นายกฯ ประชุมปราบยาเสพติด ตกใจกวาดยาบ้าเจออาวุธหนัก

กทม. 27 มิ.ย.-นายกฯ ให้กำลังใจตำรวจทั่วประเทศ แนะ “ตำรวจ-ทหาร-ปกครอง-สาธารณสุข” จับมือปราบปรามยาเสพติด ชี้ตั้งเป้าให้สูงและทำให้ได้ รับตกใจกวาดยาบ้าเจออาวุธหนัก

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประชุมผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ จากท่าอากาศยาน 2 กองบิน6 ไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด ตำรวจภูธรภาค1-9 โดยมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ. ตร.รายงานสถานการณ์ปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา


โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร รองผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) รายงานสถานการณ์การเข้ากวาดล้าง ตรวจค้น จับกุมผู้กระทำผิด ว่า ต้องขอบคุณนายกฯ ที่ติดตามการทลายเครือข่ายยาเสพติด ซึ่ง สตช.ได้ดำเนินการตามนโยบายของนายกฯในการปราบปรามยาเสพติด เน้นใช้กฎหมายดำเนินการ และ สามารถทลายเครือข่ายได้ 845 เครือข่าย ในพื้นที่ตำรวจภูธร 1-9 กว่า 2,000 เป้าหมาย ในพื้นที่โดยจ.อยุธยา สามารถจับกุมได้กว่า 2ล้านเม็ด และขยายผลไปที่จ.ปทุมธานี กว่า 1 ล้านเม็ด รวมจับกุมได้กว่า 3 ล้านเม็ด

ทั้งนี้ในวันเดียวสามารถจับกุม 1,695 คดี มีผู้ต้องหา 1,704 คน มูลค่ายึดทรัพย์กว่า 328 ล้านบาท ส่วนการจับกุมระดับภาคพบมากสุดที่ภูธรภาค 4 และภาค9


ขณะที่ นายกฯ ได้สอบถามว่า ระหว่างการจับกุมว่ามีการต่อสู้หรือไม่ โดยพบว่ายังไม่มี แต่พบอาวุธหนัก ทำให้นายกรัฐมนตรีตกใจ และกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้เร่งปราบปรามยาเสพติดให้

นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ตนจะลงไปติดตามปัญหายาเสพติดที่จ.น่าน และได้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของเจ้าที่ทุกคนที่พยายามทำงานเร่งด่วนไม่เฉพาะแค่รัฐบาล แต่เป็นปัญหาของทุกหน่วยงาน ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองต้องขอบคุณและเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกนาย และจากการนำเสนอรายงานรู้สึกตกใจว่ายังมีเรื่องของการใช้อาวุธหนัก ดังนั้นในระหว่างการกวาดล้างให้เจ้าหน้าที่ทุกคนระวังความปลอดภัยด้วย

แม้ว่าวันนี้เราจับกุมได้มากและทุกคนทำงานหนัก แต่ปัญหานี้ต้องยอมรับว่ายังไม่หมดสิ้นไปยาบ้าราคายังไม่ขึ้นและมีความต้องการที่สูงอยู่ จึงขอให้มุ่งมั่นในการทำงานต่อไปเมื่อมีเป้าแล้วขอให้ยกเป้าหมายให้สูงอีกเพื่อให้เกิดความท้าทาย ขอให้ทำงานทุกวัน เน้นย้ำตามตะเข็บชายแดนซึ่งเป็นจุดที่รั่วไหลของยาเข้ามาเยอะมาก


“ขอให้บูรณาการ ทำงานทั้งฝ่ายปกครอง ทหารตำรวจ ให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวเป็นเรื่องสำคัญ อย่าต่างคนต่างทำให้แชร์ข้อมูลกันสม่ำเสมอ และเข้ามาประชุม นำปัญหามาพูดคุยกัน หากขาดแคลนอุปกรณ์และกำลังคนในเรื่องไหน ให้บอกมา รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเต็มที่“ นายกรัฐมนตรี ระบุ

นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอให้ทหาร ปกครอง สาธารณสุข ทำงานอย่างจริงจังและมุ่งมั่นจะทำให้ปัญหานี้สำเร็จให้ได้เพราะเป็นปัญหาใหญ่ตั้งแต่สมัยที่ตนหาเสียง จนมาเป็นนายกฯไม่ว่าจะลงไปจังหวัดไหนในภาคอีสาน นอกจากปัญหารายได้แล้ว ปัญหายาเสพติด ยังเป็นปัญหาใหญ่เพราะหลายคนน้ำตานองหน้าเพราะลูกหลานยังติดยาเสพติดจำนวนมาก เราต้องทำงานให้หนักตั้งเป้าให้ท้าทายมากกว่านี้

จากนั้นนายก​รัฐมนตรี​และคณะ​ เดินทางไปยังจังหวัดน่าน เพื่อศึกษาต้นแบบการบูรณาการจัดการปัญหายาเสพติดในพื้นที่ โดยนายกรัฐมนตรี รับฟังปัญหาเรื่องยาเสพติดและให้กำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ ณ มณฑลทหารบกที่ 38 ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน

