รัฐสภา 15 ก.พ. – สภาฯ มีมติ 269 ต่อ 147 เห็นชอบรายงาน กมธ. ผลการพิจารณาศึกษา “แลนด์บริดจ์” แม้ 3 สส. “ก้าวไกล” ลาออก กมธ. รุมจวกรายงาน “ศิริกัญญา” บอกหมดคำพูด กมธ.ประเมินรายได้เวอร์มาก
รัฐสภา วันนี้ (15 ก.พ.) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระรายงานผลการพิจารณาศึกษาญัตติ เรื่องการศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (แลนด์บริดจ์) เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน 3 สส. พรรคก้าวไกลที่ลาออกจาก กมธ. ได้ร่วมกันอภิปรายคัดค้าน
โดยนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เล่าถึงเหตุผลที่ลาออก เนื่องจากไม่สามารถให้เหตุผลในรายงานฉบับนี้ได้ ซึ่งแทบจะไม่มีการแก้ไขเลยตั้งแต่ตนลาออกมา โดยเพื่อน สส. ไม่พูดว่ามีธงในการดำเนินการ ตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องผิดที่ กมธ. ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะที่มาจากทางฝั่งรัฐบาลจะมีคงมีธงจากบ้านว่าควรจะทำโครงการนี้ แต่สิ่งที่จำเป็นต้องกังวลใจ คือ ผลการศึกษาที่นำมาสู่ธงนี้ ศึกษาอย่างรอบคอบ ถี่ถ้วน ถูกต้อง มีสมมติฐานที่สมเหตุสมผลหรือไม่ ตนปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ที่มีการสอบถามหน่วยงานที่รับผิดชอบในการทำรายงานจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ซึ่งเป็นหน่วยงานสารตั้งต้นของรายงานฉบับนี้ ว่าธงที่รัฐบาลให้มา จะสามารถเดินตามธงอยู่ได้อย่างมั่นใจได้อย่างไร แต่ตนกลับไม่ได้คำตอบที่ต้องการหลายครั้ง หลายวาระที่สอบถามก็ถูกตัดการสอบถาม ทำให้ข้อมูลก็ยังไม่ได้ ที่ร้ายแรงกว่านั้น กลับใช้รายงานของ สนข. โดยที่ไม่ได้พิจารณาถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการเดินเรือ การคำนวณการเติบโตของท่าเรือ ซึ่งตนยังไม่รู้ว่าจะเชื่อรายงานของ สนข. ได้หรือไม่
“รายได้ที่เป็นรายได้จากท่าเรือเวอร์มาก สูงมาก ปีแรก บอกว่าจะได้รายได้จากท่าเรือ 58,000 ล้านบาท ดิฉันคิดว่า กมธ. ไม่มีใครทราบนะคะ ยกเว้นที่มาจาก สนข. ถึงจะทราบเรื่องนี้ ในรายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 2 ก็ไม่มีเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ดิฉันอ่านแล้ว ไม่มีรายได้ที่มาจากการขายน้ำมัน แต่วันนี้มาแล้วค่ะ 58,000 ล้าน มาจากรายได้ที่มาจากการขายน้ำมัน 50,000 ล้าน และมาจากรายได้ท่าเรือ เพียงแค่ 8,000 ล้านบาทเท่านั้นเอง 50,000 ล้านที่มาจากการขายน้ำมัน มันจะมาได้อย่างไร ลองคิดดู ถ้าเราไม่มีโรงกลั่นเอง” นางสาวศิริกัญญา กล่าว
นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า หมดคำจะพูดว่าเราศึกษาอะไรกันอยู่ รายงานฉบับนี้กำลังรับรองความผิดพลาดอะไรกันอยู่ นายกรัฐมนตรีจะต้องเอาไปพูดจะต่างชาติเรื่องโครงการนี้ ทั้งที่เนื้อในเป็นแบบนี้ เราไม่ได้ทำเป็นฝ่ายค้าน เราจะต้องค้านทุกเรื่อง แต่เราต้องรักษาภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรีของเราอยู่เอาไว้บ้าง ตนไม่ได้มีปัญหาในการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ ถ้าจะมีการรื้อรายงานใหม่ ตนก็จะยินดีมากๆ ที่จะศึกษาใหม่ แล้วมันคุ้มค่า ตนก็ยินดีจะสนับสนุนโครงการใหม่นั้น
ด้านนายจุลพงษ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า โครงการนี้จะเกิดหรือไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาล ตนย้ำว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้ขัดขวางการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ การที่ตนลาออกก็ไม่ได้เพราะเป็นเด็ก โครงการนี้มีหลายหน่วยงานจัดทำรายงาน ทำไมถึงเลือกเอารายงานของ สนข. มาใช้ แล้วโยนผลการศึกษาของสภาพัฒน์ทิ้งไป ทำไมไม่ใส่มาทั้ง 2 หน่วยงานแล้วเปรียบเทียบกัน
