“ก้าวไกล” ตั้งวงคุยดิจิทัลวอลเล็ต

20 เม.ย. – “ก้าวไกล” ตั้งวงคุยดิจิทัลวอลเล็ต “ศิริกัญญา” แนะรัฐบาลปรับเงื่อนไขโครงการ ดึงดูดร้านค้าขนาดเล็กเข้าร่วม หวั่นไม่แก้ไข สุดท้ายเงินหมุนเข้ากระเป๋าทุนใหญ่เต็มๆ ด้าน “ณัฐพงษ์” ขอความชัดเจน อ้างบล็อกเชนต้องตรวจสอบได้ เปิดข้อมูลเงินหมุนกี่รอบ หมุนไปอยู่ในกระเป๋าใครมากที่สุด


ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ร่วมพูดคุยประเด็นดิจิทัลวอลเล็ต ที่ SOL Bar & Bistro อาคารอนาคตใหม่ โดยศิริกัญญา กล่าวว่า ตอนนี้มีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต แต่เรื่องที่ยังมีการตั้งคำถามคือกรณีร้านค้าขนาดเล็กที่รัฐบาลเพิ่งมีการนิยามว่าหมายถึงร้านค้าทั้งหมด ไม่รวมห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ดิสเคาน์สโตร์ และ Cash&Carry จึงเห็นได้ว่ากินความหมายกว้างมาก รวมถึงร้านสะดวกซื้อเชนใหญ่ทั้งหมด ทำให้ประชาชนกังวลว่าสุดท้ายเงินของโครงการนี้จะหมุนไปที่ไหน

ส่วนที่รัฐบาลบอกว่าจะเริ่มใช้จ่ายตอนไตรมาส 4 ของปีนี้ ตนคิดว่าเป็นเรื่องดีถ้าจะทำให้โครงการนี้ออกมาคาบเกี่ยวกับ 2 เทศกาลที่คนเดินทางกลับบ้าน คือปีใหม่และสงกรานต์ แต่ประเมินดูแล้วคิดว่าคงไม่ทัน เพราะยังมีประเด็นปัญหาเรื่องแหล่งที่มาของเงินที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และต้องเอาร่าง พ.ร.บ. เข้าสภาฯ อีกอย่างน้อย 2 ฉบับ เพื่อหาเงินเตรียมมาใช้ และสิ่งที่ตนกังวลมากที่สุดคือ ซูเปอร์แอป (Super App) ซึ่งมีอยู่แล้วชื่อ “ทางรัฐ” น่ากังวลว่าระบบหลังบ้านจะเสร็จทันหรือไม่ หน่วยงานที่รับผิดชอบคือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ต่อให้มีคนที่มีความสามารถ แต่ต้องมีระยะเวลาในการทดสอบระบบด้วย


ด้านณัฐพงษ์กล่าวว่า ซูเปอร์แอปคือแอปที่มีความสามารถทำได้หลายอย่างในแอปเดียว แต่ที่ผ่านมาแอป “ทางรัฐ” ดูข้อมูลได้อย่างเดียว ยังทำธุรกรรมอะไรไม่ค่อยได้ อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้กังวลเรื่องซูเปอร์แอปว่าจะใช้ทันหรือไม่ เพราะหากทำเป็นหน้ากากหรือระดับเบื้องต้นก็พอเป็นไปได้ แต่หากบอกว่าคำนิยามของซูเปอร์แอปหมายถึงฟังก์ชันทุกอย่างของบริการภาครัฐ ต้องมาปรากฏบนซูเปอร์แอปนั้น ตนการันตีได้เลยว่าอย่างไรก็ไม่ทันภายในไตรมาส 4 ของปีนี้ จึงเชื่อว่าช่วงแรกที่มีการเปิดตัวโครงการ จะเป็นแอปทางรัฐที่มีฟังก์ชันเดิม เพิ่มเติมดิจิทัลวอลเล็ตเข้าไป ส่วนในอนาคตจะพัฒนาไปเป็นซูเปอร์แอปของรัฐได้หรือไม่ โดยหลักการไม่ผิดแต่อย่างใด เช่น ในประเทศเอสโตเนีย หรือสิงคโปร์ ก็มีแอปเช่นนี้ที่ประชาชนสามารถใช้บริการของรัฐได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตนมองว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดคือความเชื่อมั่น หากเปิดใช้บริการแอปวันแรกแล้วแอปล่ม ตรงนี้จะเป็นปัญหาใหญ่ นอกจากนี้รัฐบาลเคยกล่าวว่าจะนำบล็อกเชนมาใช้เพื่อแบ็กอัปข้อมูล แต่การประมวลผลธุรกรรมการเงินยังคงเป็นระบบรวมศูนย์ (centralization) ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลควรออกมาพูดให้ชัด คือหากอ้างว่าข้อมูลเก็บในบล็อกเชน ก็หมายความว่าประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบธุรกรรม (transaction) ได้ทั้งหมด แต่จะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร จะมีเพียงวอลเล็ตไอดีที่แสดงการทำธุรกรรม หากรัฐบาลย้ำว่าเป็นระบบบล็อกเชนก็ควรเปิดเผยข้อมูลเป็นสาธารณะ เมื่อเวลาผ่านไปจะทำให้เห็นว่ามีวาฬ (Whale) หรือคนที่ดูดเงินจากกระเป๋าคนอื่น อยู่ในระบบเท่าไร จะสามารถวัดผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจได้ว่าโครงการนี้ เศรษฐกิจหมุนไปกี่รอบและสุดท้ายหลังจากหมุนแล้ว เงินไปอยู่ในกระเป๋าใครมากที่สุด

