รัฐสภา 25 มี.ค.-สว.เฉลิมชัย ซัดนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ไม่มีที่มาของเงิน เลื่อนแล้ว เลื่อนอีก ทำนายกฯ เดินออกนอกห้องประชุม ติง กกต.ไม่ตรงปกยังปล่อยผ่าน ถือละเว้นหน้าที่ ไปคุยกันที่ ป.ป.ช. ถาม “จุลพันธ์” ใครดักตีหัว
การประชุมวุฒิสภา (สว.) วาระการอภิปรายทั่วไปรัฐบาล ตามมาตรา 153 นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน สว. ได้ลุกขึ้นอภิปรายนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต โดยขณะที่นายเฉลิมชัยเริ่มอภิปรายเห็น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้ามาในห้องประชุม เลยถามทันทีว่า จะดำเนินนโยบายกรรมสิทธิ์ที่ดินผ่านโครงการ ส.ป.ก. ได้ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ เพิ่งคิกออฟเเจกโฉนดไป ตอนนี้ไม่รู้แจกไปกี่ฉบับ
“มันมาสะดุดที่นครราชสีมา ทับที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และส่อทุจริต ซึ่งขัดแย้งกับกรมอุทยาน ฯ เห็นรัฐมนตรีออกมาสนับสนุนส.ป.ก.เต็มที่ หลังหลังท่าทีเปลี่ยนไป ผมไม่รู้ว่าถูกแรงกดดันจากอะไร นอกจากนี้ การฟื้นฟูอุตสาหกรรมการประมง ด้วยการแก้ไขกฎหมายจะแก้อย่างไร ทั้งนายกรัฐมนตรีและร.อ.ธรรมนัสก็ลงพื้นที่บอกกับชาวบ้านสมุทรสาคร สมุทรสงครามไว้” นายเฉลิมชัย กล่าว
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ครัวเรือนพูดกันทั่วไปว่านายกรัฐมนตรีที่ชื่อเศรษฐาจะพาคนไทยไปเป็นเศรษฐี ปิดสวิตช์สว. ปิดสวิตช์ 3 ป. เพื่อไทยเป็นรัฐบาลประเทศไทยเปลี่ยนทันที คนไทยมีกินมีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ยังก้องอยู่ในโสตประสาทคนไทยทั่วประเทศ และว่า “ท่านหัวหน้าพรรคเพื่อไทยท่านว่าไว้ ตอนนี้คนไทยเป็นอย่างไร ประเทศไทยตอนนี้มีหนี้ครัวเรือน 92% ของจีดีพี หรือประมาณ 6.2 ล้านล้านบาท ขอถามนายกรัฐมนตรีว่าท่านจะแก้ไขอย่างไร”
จากนั้น นายเฉลิมชัย อภิปรายนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ว่า ตามรัฐธรรมนูญ ในกฎหมาย พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง กำหนดว่าให้มีกลไกความรับผิดชอบทางการเมืองที่ไม่ได้วิเคราะห์ผลกระทบ นโยบายใดที่ต้องใช้จ่ายเงินตามประกาศโฆษณานโยบายนั้น อย่างน้อยต้องมีรายละเอียดวงเงินที่ต้องใช้ และที่มาของเงิน ความคุ้มค่าผลกระทบและความเสี่ยงอย่างรอบด้าน
“ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนโยบายนี้ จากเอกสารแจกแจงรายละเอียดที่เผยแพร่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ระบุว่า พรรคเพื่อไทย แกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ว่าจะแจกเงินให้กับคนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ประมาณ 56 ล้านคน เป็นเงินประมาณ 5.6 แสนล้านบาท โดยใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567” นายเฉลิมชัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายเฉลิมชัยกล่าวนั้น นายกรัฐมนตรีได้ลุกออกไปจากห้องประชุม ทำให้นายเฉลิมชัย กล่าวด้วยท่าทีมีอารมณ์ว่า “ท่านฟังผมด้วยนะครับ อย่าให้รัฐมนตรีช่วยฟังผมอย่างเดียว ท่านต้องฟังผมด้วย ถ้าท่านนายกฯ ไม่มานั่งฟัง เขาก็ไม่ได้เรียกคณะรัฐมนตรีนะ คณะรัฐมนตรีตามมาตรา 158 ประกอบไปด้วยนายกฯ กับรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นคณะรัฐมนตรีก็ต้องมีนายกฯ ท่านออกไปก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวท่านก็กลับมา ก็ให้อภัย”