“ท่านประธานครับ เวลาเราซื้อของเราดูที่ไหน เราเชื่อใจเซลล์แมนใช่ไหมครับ ท่านนายกท่านก็บอกเองว่าเป็นเซลล์แมนประเทศไทย เพราะฉะนั้นคนที่เขาจะซื้อ เขาต้องมีความเชื่อถือในท่านนายกและตัวเลข” นายจุลพงษ์ กล่าว
นายจุลพงษ์ ยังระบุว่า ในประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมตนได้ให้ผู้เชี่ยวชาญเทียบปริมาณคาร์บอนที่ขนส่งในโครงการแลนด์บริดจ์กับคาร์บอนที่ขนส่งทางเรือที่ช่องแคบมะลากา ซึ่งพบว่าแลนด์บริดจ์สูงกว่า 14 เท่า ตั้งข้อสงสัยว่าแล้วใครจะให้กู้เงิน ตนอบากข้อให้เลิกพูดเรื่องตัวเลข ความคุ้มทุน และขอให้พูดเรื่องความเป็นมนุษย์ ตั้งแต่โครงการนี้เกิดขึ้นมาตนลงพื้นที่ ประชาชนบอกว่ากินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไม่รู้จะตายที่ไหน ซึ่งความเป็นมนุษย์ของประชาชนในโครงการ เราจะต้องดูแลมากกว่าสิ่งอื่นใด
ขณะที่นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ตนมีประเด็นที่ต้องแจ้ง ประเด็นแรก ตนไม่เคยคัดค้านโครงการ ถ้ามีโครงการแลนด์บริดจ์หรือโครงการที่ทำให้คนใต้รวยได้ ตนยินดีสนับสนุน แต่ตอนนี้ต้องการพิสูจน์ความจริงของตัวเลขรายงานฉบับนี้ ตนต้องการแค่ความถูกต้อง
ประเด็นที่สอง รายงานรวบรัดการศึกษา และไม่มีการหาความจริงให้รอบด้าน ประเด็นที่สาม ตนขอเรียกรายงานฉบับนี้ว่าย้อนแย้ง ตัดแปะ และใช้ไม่ได้จริง
“จุดแข็งของโครงการ หลีกเลี่ยงปัญหาความติดขัดการเดินเรือในช่องแคบ แต่ความจริง กมธ. ท่านใดไปพิสูจน์ว่าช่องแคบติดขัด เราเห็นกับตาแล้วหรือไม่ เอกชนเขาก็บอกว่าไม่ได้แออัด คับแคบ ที่มันแออัดจริงๆ คือท่าเรือสิงคโปร์ มันไม่ใช่ตัวช่องแคบ แล้วท่านก็ไม่ไปพิสูจน์ และทุกวันนี้ท่าเรือสิงคโปร์เขาก็มีแผนท่าเรือ เพื่อรองรับเรือเพิ่ม ถ้ามันแคบจนมันไปไม่ได้ จะลงทุนเพิ่มทำไม ง่ายสุด ส่งคนไปไลฟ์สดให้จบตรงนี้ จะได้จบๆ ว่ามันแออัดหรือไม่” นายศุภณัฐ กล่าว
นายศุภณัฐ ยังกล่าวว่า จำนวนคนสร้างงาน 280,000 คน ไม่รู้เอาจำนวนตัวเลขนี้มาจากไหน จะจ้างงานเงินเดือนเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครก็มโนขึ้นมาได้
“GDP บอกว่าจะโตจาก 4% ไป 5.5% โอ้โฮ GDP รายไตรมาส ท่านมีปัญญาคำนวณล่วงหน้าขนาดนั้นเลยหรือครับ ไปเอาตัวเลขมาจากไหน แล้วค่าเสียโอกาสจากการท่องเที่ยว อาชีพประมงที่เขาต้องเสียไป สิ่งแวดล้อม ไม่เคยถูกนำมาคำนวณแม้แต่เรื่องเดียว” นายศุภณัฐ กล่าว
นายศุภณัฐ ย้ำด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ว่า จะตั้ง กมธ. มาทำไม ถ้าจะยึดตาม สนข. มองว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนร่วม ต้องมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง
“เราลงทั้งเงิน ทั้งที่ดิน ทั้งสัมปทาน ดีลธุรกิจมาลงทุนแลกกับสัมปทาน เราจำเป็นต้องรู้ต้นทุน รายได้ ค่าเสียโอกาสโครงการว่าเท่าไหร่ นักธุรกิจจะลงทุนต้องมีการต่อรอง ถ้าท่านมั่วจะต่อรองได้อย่างไร เพราะไม่มีหลักการ” นายศุภณัฐ กล่าว
จากนั้นหลังสมาชิกใช้เวลาอภิปรายแสดงความคิดเห็นนานเป็นเวลา 4 ชั่วโมง 15 นาที ที่ประชุมมีมติ เห็นด้วยกับรายงาน 269 เสียง ไม่เห็นด้วย 147 เสียง งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 1 คะแนน เป็นอันว่าที่ประชุมเห็นชอบกับรายงานฉบับนี้ .-312-สำนักข่าวไทย