รร.เสนาธิการทหารบก 12 มี.ค. -“วิโรจน์” ยาหอมกองทัพ เห็นความสำคัญ อัดงบไม่อั้น ชี้ เลือกข้างต้องยึดหลักสากล แนะกองทัพทำงานให้โปร่งใส ชี้แจงตรงไปตรงอย่าปล่อยประชาชนมโนเอง มีแต่จะแย่ลง
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคก้าวไกลและประธานคณะกรรมาธิการการทหาร กล่าวในการประชุมเชิงวิชาการเพื่อร่วมกำหนดอนาคตกองทัพบกในปี 2580 (RTA 5.0 Conference) หัวข้อ “บทบาทของกองทัพต่อบริบทความมั่นคงในปัจจุบันและอนาคตและการปรับตัวของกองทัพกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ว่า สำหรับภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในบริบทของโลก เราจะพูดถึงเรื่องการเลือกข้างเสมอและการที่เราไม่รู้จะเลือกข้างใดดี หลายครั้งการตัดสินใจ เลือกข้างนั้นบ้าง ข้างนี้บ้าง อาจจะมองว่าเป็นการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่การเลือกข้างนั้นบ้าง ข้างนี้บ้าง เราจะอธิบายกับประชาคมโลกไม่ได้ อธิบายกับประชาชนลำบาก
“ปัจจุบันการที่ทำให้เห็นว่าความมั่นคงเป็นความลับทางการทหารและประชาชนยากที่จะทำความเข้าใจได้ จากความมั่นคงกลายเป็นความไม่มั่นคงก็ได้ถ้าปล่อยให้ประชาชนคิด และเข้าใจด้วยตนเอง ซึ่งหลายเรื่องที่กองทัพได้ดำเนินการก็สามารถอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ ดังนั้น การเลือกข้าง เราต้องยึดหลักสากลเป็นที่ตั้ง แล้วหลักสากลจะยืนอยู่ข้างไหน เราก็สามารถบอกกับประชาคมโลก บอกกับอาเซียน บอกกับประชาชนได้ว่าเรายึดตามหลักสากล หากเป็นเช่นนั้นตนว่าเราคงจะยืนได้สง่างามในเวทีโลก” ประธานกรรมาธิการทหารฯ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ส่วนบริบทของภูมิภาค ขอยกตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายคือ สถานการณ์ในเมียนมาประเทศไทยจะต้องเตรียมการรับมือเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรับมือกับผู้อพยพ หรือสถานการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดน รวมทั้งปัญหาอาชญากรรม หรือยาเสพติด หรือการลักลอบขนคนเข้าเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาด้วย เพราะจากสถานการณ์ก็เห็นๆกันอยู่ ซึ่งตนเป็นห่วงในเรื่องของอุปกรณ์ที่จำเป็นที่จะใช้ระหว่างชายแดนไทยเมียนมา แต่ขณะนี้งบประมาณปี 67 ไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้ให้เลย ซึ่งถ้าเราได้มีการทำความเข้าใจกับประชาชนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปรับลดงบประมาณ
“สำหรับบริบทในประเทศ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ฉะนั้นต้องมีความโปร่งใส และทำความเข้าใจ และชี้แจงข้อเท็จจริง กับประชาชน เพราะไม่เช่นนั้นประชาชนจะจินตนาการไปในทางลบ และมีการพูดต่อๆกันปากต่อปาก จึงอยากให้มีการชี้แจงอย่างตรงไปตรงมาเลยดีกว่า และอยากให้สังคมอยู่บนข้อเท็จจริงเพื่อไม่ให้นำข้อมูลเก่ามานั่งใส่ร้ายกันเรื่อยๆ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับประชาชนมันแย่ลง” ประธานกรรมาธิการทหารฯ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวถึงการปรับยุทโธปกรณ์ให้ทันสมัยขึ้นว่า หลายคนจะมีมายาคติอยู่บ้างโดยเฉพาะภาคประชาชนที่มองว่ากองทัพมีงบประมาณเยอะซึ่งงบประมาณส่วนใหญ่ใช้ไปกับกำลังพล งบปี67 มีการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์น้อยมาก ดังนั้นการปรับลดกำลังพลจะต้องเห็นความชัดเจนมากขึ้น แต่กำลังคนที่จะรับเข้ามากองทัพจะต้องการันตีเรื่องความปลอดภัยและหลักสิทธิมนุษยชน รวมถึงสวัสดิการของกำลังพลด้วย ทั้งนี้ กองทัพจะต้องส่งเสริมอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศและการจัดซื้อภายในประเทศ ซึ่งกองทัพจะต้องปักธงให้ชัดเจนว่าจัดซื้อในปริมาณเท่าไหร่ และTOR ในการจัดซื้อก็ต้องมีความโปร่งใส ส่งเสริมอุตสาหกรรมการป้องกันภัยในประเทศ ซึ่งจะส่งผลถึงยุทธภัณฑ์ของกองทัพที่ปัจจุบันขาดงบประมาณในการรักษาหรือคงสภาพ
“การซื้อผ่านโบรกเกอร์ ทำให้การดูแลหรืออัพเกรดเป็นไปได้ยาก อีกทั้ง ต้องคำนึงถึงอิสรภาพในการอัพเกรดซอฟแวร์ อาวุธยุทธภัณฑ์ต่างๆต้องสื่อสารกันได้ กับทั้งกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพบก กองทัพอากาศ และกองทัพเรือ และสุดท้ายเราต้องทำความเข้าใจและชี้แจงกับประชาชน ว่าการจัดซื้อยุทธภัณฑ์ที่ต้องใช้เทคโนโลยีสูงอาจจะซื้อภายในประเทศไม่ได้ แต่เราได้ประโยชน์อื่นทั้งทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ” ประธานกรรมาธิการทหารฯ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวว่า การบริหารความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกองทัพและประชาชน กองทัพจะต้องขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ภัยคุกคามปากท้องของประชาชนมีมากที่สุด ซึ่งตนต้องชื่นชมในเรื่องวิกฤติของที่ดินทำกินที่กองทัพได้นำที่ดินบางส่วนที่เกินจำเป็น ให้ประชาชนได้เช่าหรือใช้เป็นที่ดินทำกินได้ และถ้าประชาชนและกองทัพมีความสัมพันธ์ที่ดีการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ของกองทัพก็จะราบรื่น สุดท้ายเวลาประชาชนฟัง เขาฟังพลเรือนด้วยกันอาจจะเข้าใจได้มากกว่า แต่ในสภาวะปัจจุบัน ตนคิดว่าหากกองทัพสร้างความสัมพันธ์กับกระทรวงอว.หรือมหาวิทยาลัยต่างๆในการสนับสนุนข้อมูลต่างๆในการทำวิจัย และใช้เวทีเสวนาเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนการสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจก็จะง่ายขึ้น.-313.-สำนักข่าวไทย