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีประกาศทุกเวทีว่าจะไม่กู้เงิน แต่ตอนนี้เป็นอย่างไร ยังไม่รู้จะไปไหน ตนมีข้อสังเกตว่านโยบายแจกเงินดิจิทัลมีลักษณะสัญญาว่าจะให้ “ใส่ซองพันสองพันก็ยังผิด อันนี้หาเสียงโจ๋งครึ่มเลย อาจจะผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง มาตรา 73(1) ที่ห้ามไม่ให้ผู้สมัครผู้ใดเสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใด มีโทษจำคุกหนึ่งถึง 10 ปีปรับ 20,000 ถึง 200,000 เพิกถอนสิทธิ์ 20 ปี”
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า แต่กกต.กลับบอกว่าทำได้ เพราะใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ ในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล ได้ระบุว่านโยบายนี้จะทำหน้าที่เป็นชนวนกระตุกเศรษฐกิจของประเทศ เป็นการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพ ขยายกิจการผลิตสินค้า เกิดการจ้างงานการหมุนว่างานเศรษฐกิจอีกหลายรอบ เป็นการเตรียมความพร้อมของประเทศให้เข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ และแถลงนโยบาย 11 กันยายน 2566 แต่กลับไม่ได้ชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบายเติมเงินดิจิทัล
“ผมตั้งข้อสังเกตว่าจะเป็นการกระทำผิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 มาตรา 162 หรือไม่ ซึ่งบัญญัติไว้ว่าคณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ผมดูคำแถลงนโยบายมี 42 หน้า หายไปบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ 42 หน้า ไม่ได้บอกว่าเอาเงินมาจากไหนเหมือนที่โฆษณาหาเสียง และนายกฯ เศรษฐาก็ไม่ได้พูดนอกเหนือจากคำแถลงนโยบาย นายกฯ แถลงข่าวอ้างวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งมีเงื่อนไขเปลี่ยนไป ทำให้ต้องกู้เงิน แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าหน่วยงานไหนจะรับผิดชอบ ตอนหาเสียงบอกจะใช้งบประมาณ 2567 ตั้งรัฐบาลได้บอกผมขอกู้ เป็นข้อบ่งชี้ว่าการหาเสียงที่ไม่มีความพร้อม ไม่มีความรับผิดชอบ สักแต่จะให้ชาวบ้านเลือก” นายเฉลิมชัย กล่าว
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) บอกว่า การหาเสียงแบบนี้จะเป็นบรรทัดฐานต่อไปสำหรับพรรคการเมือง ตนจึงขอกล่าวหาด้วยววาจาว่า การที่กกต. ใช้ดุลยพินิจในนโยบายดิจิทัล บอกว่าทำได้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 162 หรือไม่ ถ้าขาดก็เป็นการจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
“ป.ป.ช. เปิดโทรทัศน์ ดูหรือเปล่า ถ้าเปิดดู ขอให้ทราบว่าผมกล่าวหาไปแล้ว ในเมื่อ กกต. บอกว่าทำได้ ก็ไปคุยกันที่ ป.ป.ช. ผู้ว่าฯ แบงค์ชาติ ยังบอกว่าปัญหาเศรษฐกิจยังไม่วิกฤติ เพียงแต่ชะลอตัว นายกรัฐมนตรีก็เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด เลื่อนแล้ว เลื่อนอีก เลื่อนต่อไป นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วย นั่งอยู่ตรงนี้ก็บอกว่าแจกแน่นอน แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ เพราะมีคนคอยดักตีหัวอยู่ ผมถามว่าจริงหรือไม่ ถ้าไม่แจก เจ๊งเลยนะ เพราะเป็นนโยบายที่คนที่ชื่อเศรษฐา ทวีสิน เสียงดังฟังชัดหาเสียงไว้ ถ้าทำไม่ได้ก็ยอมรับกับประชาชน จะได้ไม่ติดคุกหัวโต” นายเฉลิมชัย กล่าว.-312.-สำนักข่าวไทย