ก่อนที่นายกรัฐมนตรี และคณะจะเดินทางต่อไปยัง​ วัดสุทธาราม ตำบลท่าวังผา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน​ เพื่อศึกษาต้นแบบการบูรณาการจัดการปัญหายาเสพติดในพื้นที่​ ก่อนที่จะเดินทางกลับในเวลา​ 15.00 น..-316.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ล่าหนุ่มโมร็อกโก ฆ่าโหดหมอแซมมี่ เผ่นหนีฮ่องกง

ตำรวจประสานตำรวจสากล เร่งล่าตัวแฟนหนุ่มชาวโมร็อกโก ผู้ต้องสงสัยฆ่าโหดหมอแซมมี่ แพทย์ความงามสาวสอง เจ้าของคลินิกเวชกรรมชื่อดังเชียงใหม่ พบเผ่นหนีไปฮ่องกงแล้ว

ผู้เสียหายร้องตำรวจ ปคบ.ตรวจสอบบริษัท K4 ชวนลงทุนซิม-ตู้เติมเงิน

ผู้เสียหายร้องตำรวจ ปคบ.ตรวจสอบบริษัท K4 ชักชวนลงทุนซิมและตู้เติมเงิน อ้างสิทธิ กสทช. พบมีผู้เสียหาย 5,000 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,000 ล้านบาท

รถตู้กลับจากแข่งเรือเสียหลักชนต้นไม้ ดับ 4 เจ็บ 9

สลด! รถตู้กลับจากแข่งเรือยาวที่ จ.ปทุมธานี เสียหลักพุ่งชนต้นไม้ บนถนนสายลำปาง-งาว จ.ลำปาง เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 9 ราย

ตั้ง กก.สอบ 7 ตำรวจ บก.จร.ทำร้ายลูกชายอดีต ตร. พ่อยันเอาเรื่องถึงที่สุด

กองบังคับการตำรวจจราจร ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรง 7 ตำรวจ บก.จร. รุมทำร้ายลูกชายอดีตตำรวจ พ่อและน้องสาวยืนยันไม่ยอมความ เอาเรื่องถึงที่สุด พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย

ครอบครัวผู้เสียหายที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เผยอาการยังสาหัส ยันไม่ยอมความ แม้มีกระเช้าปริศนามาให้แล้ว 3 กระเช้า พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผยพฤติกรรมตัวเอง ด้าน รอง ผบช.น. ยันตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่กระทำไป

ครอบครัวของผู้บาดเจ็บที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เดินทางไปพบพนักงานสอบสวน และชุดสืบสวนของ สน.บางเขน ก่อนเดินไปชี้จุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่าน และเป็นจุดเดียวกับที่ตำรวจพาผู้บาดเจ็บเข้ามาจอดรถไว้หลังก่อเหตุทำร้ายร่างกาย เพื่อตรวจสอบว่ารถของผู้บาดเจ็บเป็นรถคันเดียวกับที่ได้ขับแหกด่านหรือไม่ โดยก่อนการชี้จุด พ่อและน้องสาวของผู้ได้รับบาดเจ็บเดินทางมาพร้อมกับร้อยเวร สถานีตำรวจนครบาลบางเขน เจ้าของพื้นที่ เพื่อชี้จุดและให้ข้อมูลกับตำรวจเพิ่มเติม ระหว่างรอตัวผู้บาดเจ็บพักรักษาตัวจนสามารถเข้าให้การกับตำรวจได้

นางสาวธนัชตา น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกว่า พี่ชายยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จุดที่น่าเป็นห่วงคือบริเวณศีรษะทั้งหมด โดยเฉพาะดวงตาขวามีเลือดออก การมองเห็นยังไม่ปกติ ส่วนตามร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำ แต่ยังโชคดีที่ไม่มีส่วนใดต้องผ่าตัด

เหตุการณ์ครั้งนี้รู้สึกรับไม่ได้ ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเข้าข้อกฎหมายข้อไหนพร้อมจะต่อสู้ มองว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เพราะพี่ชายของตนไปคนเดียวและไม่มีอาวุธ แต่คู่กรณีเป็นถึงตำรวจ และมีด้วยกันถึง 7 นาย ทันทีที่รู้เรื่องตนเองรีบเดินทางมาที่ด่านทันที พยายามสอบถามว่าตำรวจนายไหนเป็นคนทำพี่ชายของตนเอง แต่ไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งพี่ชายพยายามบอกแล้วว่าไม่ใช่คนขับรถหนีด่าน

นางสาวธนัชตา ยังฝากถึงตำรวจตั้งด่านทุกนายว่าทุกคนมีกล้องติดหน้าอก ตนเองพยายามขอดูแต่มีการอ้างว่ากล้องเสียบ้าง เปิดไม่ได้บ้าง จึงอยากฝากไปถึงตำรวจตั้งด่านในวันนั้นทุกนายให้เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย เพื่อเป็นการยืนยันเหตุการณ์ทั้งหมด เพราะเหตุการณ์วันนั้นตนเองก็มีหลักฐาน รวมถึงพยานคือคนที่เข้าด่านตรวจก็เห็นทุกคนว่าเหตุการณ์ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น อยู่ที่ตำรวจจะกล้าหรือไม่กล้า

