการเรียกร้องจากฝ่ายต่างประเทศที่อยากให้เพิ่มเวลาเช่าทรัพย์อิงสิทธิ

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า คงไม่ได้เป็นเรื่องการขายชาติ เป็นการให้ศึกษาว่าเหมาะสมหรือไม่ ขอฝากไว้ว่า ต่อไปต้องมาดูว่า ถ้าเกิดทำแล้วจะส่งผลระยะยาวให้กับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยก่อให้เกิดการลงทุนระหว่างประเทศสูงขึ้นหรือไม่ และยืนยันว่า ต้องมีการศึกษาและตั้งใจทำอย่างซื่อสัตย์สุจริต ปราศจากเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนทุกประการ ไม่ได้มีการกดดันใครทั้งสิ้น

“ยืนยันว่ารัฐบาลนี้ ภายใต้การนำของผม จะวิ่งสู้เพื่ออนาคต และพรรคร่วมทุกพรรคในรัฐบาลเราก็จะช่วยวิ่งสู้ต่อไป เพื่อปัจจุบันที่ดีกว่า จะต้องสู้กับแรงค้านที่ไร้อนาคต” นายกรัฐมนตรี กล่าว.-315 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

เฝ้าระวังตลอดคืน พบโดรนปริศนาบินล้ำเขตแดนอรัญฯ

สระแก้ว 3 ส.ค.- พบโดรนปริศนาไม่ทราบฝ่ายบินล้ำแดนจากกัมพูชาเข้ามาในไทย ชาวบ้าน-ชรบ.ในพื้นที่อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เฝ้าระวังตลอดทั้งคืน คืนที่ผ่านมา เวลา 21.00 น. ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยจุดที่ทีมข่าวเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่างจากแนวชายแดนเพียง 2 กิโลเมตร บรรยากาศในพื้นที่ขณะนั้นมีชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ออกมาคอยเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง หลังได้รับแจ้งว่าอาจมีโดรนปริศนาเข้ามาในพื้นที่ ระหว่างที่ทีมข่าวกำลังสัมภาษณ์พูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ พบโดรนลำหนึ่งบินเข้ามาจากเขตชายแดนฝั่งกัมพูชา ล้ำเข้ามาในอาณาเขตประเทศไทยลึกประมาณ 2 กิโลเมตร ขณะที่โดรนลำนั้นลอยอยู่เหนือพื้นที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ใช้ไฟสปอร์ตไลต์กำลังแรงสูงร่วมกับแสงเลเซอร์จากอุปกรณ์ของทหาร ส่องไปยังโดรนปริศนาอย่างชัดเจน ทำให้เห็นลำตัวของโดรนแม้อยู่ในความมืด สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวยังไม่มีการเปิดเผยว่าโดรนลำนั้นมีเป้าหมายใดหรือเป็นของฝ่ายใด ขณะที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงยังคงเพิ่มมาตรการตรวจตราและเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดหรือภัยคุกคามความมั่นคงในพื้นที่ -สำนักข่าวไทย

เปิดภาพทหารไทยบึ้มบันไดช่องคานม้า สกัดเส้นทางขึ้นภูมะเขือ

3 ส.ค. – เปิดภาพทหารไทยบึ้มบันไดช่องคานม้า จ.ศรีสะเกษ สกัดเส้นทางขึ้นภูมะเขือ ห้วงปะทะวันที่ 24-28 ก.ค.ที่ผ่านมา วันนี้ (3 ส.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานเหตุปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24-28 ก.ค.ที่ผ่านมา ทหารได้ทำลายบันไดช่องคานม้า จ.ศรีสะเกษ ซึ่งสามารถขึ้นมาถึงภูมะเขือได้ หลังทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ภูมะเขือ ผลักดันทหารกัมพูชาอยู่บนจะงอยหน้าผาออกไปทั้งหมด พร้อมทำลายกระเช้า และฐานทหารกัมพูชาด้านล่างภูมะเขือ โดยการใช้โดรนติดระเบิด ล่าสุดมีการเผยแพร่ภาพทหารทำลายบันไดช่องคานม้า ในระหว่างยึดพื้นที่ได้จากการเหตุปะทะช่วง 5 วันที่ผ่านมา.-สำนักข่าวไทย

ชาวเชียงใหม่ร่วมจุดเทียนสดุดี 15 วีรบุรุษชายแดน

3 ส.ค.- ชาวเชียงใหม่ ร่วมกันจุดเทียน แสดงความไว้อาลัย สดุดี 15 วีรบุรุษทหารที่พลีชีพปกป้องแผ่นดินไทยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่บริเวณ หน้าลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ตัวเมืองเชียงใหม่ ประชาชนได้รวมตัวทำกิจกรรมร้องเพลง เขียนข้อความ พร้อมโบกธงชาติไทย เพื่อส่งกำลังใจให้กับทหารที่อยู่แนวหน้า ชายแดนไทย-กัมพูชา และร่วมกันร้องเพลงชาติไทย เพื่อเป็นการสดุดีทหาร 15 นายที่พลีชีพในการสู้รบปกป้องอธิปไตย อีกทั้งอ่านรายชื่อทหาร วางพวงหรีดและจุดเทียน แสดงความไว้อาลัยพร้อมทั้งยืนสงบนิ่ง อธิฐานขอให้เจ้าหน้าที่ที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ชายแดนไทย-กัมพูชา ปลอดภัยทุกนาย นอกจากนี้ บริเวณย่านถนนท่าแพ หน้าอาคารพุทธสถานเชียงใหม่ มีการนำภาพทหารที่เสียชีวิตทั้ง 15 นายติดไว้ริมถนนและมีการตั้งโต๊ะเพื่อให้ประชาชน มาวางดอกไม้ แสดงความอาลัย -สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ประชุม 20 ผู้ว่าฯ อีสาน เข้มโดรน-จับตาสถานที่สำคัญ

3 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ประชุม 20 ผู้ว่าฯ จังหวัดอีสาน เข้มมาตรการกำจัดโดรน สั่งจับตาสถานที่สำคัญ ศาลากลางจังหวัด-คลังอาวุธ-สถานีขนส่ง บูรณาการตำรวจจับผู้ก่อเหตุ ดำเนินคดีข้อหาหนัก “ก่อการร้าย-ไส้ศึก” เมื่อวันที่ 3 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า วานนี้ (2 ส.ค.) ได้มีการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 20 จังหวัดภาคอีสาน ผ่านระบบ VTC เรื่องมาตรการกำจัดโดรน โดยให้ผู้ว่าแต่ละจังหวัด ในฐานะ ผอ.กอ.รมน.จังหวัด ให้แต่ละหน่วยงานบูรณาการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและภาคเอกชน ประชาชน จัดหาเครื่องแอนตี้โดรน ป้องกันจังหวัดของตัวเอง โดยเฉพาะเพ่งเล็งในพื้นที่สำคัญ อาทิ ศาลากลางจังหวัด สนามกีฬา คลังอาวุธ สถานีตำรวจ สถานีขนส่ง และสนามบิน นอกจากนี้ให้มีการจัดชุดลาดตระเวนพิสูจน์ทราบบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ หากสามารถควบคุมตัวได้ให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุดในทุกประเด็น เช่น ก่อการร้าย ไส้ศึก โดยโทษหนักสุดถึงขั้นประหารชีวิต คงต้องไปดูข้อกฎหมาย ทั้งนี้ได้กำชับห้ามปล่อยตัวง่ายๆ ต้องตรวจสอบไปถึงต้นตอ […]