หวั่นเลือกสว.มีปัญหา แนะกกต.แก้ระบียบ

กรุงเทพฯ 9 พ.ค.-นักวิชาการชี้ กกต. เขียนกติกาเป็นปัญหา ส่อบานปลาย ถึงประกาศผลเลือกสว.ไม่ได้ แนะกกต.ปรับแก้ ด้านไอลอว์รอลุ้นศาลปกครอง ตัดสิน ระเบียบ กกต.ห้ามแนะนำตัว ด้าน “เสรี” มองโอกาสฮั้วเกิดได้ แต่ไม่ทั้งหมด แนะทางออกปัญหาให้ กกต.รับรองไปก่อน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดเวทีราชดำเนินเสวนา เรื่อง เลือกสว.กติกาใหม่ ใครได้ใครเสีย โดยมีนักวิชาการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดย นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล นักวิชาการคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  กล่าวว่าการเลือกสว.ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศว่าจะประกาศผลเลือกได้ในวันที่ 2 ก.ค. ต้องจับตาว่าจะประกาศได้จริงหรือไม่ เพราะขั้นตอนการเลือกมีความซับซ้อน อีกทั้ง ระเบียบของกกต.​ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสว. นั้นถือว่าเป็นปัญหา และมีรายละเอียดที่จำกัดสิทธิเสรีภาพเกินกว่าเหตุ และอาจทำให้การเลือกนั้นไม่โปร่งใส อย่างไรก็ดีตนมองว่าการออกระเบียบกกต. ตามที่เป็นอำนาจตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ.2561 แต่ระเบียบที่กกต.ประกาศใช้มีเนื้อหาที่เข้าข่ายขัดหรือแย้งกับ พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว. และรัฐธรรมนูญ

นายปริญญา กล่าวว่า ระเบียบของกกต.มีปัญหา เช่น ให้ผู้สมัครแนะนำตัวทางอิเล็กทรอนิสก์ด้วยตนเองเท่านั้น  หมายถึงแนะนำตัวด้วยวิธีอื่นไม่ได้ พร้อมกับกำหนดบทลงโทษหากฝ่าฝืน เช่น โทษจำ โทษปรับ เพิกถอนสิทธิ ซึ่งตนมองว่า กกต.​ไม่ใช่ฝ่ายนิติบัญญัตติที่สามาถของกฎเอง ทั้งนี้สามารถทำได้ตามกรอบของพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว.ไม่ใช่ให้อำนาจกกต. ทำเกินกว่าที่กฎหมายลูกและรัฐธรรมนูญกำหนด


“ขอเรียกร้องให้กกต.แก้ไขระเบียบกกต.ที่จำกัดสิทธิผู้สมัครเกินเหตุควรแก้ไข และมีวิธีให้ผู้สมัครรู้จักกันข้ามอำเภอ รวมถึงกำหนดรายละเอียดให้การเลือกโปร่งใส ผ่านการเปิดโอกาสให้ประชาชนสื่อมวลชนสังเกตการณ์และตรวจสอบ โดยใช้อำนาจผู้อำนวยการเลือกทุกระดับ  คือ เปิดเผยการบันทึกภาพและเสียงการเลือกทุกกลุ่ม ทุกระดับ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ทั้งนี้เชื่อว่าเมื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนตรวจสอบจะทำให้เกิดความโปร่งใส รวมถึงอนุญาตผู้สังเกตการณ์ สื่อมวลชน เข้าสังเกตการณ์ในการเลือก ทั้งนี้กกต. ยังไม่ได้แสดงความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว ซึ่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอฐานะเจ้าหน้าที่คงไม่กล้า ดังนั้น กกต.ควรดำเนินการ หารือกับสมาคมนักข่าวเพื่อกำหนดแนวทางที่ชัดเจนว่าผู้ใดเป็นสื่อและสามารถบันทึกภาพเสียง นำกล้องเข้าไปในพื้นที่ได้”  นายปริญญา กล่าว

นายปริญญา กล่าวว่า สิ่งที่กกต.ควรทำ คือ การกำกับการทำผิดกฎหมาย เช่น การจูงใจให้สมัครด้วยทรัพย์สินหรือสัญญาว่าจะให้ ส่วนกรณีการชักชวนให้ประชาชนสมัครสว. มากๆ โดยไม่มีการจูงใจโดยทรัพย์สิน ไม่เป็นความผิดตามมาตราใด รวมถึงการมีเว็ปไซต์หหรือกิจกรรมทำได้ และถือเป็นเรื่องดีมีผู้สมัครจำนวนมาก การตัดสินใจโดยอิสระเป็นสิทธิของประชาชน สำหรับกติกาการเลือกสว. ที่กำหนดให้มีผู้ร้องคัดค้านได้ ตนเชื่อว่าจะมีผู้สมัครสว. หลักแสนคน การคัดค้านจะมีจำนวนมาก ดังนั้นวันที่ 2 ก.ค.ที่กกต. ระบุว่าจะประกาศผลการเลือกตั้ง จะทำได้หรือไม่ ดังนั้นหลักการที่แก้ไขประเด็นที่จะเป็นปัญหา คือ หลักการความโปร่งใส ให้สาธารณ และสื่อมวลชนตรวจสอบการเลือกได้

