“จ่าประสิทธิ์” ขอเข้าเยี่ยม “ทักษิณ”

กทม. 25 ก.พ.-“จ่าประสิทธิ์” โผล่หน้าบ้านจันทร์ส่องหล้า ขอเข้าเยี่ยม “ทักษิณ” เชื่อเป็นคนมีความรู้ความสามารถ อยากให้กลับมาช่วยพัฒนาประเทศ บอกคนไม่เชื่อว่าป่วย คือคนไม่เปิดใจ

จ่าสิบตำรวจ ประสิทธิ์ ไชยศีรษะ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุรินทร์ เขต 6 สังกัดพรรคเพื่อไทย เดินทางมาเพื่อขอเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมระบุว่า ตนเองเดินทางมาขอเข้าพบ เพื่อเยี่ยมนายทักษิณ เพราะท่านเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ ตั้งแต่ท่านรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตนเองประทับใจเรื่องนโยบายที่พรรคไทยรักไทยในสมัยนั้นได้มีออกมา และทำให้ประชาชนคนบ้านนอกอยู่ดี กินดี สิ่งที่สำคัญที่สุดคือโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ความเป็นคนบ้านนอก เป็นคนจน คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย หลายคนก็เสียชีวิต เพราะไม่มีเงินในการรักษาพยาบาล แต่เมื่อมีโครงการนี้เข้ามาสามารถช่วยเหลือคนจนได้ ตนเองรู้สึกประทับใจ และรักเคารพท่านมาตลอดจนได้มีโอกาสมาร่วมต่อสู้กับคนเสื้อแดง และได้ลงสมัคร สส. ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ จนได้เป็น สส. ให้นามพรรคเพื่อไทย ตนเองเชื่อว่าพรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน เป็นพรรคที่มีนโยบายให้ประชาชนคนรากหญ้าได้ประโยชน์มากที่สุด


ส่วนในวันนี้ไม่ได้มีการประสานเข้ามาเพื่อขอเข้าพบ แต่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมนายทักษิณ เมื่ออยู่ต่างประเทศหลายครั้ง ท่านเมตตาตนเองมาตลอด ซึ่งตอนนี้ ตนเองถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ด้วยความรัก และเคารพเมื่อท่านมีโอกาสกลับมาประเทศไทยก็สำนึกในบุญคุณของท่านเป็นการส่วนตัว และบุญคุณที่ทำกับประชาชนคนไทย โดยเฉพาะคนจน คนรากหญ้า จึงอยากมาเยี่ยมท่าน ย้ำว่า ก่อนหน้านี้มีการพูดคุยกันผ่านไลน์ส่วนตัวมาตลอด และในวันนี้ถ้ามีโอกาสได้พบท่าน ก็จะบอกว่าดีใจที่ท่านได้มีโอกาสกลับมาประเทศไทย กลับมาบ้านเกิด อยากให้รักษาสุขภาพให้ดี ที่สำคัญที่สุดคนในพื้นที่ยังเชื่อมั่นในตัวนายทักษิณ ว่าท่านกลับสู่ระบบการเมืองด้วยความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ที่มี ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการพูดคุยกับผู้นำหลายประเทศ ส่วนนี้จะทำให้ประเทศไทยเจริญ และอยู่ดีกินดี เหมือนนายกคนปัจจุบัน คือนายเศรษฐา ทวีสิน ที่มีความรู้ในเรื่องการทำธุรกิจ ที่มุ่งมั่นทำงานหาเงินเข้าสู่ประเทศทำงานอย่างไม่หยุดไม่หย่อน และเชื่อว่า หากมีนายทักษิณ และรัฐบาลชุดนี้ด้วย ประเทศเราจะพัฒนาขึ้นทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้

ส่วนการกลับมาจะเป็นการมองว่ามีนายกรัฐมนตรีสองคนหรือมากกว่านั้นหรือไม่ จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ ระบุว่า ไม่ เป็นความคิดของคนที่ไม่เห็นด้วย ไม่อยากให้คิดเรื่องความขัดแย้ง อยากให้พัฒนาประเทศ เพราะประเทศไทยบอบช้ำมานาน ไม่อยากให้ประเทศแย่ไปกว่านี้ ถ้าเราสามัคคีกันพัฒนาประเทศไปด้วยกัน ได้คนมีความรู้ ความสามารถมาช่วย ไม่ดีหรือไม่ ส่วนจะมีการปรึกษาหารือกันอย่างไร ก็แล้วแต่ จะเป็นใครก็ได้ที่เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ อย่างนายเศรษฐา ก็ไปพบกับอดีตนายกฯ หลายคน อยากให้ทุกคนเปิดใจกว้าง และมาช่วยกันพัฒนาประเทศทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี


ส่วนการมองว่านายทักษิณ ชินวัตร เป็นต้นต่อความขัดแย้งนั้น จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ต้นตอของความขัดแย้ง ทำไมไม่มองย้อนหลังไปเมื่อ 17 – 18 ปีที่แล้ว ที่นายทักษิณถูกยึดอำนาจ และถูกตั้งองค์กรมาทำร้ายท่าน ต้องดูว่าต้นเหตุคืออะไร การโดนยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และจะยุบพรรคเพื่อไทย ซึ่งโดนยุบฝ่ายเดียว ส่วนอีกฝ่ายไม่โดนอะไรเลย ท่านถูกกระทำโดยความอยุติธรรมตั้งแต่แรก และคนก็มองว่าทำไมไม่กลับมาสู้คดี แต่เมื่อกลับมาแล้ว ก็หาเรื่อง เพราะคนเหล่านั้นไม่ชอบ ไม่เปิดใจ แต่ก็ต้องขอบคุณหลายคน กาลเวลาพิสูจน์แล้วว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง หลายคนเปลี่ยนใจมารักก็มี

ส่วนหากถ้ากลับเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองอยากให้ดำรงตำแหน่งอะไรนั้น จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ ระบุว่า ตำแหน่งอะไรก็ได้ที่มีประโยชน์ ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรีได้ในอนาคต ก็จะดี เพราะมีความรู้ ความสามารถ และจะมีอำนาจในการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งถ้าเป็นไปไม่ได้หรือท่านไม่รับตำแหน่งนี้ ตนเองก็พูดแทนไม่ได้ หรือจะเป็นที่ปรึกษาก็ดี ตนเองเชื่อว่านายทักษิณ อยู่ตรงไหนก็ได้ประโยชน์

จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ ยังยืนยันถึงอาการป่วยของนายทักษิณ ว่า ท่านอายุมากแล้ว ในตอนที่ไปเยี่ยมที่ต่างประเทศ ก็ป่วยเป็นโควิด – 19 คนที่ไม่เชื่อว่าป่วย คือคนที่ไม่เปิดใจ และไม่ชอบ ซึ่งแพทย์มีหลักฐานการรักษา มีเอกสาร คนจะพูดอย่างไรก็ได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือคำรับรองจากแพทย์


“เชื่อเถอะ ไม่มีเจ้าหน้าที่หรือคุณหมอคนไหนที่เค้าจะเอาชีวิตอนาคตของเค้าไปฝากไว้กับคนคนนึงถ้าไม่เป็นเรื่องจริง” จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ กล่าว

หลังจากนั้น จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ ได้เดินทางมาที่บริเวณหน้าบ้าน และกดกริ่งเพื่อขอเข้าพบ แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย มาเปิดประตูให้จึงได้เดินทางกลับไป.-317.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]