กรุงเทพฯ 27 เม.ย. – “เฉลิมชัย” ปลุกขวัญลูกพรรค ฟื้น ปชป. กลับมายืนหนึ่ง ลั่นพรรคต้องมีเอกภาพรัฐบาลถึงจะกลัว รับปากจะไม่ทำให้พรรคเสียหายทั้งต่อหน้าและลับหลัง
วันที่ 27 เม.ย. 2567 เวลา 12.00 น. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ จัดประชุมใหญ่สามัญพรรค ประจำปี 2567 โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปิดการประชุมว่า ขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันทำให้ที่ประชุมเดินหน้าไปได้ด้วยความราบรื่น ยืนยันว่าความเห็นของสมาชิกพรรค กรรมการบริหารพรรค จะนำไปพิจารณาพูดคุยกัน และจะพยายามปรับปรุงทำให้พรรคทันสมัยให้ทันกับสถานการณ์ของโลก และสถานการณ์ของบ้านเมือง และนับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการการเลิอกตั้ง กกต.ได้มีรับรองกรรมการบริหารพรรคชุดนี้มาจนขณะนี้ระยะเวลาเกือยบ 4 เดือนแล้ว ซึ่งที่ผ่านมากก.บห.ได้มีการปรชุมและทำงานแข่งกับเวลา แต่ตนได้พูดคุยกับ กก.บห. และ สส. ว่าวันนี้ประชาธิปัตย์ยืนหยัดด้วยหลักการและอุดมการณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ทุกอย่าง
“ผมพูดโดยไม่อายฟ้าอายดินว่าไม่เคยทำผิดทั้งต่อหน้าและลับหลัง และยังยึดมั่นในความเป็นประชาธิปัตย์ 100 เปอร์เซ็นต์ ขอบอกกับทุกคนว่าวันนี้การฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์คือหน้าที่ของพวกเราทุกคน” นายเฉลิมชัย กล่าว
นายเฉลิมชัย กล่าวต่อว่า เมื่อตนเข้ามารับหน้าที่เป็นพัวหน้าพรรคได้มีการตั้งศูนย์เทคโนโลยี่และนวตกรรมเพื่อการสื่อสาร เพราะเห็นว่าเรื่องการใช้เทคโนโลยีเราไม่ทันเขา จึงถือเป็นเรื่องแรกที่ตนตัดสินใจตั้งศูนย์ดังกล่าวขึ้นมา เราจึงเป็นพรรคการเมืองแรกและเป็นพรรคแรกของประเทศไทยที่สามารถสมัครสมาชิกพรรคทางโซเชียลมีเดีย และทางโทรศัพท์ได้ ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าประชาธิปัตย์ปรับตัวแล้ว แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่นี่เป็นก้าวแรกที่จะทำให้เขารู้ว่าเราจะกลับมาอีกครั้งหนี่ง ไม่เหมือนกับหลายๆคนที่ไม่ทำงานแล้วด้อยค่าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตนไม่รู้ว่าทำไมบ้านหลังนี้ไม่เคยมีอะไรให้เขาติดค้างบ้างเลยหรือ เพราะฉะนั้นวันนี้สิ่งที่ตนอยากให้ภาพความเป็นพรรคประชาธิปัตย์คือความมีเอกภาพในพรรค ตนขอยืนยันกับสมาชิกทั่วประเทศจะไม่มีวันทำผิดทั้งต่อหน้าและลับหลังเด็ดขาด ตนมั่นใจว่าตนเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง
นายเฉลิมชัย กล่าวอีกว่า เราได้มีการตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค เพื่อต้องการกำหนดทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน โดยเชิญอดีตสส. ผู้บริหารพรรค และคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมกันทำงาน เพื่อที่จะได้สูตรเพื่อเป็นตัวกำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนพรรค ซึ่งสิ่งที่จะตามมาคือเราต้องให้ความสำคัญกับสมาชิกพรรค ที่ต้องมีความเสมอภาคกัน ไม่ใช่ให้ความสำคัญเฉพาะวันที่มีประโยชน์เพียงอย่างเดียว โดยคณะทำงานจะได้เดินทางไปดูแลสมาชิก สาขาพรรค ในทั่วประเทศ และจะพยายามให้มีสมาชิกเพิ่มมากขึ้น นอกจากมีปริมาณแล้วจะต้องมีคุณภาพด้วย และอย่าลืมว่าที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ได้เพราะมีสมาชิกพรรคและสาขาพรรคที่เข้มแข็ง แต่สถานการณ์และเวลาเปลี่ยนไปคนอาจจะมองว่าเราให้ความสำคัญเฉพาะด้านบน แต่ภาคพื้นดินก็มีความสำคัญ ดังนั้นเราจึงต้องทำควบคู่กันไป
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า นอกจากนั้นยังมีคณะกรรมการการเมือง ซึ่งตนจะต้องไปเรียนให้ผู้อาวุโสของพรรคให้มาช่วยกันวิเคราะห์และกำหนดแนวทางขับเคลื่อนพรรคด้วย รวมถึงคณะกรรมการด้านสิ่งแวดล้อม พรรคก็ต้องมีความชัดเจน เพราะวันนี้เศรษฐกิจกับคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อมเราไม่รู้ว่าอะไรสำคัญกว่ากัน เราจึงต้องให้ความสำคัญกับตรงนี้ด้วย ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องขับเคลื่อนทั้งหมด หลังจากที่ทุกคนมอบให้ตนเป็นหัวหน้าพรรค โดยจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ไม่รีบก้าว แต่จะยึดหลักการและกฎหมายเป็นหลัก นอกจากนั้นยังจะมีคณะทำงานด้านวิชาการเข้ามาเสริมการทำงานของ สส. ด้วย
“ผมมั่นใจว่าทั้งชีวิตผมมอบให้ประชาธิปัตย์อยู่แล้ว ผมต้องการเห็นพรรคกลับมาแป็นเสาหลักของบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำอย่างหนึ่งของพรรคคือความซี่อสัตย์สุจริต ผมยึดหลักนี้มาทั้งชีวิต และขอบอกกับทุกคนว่าถ้าเราไม่มีหลักนี้อยู่ก็ไม่มีพรคประชาธิปัตย์อยู่มาถึงทุกวันนี้ได้ ยืนยันว่า กก.บห. และ สส. ทำงานอย่างเต็มที่ ระยะเวลาทางการเมืองวันนี้อยู่ที่การคำนวณจังหวะ และเวลา ถ้าอีก 6 เดือนเลือกตั้ง หากวันนี้เราไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ แต่ผมยังเชื่อว่าถ้าการเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลงอีก 6 เดือนก็ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้าในระบอบประชาธิปไตยอยู่อีก 3 ปี เพราะฉะนั้นระยะเวลาที่เหลืออยู่ สิ่งที่ผมอยากเห็นและเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องเผชิญและเดินไปข้างหน้าได้คือความมีเอกภาพของพรรค เพราะนี่คือพลังที่แท้จริงของประชาธิปัตย์ ผมไม่เชื่อว่ารัฐบาลไหนไม่กลัวประชาธิปัตย์ ถ้าเรามีความเป็นเอกภาพ นี่คือสิ่งที่ผมพยายามพูดมาตลอด และทุกการตัดสินใจจะยึดสถาบันและองค์กรเป็นหลัก ไม่เอาความรู้สึกส่วนตัว ไม่เอาความสุขส่วนบุคคลมาตัวเกี่ยวข้อง”นายเฉลิมชัย กล่าว .-312-สำนักข่าวไทย