“ผมเชื่อว่าการประกาศผลเลือกตั้ง 2 ก.ค. ทำไม่ได้ เพราะมีปัญหามาก และมีคนร้องคัดค้านจำนวนมากจากกติกาที่กำหนดไว้ให้ร้องคัดค้านทุกระดับ เมื่อมีการคาดการณ์ถึงปัญหา กกต. รีบแก้กติกาก่อนมีพระราาชกฤษฎีกาเลือก สว. ทั้งนี้รัฐธรรมนูญกำหนดให้ สว.ปัจจุบันทำหน้าที่ไปจนกว่ามี สว.ชุดใหม่ ดังนั้นเมื่อมีปัญหาจะไม่มีกรอบเวลา เมื่อไม่มีสว.ใหม่  สว.ปัจจุบันจะอยู่ได้นานเท่านาน” นายปริญญา กล่าว


ด้านนายรัชพงษ์ แจ่มจิรไชยกุล ไอลอว์ กล่าวถึงกรณีที่ศาลปกครองเตรียมไต่สวนนัดแรกวันที่ 16 พ.ค. ตามทีมีผู้ยยื่นคำร้องให้พิจารณาระเบียบ กกต.ว่าด้วยการแนะนำตัวขัดกับรัฐธรรมนูญนั้น ต้องติดตามฟังผลอีกครั้ งทั้งนี้หากศาลปกครองยกคำร้อง คงต้องกลับมาพิจารณาและศึกษาระเบียบอีกครั้งว่ายังเหลือประเด็นใดที่ทำได้หรือไม่

“การแนะนำตัวกับผู้สมัครเท่านั้น ส่งเสริมให้เกิดกระบวนการฮั้วกัน และยิ่งกกต.ไม่มีแพลตฟอร์มให้ทำความรู้จักกัน เชื่อว่าจะส่งเสริมให้เกิดการฮั้วได้แน่นอน ทั้งนี้การสมัครจำนวนมาก เชื่อว่าจะทำให้กระบวนการฮั้วกันทำได้ยาก ส่วนการเลือกไขว้ทำให้การฮั้วยาก เพราะการไขว้คือการสุ่ม หากเขาจะฮั้วต้องซื้อทุกกลุ่ม ดังนั้นเป็นเรื่องยากหากมีผู้สมัครจำนวนมาก ดังนั้นการรณรงค์ให้สมัครโหวตไม่ผิด” นายรัชพงษ์ กล่าว

ส่วนนายเสรี สุวรรณภานนท์ สว.ฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา กล่าวว่า ตนมองว่าการออกระเบียบของ กกต. นั้น กกต.ทราบว่ามีปัญหา เพราะต้องการคุมให้การแนะนำตัวให้ทำได้อย่างเท่าเทีม จึงนำรายละเอียดใส่ในระเบียบแบบหยุมหยิม อย่างไรก็ดีการออกระเบียบกกต.นั้น ตนมองว่ามีความไม่แน่ใจในระเบียบตัวเอง จึงเปิดช่องให้คลายระเบียบตัวเอง ตามที่ระบุไว้ในระเบียบกกต. ว่าด้วยการเลือกสว. พ.ศ.2567 ข้อ5 ที่กำหนดให้ ประธาน กกต. รักษาการตามระเบียบ แต่วรรคสองกำหนดว่า กรณีใดที่ไม่ได้กำหนดไว้หรือมีเหตุจำเป็น กกต. อาจยกเว้น หรือผ่อนผันการปฏิบัติตามระเบียบได้ อย่างไรก็ดีตนมองว่าการประกาศผล กกต. อาจใช้วิธีเดียวกับสส. คือ รับรองไปก่อน หากกระบวนการไม่สุจริต เที่ยงธรรม ทำผิดกฎหมายชัดเจน กกต. ต้องรับผิดชอบ