ศิริกัญญา กล่าวว่า อีกปัญหาคือเงื่อนไขการใช้เงินที่อาจจะทำให้ร้านค้าขนาดเล็กไม่อยากเข้าร่วมโครงการ เนื่องจากการซื้อสินค้ารอบแรกต้องใช้กับร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น เช่น ซื้อหมูปิ้ง ถ้าแม่ค้าเข้าร่วมโครงการ เราก็จ่ายได้ แม่ค้าที่ขายหมูปิ้งก็ต้องไปซื้อวัตถุดิบต่อและต้องจ่ายด้วยดิจิทัลวอลเล็ต แต่ปัญหาคือถ้าเขียงหมูในพื้นที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ แม่ค้าอาจไม่มีเงินไปต่อทุน สิ่งเหล่านี้อาจสร้างความยุ่งยาก ทำให้ร้านค้าไม่สามารถหรือไม่อยากเข้าร่วมโครงการ


แม้รัฐบาลบอกว่าอยากให้โครงการนี้สนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ แต่ด้วยวิธีการออกแบบเช่นนี้อาจเป็นอุปสรรค สุดท้ายผู้ที่ได้ประโยชน์อาจเป็นแค่ร้านสะดวกซื้อเชนใหญ่ที่มีความพร้อม เงื่อนไขการจำกัดเขตพื้นที่จึงอาจไม่มีประสิทธิภาพ ถ้าเปลี่ยนเงื่อนไขเป็นใช้กับเอสเอ็มอีโดยไม่จำกัดพื้นที่ น่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า

ทั้งนี้ เหลือเวลาอีกประมาณ 3 เดือน ก่อนเปิดลงทะเบียนร้านค้า รัฐบาลต้องสร้างแรงจูงใจให้ร้านค้าตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เข้ามาร่วมให้มากที่สุด เช่น อาจมีมาตรการเพิ่มเติม เช่น นิรโทษกรรมทางภาษี เพื่อคลายข้อกังวลของบางร้านค้าที่กังวลจะโดนเก็บภาษีย้อนหลัง หรือหากรัฐต้องการให้เกิดการลงทุนต่อ อาจมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเป็นการจูงใจ แต่ที่ผ่านมายังไม่ได้ยินอะไรแบบนี้จากรัฐบาลเลย

ศิริกัญญา กล่าวว่า ด้วยเงื่อนไขทั้งหมดที่มีอยู่วันนี้ สร้างข้อจำกัดให้ร้านค้าขนาดเล็ก ยิ่งทำให้เห็นได้ชัดว่าเงินที่กำลังจะหมุน อาจจะหมุนไปกระจุกอยู่ที่ทุนขนาดใหญ่ คนที่ได้ประโยชน์เต็มๆ คือร้านค้าสะดวกซื้อ ร้านค้าขายปลีกที่เป็นเชนขนาดใหญ่ ถ้ารัฐบาลยังไม่มีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขเพื่อจูงใจให้ร้านค้าขนาดเล็กเข้าร่วม เงินก็จะหมุนไปอยู่กับทุนใหญ่เท่านั้น นี่คือสิ่งที่เราวิเคราะห์คาดการณ์ได้โดยตั้งอยู่บนข้อมูลที่รัฐบาลแถลงออกมา

การคาดการณ์นี้สามารถพิสูจน์ได้ ถ้าบล็อกเชนถูกทำให้โปร่งใส เข้าไปตรวจได้ก็จะเห็นว่ามีกระเป๋าเงินไหนได้เงินมากเป็นพิเศษ ถ้ารัฐบาลใส่ใจเพียงพอว่าอยากให้เงินกระจายไปทั่วถึง ยังมีเวลาแก้ไขเพื่อทำให้โครงการนี้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ครอบคลุมประชาชนมากกว่านี้ เพราะเป้าหมายของโครงการนี้มีอย่างเดียว คือต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้จีดีพีเติบโต 1.2-1.8% ไม่ได้ต้องการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากหรือกระจายรายได้ให้พี่น้องประชาชน แต่ถ้าประชาชนช่วยกันส่งเสียงอาจจะเกิดการเปลี่ยนเงื่อนไขได้ว่าจะทำอย่างไรให้รายได้ของคนตัวเล็กตัวน้อยดีขึ้น สร้างแต้มต่อให้เอสเอ็มอีมากขึ้น กระจายรายได้ให้ชุมชนมากขึ้น

ขณะที่ ณัฐพงษ์ กล่าวปิดท้ายว่า ปัจจัยความสำเร็จอีกอย่างหนึ่งของโครงการนี้ คือต้องมีร้านเล็กๆ เข้าร่วมให้มากที่สุด ดังนั้น สิ่งที่เราอาจช่วยกันตรวจสอบได้ก่อน คือช่วงลงทะเบียนไตรมาส 3 รัฐบาลควรเปิดเผยตัวเลขยอดผู้ลงทะเบียน โดยแบ่งตามประเภทร้านค้าและรายอำเภอ เพื่อดูว่าทั่วทั้งประเทศ เป็นร้านค้าตัวเล็กตัวน้อยจริงหรือไม่.-312-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย