สภาฯ มีมติเห็นชอบรายงาน กมธ. ผลการพิจารณาศึกษา “แลนด์บริดจ์”

รัฐสภา 15 ก.พ. – สภาฯ มีมติ 269 ต่อ 147 เห็นชอบรายงาน กมธ. ผลการพิจารณาศึกษา “แลนด์บริดจ์” แม้ 3 สส. “ก้าวไกล” ลาออก กมธ. รุมจวกรายงาน “ศิริกัญญา” บอกหมดคำพูด กมธ.ประเมินรายได้เวอร์มาก


รัฐสภา วันนี้ (15 ก.พ.) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระรายงานผลการพิจารณาศึกษาญัตติ เรื่องการศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (แลนด์บริดจ์) เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน 3 สส. พรรคก้าวไกลที่ลาออกจาก กมธ. ได้ร่วมกันอภิปรายคัดค้าน

โดยนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เล่าถึงเหตุผลที่ลาออก เนื่องจากไม่สามารถให้เหตุผลในรายงานฉบับนี้ได้ ซึ่งแทบจะไม่มีการแก้ไขเลยตั้งแต่ตนลาออกมา โดยเพื่อน สส. ไม่พูดว่ามีธงในการดำเนินการ ตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องผิดที่ กมธ. ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะที่มาจากทางฝั่งรัฐบาลจะมีคงมีธงจากบ้านว่าควรจะทำโครงการนี้ แต่สิ่งที่จำเป็นต้องกังวลใจ คือ ผลการศึกษาที่นำมาสู่ธงนี้ ศึกษาอย่างรอบคอบ ถี่ถ้วน ถูกต้อง มีสมมติฐานที่สมเหตุสมผลหรือไม่ ตนปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ที่มีการสอบถามหน่วยงานที่รับผิดชอบในการทำรายงานจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ซึ่งเป็นหน่วยงานสารตั้งต้นของรายงานฉบับนี้ ว่าธงที่รัฐบาลให้มา จะสามารถเดินตามธงอยู่ได้อย่างมั่นใจได้อย่างไร แต่ตนกลับไม่ได้คำตอบที่ต้องการหลายครั้ง หลายวาระที่สอบถามก็ถูกตัดการสอบถาม ทำให้ข้อมูลก็ยังไม่ได้ ที่ร้ายแรงกว่านั้น กลับใช้รายงานของ สนข. โดยที่ไม่ได้พิจารณาถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการเดินเรือ การคำนวณการเติบโตของท่าเรือ ซึ่งตนยังไม่รู้ว่าจะเชื่อรายงานของ สนข. ได้หรือไม่


“รายได้ที่เป็นรายได้จากท่าเรือเวอร์มาก สูงมาก ปีแรก บอกว่าจะได้รายได้จากท่าเรือ 58,000 ล้านบาท ดิฉันคิดว่า กมธ. ไม่มีใครทราบนะคะ ยกเว้นที่มาจาก สนข. ถึงจะทราบเรื่องนี้ ในรายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 2 ก็ไม่มีเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ดิฉันอ่านแล้ว ไม่มีรายได้ที่มาจากการขายน้ำมัน แต่วันนี้มาแล้วค่ะ 58,000 ล้าน มาจากรายได้ที่มาจากการขายน้ำมัน 50,000 ล้าน และมาจากรายได้ท่าเรือ เพียงแค่ 8,000 ล้านบาทเท่านั้นเอง 50,000 ล้านที่มาจากการขายน้ำมัน มันจะมาได้อย่างไร ลองคิดดู ถ้าเราไม่มีโรงกลั่นเอง” นางสาวศิริกัญญา กล่าว

นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า หมดคำจะพูดว่าเราศึกษาอะไรกันอยู่ รายงานฉบับนี้กำลังรับรองความผิดพลาดอะไรกันอยู่ นายกรัฐมนตรีจะต้องเอาไปพูดจะต่างชาติเรื่องโครงการนี้ ทั้งที่เนื้อในเป็นแบบนี้ เราไม่ได้ทำเป็นฝ่ายค้าน เราจะต้องค้านทุกเรื่อง แต่เราต้องรักษาภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรีของเราอยู่เอาไว้บ้าง ตนไม่ได้มีปัญหาในการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ ถ้าจะมีการรื้อรายงานใหม่ ตนก็จะยินดีมากๆ ที่จะศึกษาใหม่ แล้วมันคุ้มค่า ตนก็ยินดีจะสนับสนุนโครงการใหม่นั้น

ด้านนายจุลพงษ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า โครงการนี้จะเกิดหรือไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาล ตนย้ำว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้ขัดขวางการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ การที่ตนลาออกก็ไม่ได้เพราะเป็นเด็ก โครงการนี้มีหลายหน่วยงานจัดทำรายงาน ทำไมถึงเลือกเอารายงานของ สนข. มาใช้ แล้วโยนผลการศึกษาของสภาพัฒน์ทิ้งไป ทำไมไม่ใส่มาทั้ง 2 หน่วยงานแล้วเปรียบเทียบกัน


“ท่านประธานครับ เวลาเราซื้อของเราดูที่ไหน เราเชื่อใจเซลล์แมนใช่ไหมครับ ท่านนายกท่านก็บอกเองว่าเป็นเซลล์แมนประเทศไทย เพราะฉะนั้นคนที่เขาจะซื้อ เขาต้องมีความเชื่อถือในท่านนายกและตัวเลข” นายจุลพงษ์ กล่าว

นายจุลพงษ์ ยังระบุว่า ในประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมตนได้ให้ผู้เชี่ยวชาญเทียบปริมาณคาร์บอนที่ขนส่งในโครงการแลนด์บริดจ์กับคาร์บอนที่ขนส่งทางเรือที่ช่องแคบมะลากา ซึ่งพบว่าแลนด์บริดจ์สูงกว่า 14 เท่า ตั้งข้อสงสัยว่าแล้วใครจะให้กู้เงิน ตนอบากข้อให้เลิกพูดเรื่องตัวเลข ความคุ้มทุน และขอให้พูดเรื่องความเป็นมนุษย์ ตั้งแต่โครงการนี้เกิดขึ้นมาตนลงพื้นที่ ประชาชนบอกว่ากินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไม่รู้จะตายที่ไหน ซึ่งความเป็นมนุษย์ของประชาชนในโครงการ เราจะต้องดูแลมากกว่าสิ่งอื่นใด

ขณะที่นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ตนมีประเด็นที่ต้องแจ้ง ประเด็นแรก ตนไม่เคยคัดค้านโครงการ ถ้ามีโครงการแลนด์บริดจ์หรือโครงการที่ทำให้คนใต้รวยได้ ตนยินดีสนับสนุน แต่ตอนนี้ต้องการพิสูจน์ความจริงของตัวเลขรายงานฉบับนี้ ตนต้องการแค่ความถูกต้อง

ประเด็นที่สอง รายงานรวบรัดการศึกษา และไม่มีการหาความจริงให้รอบด้าน ประเด็นที่สาม ตนขอเรียกรายงานฉบับนี้ว่าย้อนแย้ง ตัดแปะ และใช้ไม่ได้จริง

“จุดแข็งของโครงการ หลีกเลี่ยงปัญหาความติดขัดการเดินเรือในช่องแคบ แต่ความจริง กมธ. ท่านใดไปพิสูจน์ว่าช่องแคบติดขัด เราเห็นกับตาแล้วหรือไม่ เอกชนเขาก็บอกว่าไม่ได้แออัด คับแคบ ที่มันแออัดจริงๆ คือท่าเรือสิงคโปร์ มันไม่ใช่ตัวช่องแคบ แล้วท่านก็ไม่ไปพิสูจน์ และทุกวันนี้ท่าเรือสิงคโปร์เขาก็มีแผนท่าเรือ เพื่อรองรับเรือเพิ่ม ถ้ามันแคบจนมันไปไม่ได้ จะลงทุนเพิ่มทำไม ง่ายสุด ส่งคนไปไลฟ์สดให้จบตรงนี้ จะได้จบๆ ว่ามันแออัดหรือไม่” นายศุภณัฐ กล่าว

นายศุภณัฐ ยังกล่าวว่า จำนวนคนสร้างงาน 280,000 คน ไม่รู้เอาจำนวนตัวเลขนี้มาจากไหน จะจ้างงานเงินเดือนเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครก็มโนขึ้นมาได้

“GDP บอกว่าจะโตจาก 4% ไป 5.5% โอ้โฮ GDP รายไตรมาส ท่านมีปัญญาคำนวณล่วงหน้าขนาดนั้นเลยหรือครับ ไปเอาตัวเลขมาจากไหน แล้วค่าเสียโอกาสจากการท่องเที่ยว อาชีพประมงที่เขาต้องเสียไป สิ่งแวดล้อม ไม่เคยถูกนำมาคำนวณแม้แต่เรื่องเดียว” นายศุภณัฐ กล่าว

นายศุภณัฐ ย้ำด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ว่า จะตั้ง กมธ. มาทำไม ถ้าจะยึดตาม สนข. มองว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนร่วม ต้องมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง

“เราลงทั้งเงิน ทั้งที่ดิน ทั้งสัมปทาน ดีลธุรกิจมาลงทุนแลกกับสัมปทาน เราจำเป็นต้องรู้ต้นทุน รายได้ ค่าเสียโอกาสโครงการว่าเท่าไหร่ นักธุรกิจจะลงทุนต้องมีการต่อรอง ถ้าท่านมั่วจะต่อรองได้อย่างไร เพราะไม่มีหลักการ” นายศุภณัฐ กล่าว

จากนั้นหลังสมาชิกใช้เวลาอภิปรายแสดงความคิดเห็นนานเป็นเวลา 4 ชั่วโมง 15 นาที ที่ประชุมมีมติ เห็นด้วยกับรายงาน 269 เสียง ไม่เห็นด้วย 147 เสียง งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 1 คะแนน เป็นอันว่าที่ประชุมเห็นชอบกับรายงานฉบับนี้ .-312-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดแชต “สีกากอล์ฟ” หลอกยืมเงิน “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร” 4 แสน

18 ก.ค. – เปิดแชต “สีกากอล์ฟ” หลอกยืมเงิน “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร” 400,000 บาท อ้างป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัด และแลกหลักฐานกรณีอดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร มีความสัมพันธ์กับสีกากอล์ฟ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จ.พิจิตร หลงกลเล่ห์เหลี่ยมของสีกากอล์ฟ โดยเมื่อปี 2559 อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร ส่งข้อความไปหาสีกากอล์ฟ ว่ามีเรื่องสำคัญของบ้านเมืองจะปรึกษา และหว่านล้อมว่าสีกากอล์ฟเป็นบุคคลสำคัญยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองส่วนหนึ่งใน จ.พิจิตร ไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากให้ความร่วมมือจะมีผู้ใหญ่ใจดีที่พร้อมจะดูแลสีกากอล์ฟและลูก แล้วทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ติดต่อกลับ จากนั้นสีกากอล์ฟตอบกลับข้อความ ทำให้อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร เปิดเผยเป้าหมายทันทีว่าต้องการดำเนินการกับพระราชสิทธิเวที ในขณะนั้น (อดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร และอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าหลวง จ.พิจิตร ที่เพิ่งสึกไป) ซึ่งมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริต เสพเมถุน และประพฤติตนไม่เหมาะสม อาจเชื่อมโยงมาถึงสีกากอล์ฟ พร้อมเสนอเงิน 1 ล้านบาท แต่สีกากอล์ฟชวนอดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร คุยเรื่องทั่วไป โดยเฉพาะอ้างว่ามีอาการป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัดประมาณ 400,000 บาท […]

“ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ

17 ก.ค. – “ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอกพรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติง “ลูกอิ๊งค์” ขายชาติ บอกปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล “คึกฤทธิ์” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก พลิกเกมเศรษฐกิจไทย” และ “พลิกเกมเศรษฐกิจไทย สู่อนาคต” จัดโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม พร้อมครม. อาทิ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ […]

แม่ทัพภาค 2 เยี่ยมให้กำลังใจทหารบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด

อุบลราชธานี 17 ก.ค.-แม่ทัพภาค 2 เยี่ยมให้กำลังใจทหารได้รับบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด ซึ่งอาการโดยรวมดีขึ้น ที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ มณฑลทหารบกที่ 22 อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจกับทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ที่ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดทั้ง 3 นาย ซึ่งมีอาการโดยรวมดีขึ้น สำหรับทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 3 นายประกอบด้วย ส.อ.ปฏิพัทธ์ ศรีลาศักดิ์ มีบาดแผลฟกซ้ำบริเวณหน้าอกจากการถูกแรงอัดระเบิด ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้า แต่ปัจจุบันดีขึ้น พลทหารณัฐวุฒิ ศรีเข้ม มีบาดแผลฟกซ้ำที่หน้าอกจากการอัดของระเบิด แน่นหน้าอก แต่ช่วยเหลือตัวเองได้ พลทหารธนพัฒน์ หุยวัน ต้องตัดขาซ้ายใต้เข่าจากแรงระเบิด มีอาการปวดแผล แต่กินอาหารได้ตามปกติ หลังเยี่ยมพูดคุยให้กำลังใจ แม่ทัพก็เดินทางกลับไป เพื่อไปติดตามสถานการณ์ชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์ต่อไป.-711.-สำนักข่าวไทย

จนท. เข้าพบพระพรหมบัณฑิต ขอตรวจสอบบัญชีเงินวัดประยูรฯ

กทม. 17 ก.ค. – ตำรวจ ปปป. ป.ป.ท. และเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ บุกวัดประยุรวงศาวาส เข้าตรวจสอบบัญชีเงินวัด เบื้องต้น  ยืนยันไม่ใช่การบุกค้นกุฏิ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาส พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา รักษาราชการแทนรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.), พ.ต.อ.สถาปนา จุณณวัตต์ ผู้กำกับการกองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธแห่งชาติแห่งชาติ เดินทางเข้าพบพระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เพื่อพูดคุยและขอข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารการเงินภายในวัด หลังอดีตเจ้าคุณประสิทธิ์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส เข้าไปพัวพันกับสีกากอล์ฟ และตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคำให้การของพยาน ที่พบเงินถูกพับในลักษณะถูกนำออกมาจากตู้บริจาคในบ้านของสีกากอล์ฟ ซึ่งการตรวจสอบในวันนี้จะเน้นเรื่องเส้นทางการเงินของวัดทั้งหมด ที่ต้องสงสัยว่าอาจมีบางส่วนถูกยักยอก หลังการตรวจสอบ ผู้กำกับการ 6 บก.ปปป. กล่าวว่า ไม่สามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลได้ ผู้บังคับบัญชาจะเป็นผู้ชี้แจง หลังจากนี้จะนำข้อมูลต่างๆ กลับไปเรียนให้ผู้บังคับบัญชาได้ทราบ แต่ยืนยันว่า วันนี้เป็นเพียงแค่การเข้ามาขอข้อมูลเท่านั้น ด้านเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติระบุว่า เป็นเพียงการบูรณาการของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง และในการตรวจสอบเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารแต่อย่างใด มีรายงานเพิ่มเติมว่าเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 หน่วยงาน ได้นำกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปตรวจสอบที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย หรือ […]

ข่าวแนะนำ

กต.ประณามกัมพูชาใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ขัด กม.ระหว่างประเทศร้ายแรง

ก.ต่างประเทศ 20 ก.ค. – กต.ประณามกัมพูชาอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซัดขัด กม.ระหว่างประเทศร้ายแรง ละเมิดอธิปไตยไทย จี้ให้ความร่วมมือเก็บกู้ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ อ่านแถลงการณ์เรื่องการประท้วงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชา ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ บริเวณช่องบก ชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดศรีสะเกษ จนเป็นเหตุให้กำลังพลของไทยได้รับบาดเจ็บ ว่า ตามที่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 รวม 3 นาย ซึ่งทำการลาดตระเวนตามปกติ ในดินแดนของไทย บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนั้น รัฐบาลไทยได้รับรายงานจากหน่วยงานความมั่นคงว่า ภายหลังการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ทุ่นระเบิดที่พบ ไม่มีการใช้ หรือมีอยู่ในคลังอาวุธของไทย และเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ เมื่อประกอบกับการประมวลข้อมูล และหลักฐานสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่หน่วยงานความมั่นคงตรวจพบ นำไปสู่การสรุปได้ว่า เป็นการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่ละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างชัดเจน ไทยในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาฯ จะดำเนินการตามกระบวนการภายใต้อนุสัญญาฯ โดยจะยังคงหาทางแก้ปัญหากับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคีต่าง […]

มทภ.2 ยินดีเขมรขนคนเที่ยวโบราณสถานไทย เตือนเคารพกฎ

20 ก.ค.- แม่ทัพภาค 2 ฮึ่มป่วน “ปราสาทตาเมือนธม-ปราสาทตาควาย” เจอมาตรการเบาไปหนัก ยินดีเขมรขนคนมาชมสองโบราณสถานของไทย ส่วนโซเชียลรณรงค์คนไทยเจ้าบ้านใส่เสื้อไทยร่วมต้อนรับ เมื่อวันที่ 20 ก.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงกรณีกัมพูชาขนประชาชนกัมพูชาหลายรถบัสขึ้นมาเที่ยวปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควายของไทย ว่า รู้สึกยินดีและขอต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาและประเทศอื่น ๆ ที่มาท่องเที่ยว เยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควายของไทย ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กองทัพภาคที่ 2 กำหนดไว้ โดยได้จัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและดูแลนักท่องเที่ยวให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ไม่ก่อความวุ่นวาย เพื่อให้นักท่องเที่ยวทุกคนเข้าเยี่ยมชมได้ตามปกติ ทั้งนี้ ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย เป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญของไทยและมีประวัติศาสตร์มายาวนาน “หากนักท่องเที่ยวคนใดก่อเหตุวุ่นวาย เจ้าหน้าที่มีมาตรการจากเบาไปหาหนักดำเนินการ ดังนั้นขออย่าให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะนักท่องเที่ยวทุกคนเข้ามาเยี่ยมชมโบราณสถานของไทย ต้องเคารพกฎระเบียบของไทย” แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่ภาพคนไทย พร้อมข้อความภาษาไทยและภาษากัมพูชา ระบุว่า “รวมใจคนไทย ใส่เสื้อไทย ต้อนรับนักท่องเที่ยวกัมพูชา ด้วยรอยยิ้มและมิตรภาพจากเจ้าของบ้านตัวจริง” -สำนักข่าวไทย