นายเสรี กล่าวถึงคำถามการฮั้วว่า ประเมินมีโอกาสเป็นไปได้แต่ไม่ใช่ทั้งหมด การฮั้วกันอาจเกิดจากฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม ผู้สมัครบางกลุ่มที่รู้เห็นเป็นใจรวมตัวกันและให้คะแนนกันในกลุ่ม แต่เชื่อว่าจะไม่ใช่ทั้งหมด  อย่างไรก็ดีตนมองว่าการเลือกสว.ต้องคำนึงความเป็นจริงของการเมือง การเข้าสู่กระบวนการการเป็นตัวแทนของประชาชนในระบบที่กำหนดไว้ แต่การพูดว่าการเลือกที่จำกัด การเลือกไขว้ จะทำให้หาคะแนนได้อย่างไร ทั้งนี้คนที่รับเลือกทำหน้าที่ มองว่า มีชื่อเสียงได้เปรียบ ต้องดูว่ามีเชื่อเสียงแบบใด หากชื่อเสียงทางร้าย เป็นผู้มีอิทธิพล เชื่อว่าไม่มีใครเลือก

“กรณีที่มีคนระดมช่วยเหลือพรรคพวก ตั้งใจมาเลือกคนอื่น เชื่อว่าจะมีแต่มีไม่มาก และเชื่อว่าผลคะแนนจะเท่ากันเยอะ หากเท่ากันกฎหมายกำหนดให้จับสลาก อาจมองได้ว่าสว.ชุดจับสลาก ที่จริงควรเขียนกฎหมายไว้แค่สมัครเพื่อมาจับสลากก็พอ ดังนั้นระบบถูกสร้างไว้แล้ว คงไม่มีอะไร 100% แต่จะได้เท่าที่ได้ อย่าทำกติกาที่ตึงเกินไป แต่ควรทำกติกาที่ยุติธรรมและเป็นธรรม” นายเสรี กล่าว

นายเสรี กล่าวว่า สำหรับการจัดกลุ่มเพื่อหวังผลต่อการเลือกสว. นั้น อาจเป็นเหตุให้การเลือกไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรมได้ อีกทั้งตนมองว่าวิธีดังกล่าวถือเป็นการเอาเปรียบบุคคล ซึ่งปัญหาที่ยกมาอาจกลายเป็นเงื่อนไขทำให้ว่าการเลือกสว. ไม่สุจริตเที่ยงธรรม และทำให้ สว.รุ่นตนอยู่ยาว ซึ่งตนไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะพวกตนอยู่นานแล้ว ต้องการสว.รุ่นใหม่เข้ามาทำงานให้บ้านเมือง พวกตนอยู่สมควรแก่เหตุแล้ว ไม่อยากอยู่นานเกินเหตุ ต้องการคนใหม่เข้ามาเพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในตอนท้าย นายปริญญาตั้งคำถามกับนายเสรีว่า กรณีที่ระหว่างที่สว.ชุดเก่ารักษาการ จะมีผู้ยื่นตีความอำนาจของสว.ในการโหวตนายกฯ หรือไม่ รวมถึงอำนาจตามกฎหมายของสว.ที่มีอยู่ โดยนายเสรี กล่าวว่า การยื่นตีความนั้นมีแต่การพูด ไม่เห็นตัวเห็นตน อย่างไรก็ดีตนมองว่าเมื่ออำนาจ หน้าที่หมด คือ หมดไปอย่าแสวงหา

ส่วนกรณีที่คาดว่า หากสว.ใหม่ยังทำหน้าที่ไม่ได้ สว.ชุดปัจจุบันต้องทำหน้าที่ตามกฎหมาย  เช่น การเลือกกรรมการองค์กรอิสระ เป็นต้น.-312.-สำนักข่าวไทย       (311)

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

“ภูมิธรรม” ถก สมช.-ครม.นัดพิเศษ พิจารณาข้อตกลงหยุดยิง

ทำเนียบรัฐบาล 6 ส.ค.- “ภูมิธรรม” ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ พิจารณาข้อตกลงหยุดยิงไทย-กัมพูชา ด้าน “บิ๊กเล็ก” ตั้งเกณฑ์วัดความจริงใจกัมพูชา 3 ระดับ บอกผ่าน GBC ระดับเลขาฯ แล้ว เบื้องต้นบรรลุข้อลงหยุดยิง ตามข้อเสนอ 8 ข้อ ขอรอดูปฏิบัติจริง ย้ำ MOU43 ยังมีประโยชน์เป็นข้ออ้างกล่าวหาเขมรได้-ขอสบายใจ ยึดประโยชน์ชาติ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีรัฐพิเศษเพื่อที่จะรับรองข้อตกลงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ภายหลังคณะเลขานุการ GBC ไทย ได้เดินทางไปยังประเทศมาเลเซียเพื่อหารือในวงเล็กมาก่อนหน้านี้ โดยบรรยากาศการประชุมมีบรรดารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอาทิ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายชูศักดิ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย รวมถึงคณะเลขานุการ GBC เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง พลเอกณัฐพล เปิดเผยก่อน การประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) […]

