รัฐสภา 25 มี.ค.-พ.ต.อ.ทวี รมว.ยุติธรรม แจง “ทักษิณ” การรักษาตัว-คุมขังสถานที่อื่น-พักโทษ เป็นระเบียบและกฎหมายที่ออกมาตั้งแต่รัฐบาลก่อน ยกการคุมขังตามกฎหมายใหม่ ไม่ต้องคุมขังในเรือนจำ บอกเสียใจได้ยินข้อกล่าวหาการทำลายกระบวนการยุติธรรม ยกระบบเรือนจำสมัยใหม่ไม่ได้เอาไว้แก้แค้น
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงสมาชิกวุฒิสภา ในการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 153 เรื่องการบริหารราชการที่มีอุดมการณ์แน่วแน่ ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำหน้าที่ตามหลักกฏหมายและหลักนิติธรรมเพื่อประโยชน์สูงสุดของส่วนรวม ซึ่งเข้าใจดีระหว่างประโยชน์ส่วนตัวและประโยชน์ส่วนรวม และส่วนตัวเลือกที่จะทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และระหว่างบุญคุณกับการทำตามกฏหมาย เลือกที่จะทำตามกฏหมาย ส่วนกฎหมายกับความถูกต้อง แม้อาจจะไม่ไปด้วยกัน แต่ต้องแก้ไปด้วยกัน ส่วนระบบอุปถัมภ์และระบบคุณธรรม เลือกระบบคุณธรรม
และยืนยันว่าในการทำหน้าที่ ไม่เคยได้รับการสั่งการจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในสิ่งที่ขัดต่อกฎหมายและคุณธรรม และการกลับเข้ามารับโทษตามกระบวนการยุติธรรม วันที่ 22 สิงหาคม 2566 ซึ่งขณะนั้นอยู่ในยุครัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คือนายวิษณุ เครืองาม ส่วนข้าราชการประจำรองปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครยังเป็นชุดเดียวกัน โดยตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่ไม่ได้สั่งปรับเปลี่ยนใคร พร้อมระบุว่าเสียใจที่ได้ยินข้อกล่าวหาดังกล่าว
“ที่นายถวิล กล่าวหา ว่าผมทำลายกระบวนการยุติธรรม ท่านคิด หรือว่าพลเอกประยุทธ์ ผมจะไปสั่งการท่านได้ ท่านนายกฯทักษิณ จะเข้ามาในประเทศ และต้องไปโรงพยาบาลทันที ท่านคิดหรือว่าผมจะไปสั่งการ หรือนายกฯ เศรษฐา จะไปสั่งการนายวิษณุได้ ซึ่งขณะนั้นก็ยังไม่ทราบว่าพรรคประชาชาติจะร่วมรัฐบาลหรือไม่ อยากให้ความเป็นธรรมสักนิดกับข้อเท็จจริง ผมว่าการทำลายระบบยุติธรรม คือการยึดอำนาจฉีกรัฐธรรมนูญ” พ.ต.อ.ทวีกล่าว
พ.ต.อ.ทวี ยังกล่าวว่าได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการวันที่ 11 กันยายน 2566 หลังจากที่นายทักษิณเข้าไปรับการรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ พร้อมหยิบระเบียบและกฎหมายราชทัณฑ์มาชี้แจง ซึ่งได้พิจารณาและปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับนโยบายอาญาของประเทศ เดิมใช้ทฤษฎี “แก้แค้น ทดแทน ข่มขวัญ ยับยั้ง” แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นการใช้ทฤษฎี “ฟื้นฟู” ซึ่งเมื่อมีการแก้ไขกฎหมายมาแล้ว ในราชการไม่ได้มีอำนาจแก้ไข และย้ำว่าการกำหนดโทษเป็นอำนาจศาล แต่การบริหารโทษเป็นไปตามกฏหมายราชทัณฑ์ และปัจจุบันด้วยนักโทษล้นคุก กว่า 200,000 คน และได้พิจารณาว่าการไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจที่ชั้น 14 ซึ่งเป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่มีมาก่อนอยู่แล้ว และสาเหตุหนึ่ง คือเรื่องของทางการแพทย์ โรงพยาบาลราชทัณฑ์ยังไม่มีความพร้อมรองรับ อีกทั้งโรงพยาบาลก็ถือเป็นสถานที่คุมขังอื่นตามที่ระเบียบกำหนดไว้ และตามกฏหมายใหม่การคุมขังไม่ต้องอยู่ในเรือนจำ
“อดีตนายกฯทักษิณได้ถูกจำคุก แต่อยู่ในสถานที่คุมขังอื่น ซึ่งไม่ได้มีท่านคนเดียว ยังมีบุคคลอื่น จากตัวเลขที่อ้างอิง 4-5 หมื่นคน แต่กรณีที่เกิน 120 วัน ตัวเลขไม่มาก” พ.ต.อ.ทวีกล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยังชี้แจงเรื่องการพักโทษ ว่าราชทัณฑ์หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมไม่ได้มีอำนาจที่จะพักโทษใคร แต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการพักโทษ ซึ่งมีการพิจารณาทุกเดือนเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่มีมาก่อนแล้ว และกรณีของนายทักษิณนั้นทางผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข มีความเห็นว่าเป็นกรณีเข้าหลักเกณฑ์ผู้สูงอายุ และเหลือโทษไม่มากนัก ช่วยตัวเองได้ไม่ดีพอ ขณะเดียวกันผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็เห็นด้วย และเห็นว่าโรงพยาบาลเป็นสถานที่ควบคุมเช่นกัน ตามกฏหมาย และชี้แจงว่าข้อมูลของผู้ป่วยเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งหากวุฒิสภาเห็นว่ากฎหมายมีปัญหาก็พร้อมที่จะแก้ไข ก่อนจะทิ้งท้ายว่าระบบการคิดของเรือนจำสมัยใหม่ ไม่ได้เอาไปแก้แค้น คุกไม่ได้มีไว้ขังคนเท่านั้น มีไว้ให้ออกด้วย.-314.-สำนักข่าวไทย