ทบ.ส่งทหารช่างเก็บกู้ทุ่นระเบิดชายแดนไทย-กัมพูชา

20 ก.ค.- ทหารช่างปฏิบัติภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดพื้นที่ช่องบก ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่กองทัพบกเตรียมมาตรการตอบโต้ทางทหารอย่างเหมาะสม จากกรณีทหารไทยประสบเหตุเหยียบกับระเบิด บาดเจ็บ 3 นาย ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนรักษาความสงบในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ล่าสุดเช้านี้ (20 ก.ค. 68) กองทัพภาคที่ 2 เสริมกำลังทหารช่างลงพื้นที่ทันที เพื่อตรวจพื้นที่และเก็บกู้ทุ่นระเบิดตลอดแนวชายแดน โดยใช้ยุทโธปกรณ์หนัก รถแทรกเตอร์หุ้มเกราะ ชุดตรวจค้นทุ่นระเบิดชำนาญการ กำลังชุดทหารช่างตรวจค้นกวาดล้างทุ่นระเบิด (Mine Clearing) เขตทางพื้นที่สงสัยให้ปลอดภัย พร้อมใช้รถโกยตัก ถางขุดตอ และรถถากถางติดตั้งเกราะเหล็กป้องกันพลขับในการทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัย ปฏิบัติการดังกล่าว นอกจากดูแลความปลอดภัยของกำลังพลที่จะออกลาดตระเวนในพื้นที่เขตแดนไทยแล้ว ยังเป็นการเก็บหลักฐานเพื่อแสดงให้เห็นว่ากัมพูชามีพฤติการณ์ที่ขัดต่ออนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล แม้ทางฝ่ายกัมพูชาจะไม่ยอมรับ แต่กระทรวงการต่างประเทศ จะทำหนังสือเพื่อประท้วงอย่างเป็นทางการผ่านสหประชาชาติ (UN) และทางกองทัพบก จะมีมาตรการตอบโต้ทางทหารอย่างเหมาะสม.-สำนักข่าวไทย

พฐ.เตรียมตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้โรงงานแปรรูปยางพารา

20 ก.ค.- เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเตรียมตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้โรงงานแปรรูปยางพารา จ.บุรีรัมย์ เบื้องต้นไม่มีผู้บาดเจ็บ คาดเสียหายหลายสิบล้านบาท เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานรับซื้อและแปรรูปยางพาราขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ริมถนนสาย 24 โชคชัย-เดชอุดม ตำบลโคกม้า อ.ประโคกชัย จ.บุรีรัมย์ โดยต้นเพลิงเป็นโกดังเก็บยางพาราอัดแท่ง จัดว่าเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำให้เพลิงลุกไหม้รวดเร็วและรุนแรง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตอนเกิดเหตุช่วงแรก พนักงานช่วยกันดับแต่เอาไม่อยู่ จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เข้าช่วยเหลือ ตำรวจ สภ.ประโคนชัย พร้อมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ลงพื้นที่ตรวจสอบและประสานรถดับเพลิงกว่า 20 คัน เข้าฉีดสกัดนานกว่า 2 ชั่วโมง จึงคุมเพลิงให้อยู่ในวงจำกัดได้ แต่ยังต้องฉีดน้ำหล่อเลี้ยงไว้ตลอดป้องกันไม่ให้ไฟปะทุลามไปจุดอื่นในโรงงาน พร้อมเคลื่อนย้ายถังแก๊ส ถังน้ำมัน จากอาคารใกล้เคียงไปไว้ยังจุดปลอดภัย เบื้องต้นไม่มีพนักงานได้รับบาดเจ็บ ด้านนายจำเริญ แหวนเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่าแม้จะควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว แต่รถดับเพลิงก็ยังต้องฉีดน้ำเพื่อหล่อความเย็นจนกว่าไฟจะดับสนิท ส่วนสาเหตุเพลิงไหม้ยังไม่ทราบ ต้องรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาตรวจสอบ สำหรับมูลค่าความเสียหายอยู่ระหว่างการประเมิน คาดหลายสิบล้านบาท ทั้งนี้ โรงงานดังกล่าวเคยเกิดเหตุไฟไหม้มาแล้ว เมื่อปี 63 -สำนักข่าวไทย