น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกอีกว่าเมื่อวานนี้ (4 ธ.ค.) มีกระเช้าผลไม้-ดอกไม้ปริศนา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของใคร หรือของตำรวจสังกัดใดบ้างนำมาเยี่ยม ขอย้ำว่าไม่ขอรับกระเช้า เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านำเอามาให้ด้วยเหตุผลอะไรแอบแฝง

ด้าน พันตำรวจโท ธนชัย เกิดศรี หรือสารวัตรเจี๊ยบ อดีตพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. ซึ่งเป็นพ่อของผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจรมาก่อนไปอยู่ บก.ปทส. ตามปกติแล้วตำรวจมีขั้นตอนในการใช้ยุทธวิธีเพื่อจับผู้ต้องหาด้วยเครื่องพัฒนาการอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุแบบนี้ กรณีหากผู้ต้องหามีการต่อสู้หรือขัดขวาง ตำรวจไม่มีสิทธิที่จะไปรุมทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ซึ่งจะพยายามเลี่ยงการใช้กำลังให้น้อยที่สุด การจับกุมตำรวจต้องมีการแสดงตัวเป็นตำรวจ พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าทำอะไรผิด จากนั้นจะเชิญตัวมาที่ด่านหรือโรงพักในพื้นที่ เพื่อดำเนินการสอบปากคำและพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่คาดคิดว่าจะมาเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เพราะมีโซเชียลเป็นหูเป็นตา ยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย แม้ว่าจะให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาพูดคุยก็ตาม เมื่อวานนี้ทางพยาบาลแจ้งว่ามีตำรวจนำกระเช้ามามอบให้แล้ว 3 กระเช้า แต่ตนไม่รับ เพราะไม่รู้ว่ามาด้วยวัตถุประสงค์อะไร และไม่รู้ว่าเป็นของหน่วยงานใด เนื่องจากพยาบาลแจ้งแค่ว่าเป็นตำรวจเท่านั้น

ส่วนความคืบหน้าคดี พันตำรวจเอก อนันต์ วรสาตร์ ผู้กำกับการ สน.บางเขน ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สอบปากคำน้องสาวและแม่ของผู้บาดเจ็บในฐานะพยาน ส่วนผู้บาดเจ็บตอนนี้แพทย์ยังไม่อนุญาตให้พนักงานสอบสวนเข้าไปสอบปากคำ เนื่องจากยังอยู่ในอาการสาหัส

ส่วนกรณีผู้ก่อเหตุทั้ง 7 นายที่เป็นตำรวจ ตอนนี้ยังไม่มีการสอบปากคำ เนื่องจากพนักงานสอบสวนอยากทราบพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุจากผู้เสียหายก่อน ยืนยันว่าจะไม่มีการช่วยเหลือแม้ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจะเป็นตำรวจก็ตาม

ด้าน พลตำรวจตรี ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งดูแลรับผิดชอบงานจราจร ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เบื้องต้นผู้บังคับการตำรวจจราจรกลาง รายงานมาเบื้องต้นว่าผู้ก่อเหตุที่เป็นตำรวจทั้ง 7 นาย บอกว่ามีการเข้าใจผิด คิดว่าจะขับรถแหกด่านจึงมีการตามไป ก่อนที่ผู้เสียหายจะมีการขัดขืน ทำให้ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องใช้กำลังในการระงับเหตุ ยอมรับว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุจริงๆ ตอนนี้ทราบว่ากองบังคับการตำรวจจราจรมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงขึ้นแล้ว ส่วนทางคดีอาญาอยู่ที่ สน.บางเขน

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องชี้แจงและยอมรับกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป รวมทั้งอาจจะต้องทบทวนเรื่องยุทธวิธีที่่ใช้ในการระงับเหตุ แต่ยืนยันว่าตำรวจไม่เคยมีวิธีระงับเหตุด้วยการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด.-414-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ชายขับเก๋งแดงแหกด่านเข้ารับทราบ 3 ข้อหา

ชายขับเก๋งแดงแหกด่าน เข้ารับทราบข้อกล่าวหา พร้อมขอโทษหลังเป็นชนวนเหตุตำรวจทำร้ายผิดตัว แต่ยังไม่ตอบคำถามว่าเมาหรือไม่

สธ.ยืนยันนักร้องสาวเสียชีวิตไม่ได้เกิดจากนวดบิดคอ

“สมศักดิ์” ยัน “ผิง ชญาดา” ไม่ได้นวดบิดคอเสียชีวิต ชี้ผลตรวจ MRI ไม่มีกระดูกคอหักหรือเคลื่อน เผยผลวินิจฉัยเป็น “โรคไขสันหลังอักเสบ” จนติดเชื้อในกระแสเลือด ขอประชาชนมั่นใจ ไม่เกี่ยวการนวด