ศบ.ทก. เผย GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย จ่อชง สมช.-ครม.นัดพิเศษ

ทำเนียบ 6 ส.ค.- ศบ.ทก. เผยข่าวดี ที่ประชุม GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย พร้อมเตรียมเสนอให้ สมช. – ครม. นัดพิเศษ พิจารณาเย็นนี้ ก่อน รมช.กห. เดินทางร่วมลงนามพรุ่งนี้ ด้าน กต. เตรียมประชุมทูตทั่วโลก เพื่อชี้แจงสถานการณ์ให้นานาชาติเข้าใจ หลังพาองค์การระหว่างประเทศเยี่ยม 18 เชลยศึก ขณะที่ผ่อนปรนให้โดรนเพื่อการเกษตรบินได้หลัง 15 ส.ค.นี้ พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทบ.) และนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมกับนางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ภายหลังจากการประชุมความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือตรีสุรสันต์ แถลงว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในส่วนของความมั่นคงในห้วงที่ผ่านมา สถานการณ์โดยทั่วไปอยู่ในสภาวะปกติ มีการเสริมที่มั่นทางทหารในพื้นที่บางส่วน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีการเสริมกำลังทหารแต่อย่างใด ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเช่นเดียวกันก็มีการตรวจพบว่ามีการใช้โดรนเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในสถานการณ์ไทยห้ามบินโดรนทั่วประเทศ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยังเข้มงวดในการสกัดกั้น ตรวจตรา ตรวจสอบ รวมทั้งดำเนินการตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 15 […]

กกพ.จี้ MEA แจงปัญหาไฟดับ

กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จี้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) แจ้งปัญหาไฟดับเป็นบริเวณกว้าง ด้านประชาชนแห่คอมเมนต์ผลกระทบและต้องการเห็นการชดเชย จากปัญหาความเดือดร้อนคนกรุงเทพฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 ส.ค.) เวลา 22.12 น. เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ย่านสะพานควาย เขตพญาไท ถ.ประดิพัทธ์ และ ถ.พระรามที่ 6 และ MEA แก้ไขจนจ่ายครบเวลา 23.50 น. ทางสำนักงาน กกพ.แจ้งว่าได้ประสานให้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) รายงานข้อเท็จจริง และแนวทางการแก้ไขและป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ในขณะที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่างระบุเดือดร้อนจากเหตุไฟดับ ต้องการให้ MEA ชี้แจงสาเหตุที่ชัดเจน บางส่วนก็ชื่นชม แก้ปัญหาได้รวดเร็ว บางส่วนก็ต้องการเห็น การชดเชยจาก MEA เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยไฟดับทั้งอาคาร ดับทั้งไฟสาธารณะ ไฟจราจร สัญญาณอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ MEA ชี้แจงเบื้องต้นสาเหตุเกิดจากความขัดข้องทางเทคนิคของอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้าย่อย ในระหว่างการเตรียมการเพื่อปฏิบัติงานปรับปรุงระบบจ่ายไฟฟ้าตามปกติ, ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ สาเหตุที่แท้จริงของอุปกรณ์ขัดข้องจะชี้แจงต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า […]

ตำรวจเตรียมสอบเชิงลึกชาย BHQ หวั่นเป็นไส้ศึก

บุรีรัมย์ 6 ส.ค.-ตำรวจสอบปากคำชายชาวกัมพูชา พบใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ อ้างเคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อคำให้การ เกรงแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับ กรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จังหวัดบุรีรัมย์ จับกุมชายชาวกัมพูชา ได้ที่บ้านพักภรรยาคนไทยและมีเครื่องแบบทหารพร้อมตราสัญลักษณ์ BHQ จากการสอบปากคำ เคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว มาทำงานอยู่ไทย แล้วถูกสวมชื่อ จากการตรวจสอบพบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อไม่ตรงกัน และอ้างว่าเมื่อก่อนเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่ล่าสุดมีการลักลอบเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติทาง จ.สระแก้ว โดยอ้างว่าจ่ายเงินบุคคลที่พาเข้า 4,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงว่าอาจจะแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับคอยส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงของไทย ไปให้ฝั่งกัมพูชา จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบมีรูปถ่ายกายแต่งกายทหารและถือปืน เบื้องต้นทางตำรวจจะดำเนินคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต.-สำนักข่าวไทย