ทำเนียบฯ 22 มิ.ย.-นายกฯ เผยไปต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ดึงดูดนักลงทุน บอกหลายประเทศสนใจลงทุนในไทย พร้อมนำผลิตภัณฑ์ของฝากจากชาวบ้าน ไปโชว์ให้ต่างชาติเห็นถึงความสวยงาม
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คุยกับเศรษฐา” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เวลา 08.00 – 08.30 น. ถึงการเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งมีคนบอกว่าเดินทางไปเยอะมาก ว่า ไม่ได้แก้ตัว แต่ว่าเรื่องของการไปต่างประเทศ จริงๆ แล้วตนเองไปมา 15 ครั้ง กว่าครึ่งเป็นไฟท์บังคับ เป็นเรื่องของการไปอาเซียน-เจแปน การไปแนะนำตัว หรือว่าไปจีน หรือว่าไปกัมพูชา ไปสิงคโปร์ ไปมาเลเซีย ไปออสเตรเลีย เป็นอาเซียน-เจแปนครบ 50 ปี ซึ่งจะไม่ไปนั้นไม่ได้ หรืออย่างไปศรีลังกา เซ็นสัญญา FTA ซึ่งรัฐบาลเดิมทำไว้แล้ว ก็ไปเป็นเกียรติ ไปงานลงนาม ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าในรัฐบาลก่อน เรื่องของลำดับความสำคัญของเขา เขาอาจจะทำเรื่องอื่นที่เขาเห็นความสำคัญมากกว่า แต่ตอนนี้มาถึงตรงนี้ เรื่องการค้าระหว่างประเทศ เรื่องของความอ่อนบางทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้การลงทุนข้ามชาติมาที่ประเทศไทยเป็นเรื่องที่สำคัญ
“ถ้าเราไม่ไปเชื้อเชิญและไปบอกเขาว่าประเทศไทยเปิดแล้ว ไม่มีเวลาไหนที่จะดีเท่าเวลานี้ที่มาลงทุนที่ประเทศไทย เขาจะทราบไหม ตนเองว่าต้องไป แล้วการลงทุนกลับมาแต่ละครั้งเป็นหมื่นล้านเป็นแสนล้าน ซึ่งแน่นอนว่ายังไม่เกิดขึ้น อาจจะอยู่ขั้นตอนการพิจารณา บางอันก็จะเกิด บางอันเกิดแน่ ๆ บางอันก็ไม่แน่ว่าจะเกิด หรือบางอันก็ไม่เกิดก็มี แต่ว่าการทำงานเราต้องทำทั้งหมดทุกประเทศ เราต้องไปทุกบริษัทที่เขามีศักยภาพมาลงทุนในประเทศไทยได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นหน้าที่ของตนเอง” นายเศรษฐา กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมกับผู้นำและภาคเอกชนเวลาไปเมืองนอกต้องใช้เวลาให้คุ้มค่า การประชุมที่ดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งจะมี 19 หรือ 23 วงในวันเดียว ถือว่าเยอะมาก แต่ตนเองก็ยังบอกกับทีมว่า ถ้าปีหน้า มีห้องประจำของเราเองสองห้อง แล้วก็สลับเข้าสลับออก ตนเองว่า 30 วงน่าจะทำได้ ทั้งนี้ 12 ปีที่ผ่านมาไม่มีผู้นำของเราไป World Economic Forum มาเลย พอเราไป คนก็ให้ความสนใจ อย่างที่ไปมาก็ AstraZeneca บริษัททำยา ซึ่งเข้าหุ้นกับปูนซีเมนต์ไทย
“ผลการไปต่างประเทศ โดยรวมแล้วเป็นบวกมาก เพราะได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ ประเทศไทยเหมาะสมสำหรับการลงทุน บางเรื่องได้รับการประสานงานร่วมกันระหว่างผู้แทนการค้าไทย บีโอไอ และหลาย ๆ หน่วยงาน รวมถึงสถานทูตไทยได้เชิญชวนกันไปโฆษณาว่าประเทศไทยมีอะไรดี ไม่ว่าจะเป็นพลังงานสะอาด เราพร้อม Incentive จากบีโอไอ เรามีเหนือกว่าประเทศอื่น เรามีรอยยิ้ม เรามีค่าครองชีพที่เหมาะสม เรามีโรงเรียนนานาชาติที่ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เรามี Health care system ที่มีมาตรฐานสูงกว่าหลาย ๆ ประเทศ นักลงทุนจากต่างประเทศที่เขาจะย้ายถิ่นฐานมาเขามีความมั่นใจ เรื่องของการที่เรามีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเยอะ ทำให้เขาเมื่อมาลงทุนแล้วเขามั่นใจว่าที่นี่มั่นคง” นายเศรษฐา กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงจุดยืนการทูตของไทยว่า เราไม่เป็นคู่ขัดแย้งกับประเทศไหน ที่ตนเองเดินทางไปต่างประเทศมาจากการลงทุน จาก EU หรือจากออสเตรเลีย หรือจากจีน หรือจากสหรัฐอเมริกา ทุกประเทศอยากมาลงทุนประเทศไทย ถึงแม้จะมีคู่ขัดแย้งกันเองก็ตามที เพราะเขามั่นใจว่าประเทศไทยจะให้ความเป็นธรรมกับทุก ๆ ฝ่าย ถ้าเกิดมีปัญหาเกิดขึ้น ฐานผลิตของเขา Supply chain ของเขาไม่ถูกขัด อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะฉะนั้นทุกคนก็ให้ความมั่นใจกับประเทศไทย เพราะฉะนั้นก็เป็นที่มาที่ไปทำไมเราจึงอยากเป็น Aviation Hub ขยายสนามบินสุวรรณภูมิจาก 60 ล้านคนกลายเป็น 150 ล้านคน สร้างเทอร์มินัล สร้างรันเวย์เพิ่ม แลนด์บริดจ์ทำไมเราจึงอยากมีแลนด์บริดจ์ ในการขนส่ง ไม่ใช่แค่ประหยัดระยะทางที่ลงไปช่องแคบมะละกาอย่างเดียว หรือประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างเดียว ในอนาคตถ้าเกิดมีคู่ขัดแย้งเยอะ แล้วประเทศที่ควบคุมโลจิสติกส์การเดินทางทั้งหลาย ไม่เป็นกลาง ใครทะเลาะกับใคร ใครจะเข้าข้างใครก็ทำให้เส้นทางการขนถ่ายสินค้าเขามีปัญหา แต่ถ้าเกิดว่าเราเป็นประเทศเป็นกลาง อย่างไรเสียเขามั่นใจว่าการดูแลการขนถ่ายสินค้าของทุก ๆ ประเทศจะได้รับการดูแลอย่างเป็นธรรม ตนเองเชื่อว่าการตัดสินใจมาลงทุนของเขา ก็จะมีความเป็นไปได้สูงขึ้น
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า การเดินทางไปต่างประเทศไปเพื่อแนะนำตนเอง และที่สำคัญคือนำมาซึ่งความมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย จากการลงทุนที่ต่างชาติเขาจะมาขยายการลงทุนที่ประเทศไทย แต่ว่าทุกๆ อย่างใช้เวลา อย่างเช่น เราจะ Move จากอุตสาหกรรมที่มีกำไรน้อยไปสู่อุตสาหกรรมกำไรสูง Low tech เป็น High tech Industry ไม่ได้สร้างได้ภายในวันเดียว ต้องมีวิธีการหลาย ๆ อย่าง ตนเองเชื่อว่ามีอะไรต้องทำควบคู่กันไป โดยเร็ว ๆ นี้จะประชุมกับรัฐมนตรี อว. เรื่องของการที่เราจะต้องยกระดับ Skillsets ของ Worker ไทย เรื่องของการที่สถาบันอุดมศึกษาของไทยมี Arrangement กับบริษัทยักษ์ใหญ่ มี Training program แทนที่จะเทรนกันแค่สามเดือน เขาขอร้องให้ อว. ออกมาเลย เทรนมาเลยเก้าเดือน ปีหนึ่ง แล้วก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของ Curriculum ด้วย เวลาจบไปก็จะได้ทำงานต่อได้เลย ทีนี้ก็พยายามพูดคุยกันต่อ มีเรื่องของรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราต้องคุยกันเยอะ
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงของฝากจากประชาชน ในการลงพื้นที่ว่า ส่วนมากเป็นผลิตภัณฑ์ศิลปะต่าง ๆ อย่างเช่น ไป จ.เพชรบุรี ประชาชนให้ผ้าพันคอ เป็นผ้าเพ็ชรราชวัตร คล้ายๆ ผ้าลินินสวยมาก และยังมีผ้าดอนกลอย ซึ่งเมื่อครั้งที่ตนเองไปฝรั่งเศสกับอิตาลีได้นำไปแจก และทำมาแจกทูตานุทูตทั่วประเทศ ซึ่งตนเองได้ไปดูวิธีการย้อม คือจริงๆ แล้ว ครามใช้เป็นใบย้อมออกมาทีแรกก็เป็นสีเขียวพอสะบัด ๆ ก็กลายเป็นสีน้ำเงินเหมือนกางเกงยีนส์
“เมื่อเดือนที่แล้วไป ZEGNA มาไปอิตาลีมาไปเจอกับ CEO ก็นำของไปให้เขาดูมีหลาย ๆ อย่าง โดยได้บอกเขาว่าเราอยากจะผลักดัน เขาก็บอกยินดี ยังมีผืนที่ไปผูกให้กับท่านประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสีธงชาติฝรั่งเศสเหมือนธงไทยแดงขาวน้ำเงิน ถือว่าฝรั่งเศสเป็นเมืองแห่งแฟชั่น อย่างน้อยเราก็มีความภาคภูมิใจ ไม่ได้อายอะไร ผูกด้วยความภาคภูมิใจ” นายเศรษฐา กล่าว
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า นอกจากผ้าพันคอ ยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น กระเป๋ากระจูดรายา จากนราธิวาส ซึ่งจำได้ที่ฝรั่งเศสกำลังจะไปประชุมพอดี นำเอาผ้าขาวม้ามาพาดแล้วดูเก๋เท่ ทำให้ทุกคนสนใจมาก พร้อมย้ำว่า ทั้งหมดเป็นผ้าที่ชาวบ้านให้ ไม่ได้ไปแอบซื้อ และได้เลือกนำไปใช้ นำไปโชว์ให้ต่างประเทศเห็นถึงความสวยงาม ผลักดันสินค้าจาก ฝีมือของชาวบ้านให้ต่างชาติได้เห็น.-315.-สำนักข่าวไทย